คู่มือเลือกเปรียบเทียบประกันสุขภาพ BLA 2022/2565 แบบใดดีที่เหมาะกับคุณและครอบครัวที่สุด
ประกันสุขภาพ BLA Happy Health 1-10 ล้านบาทต่อครั้ง และ Prestige Health 10-100 ล้านบาทต่อปี แบบใดที่จะเหมาะกับคุณและครอบครัว รวมถึงประเด็นที่ต้องพิจารณาเปรียบเทียบทั้งหมด พร้อมแง่มุมเปรียบเทียบกับบริษัทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ
หมายเหตุ : บทความนี้จะเหมาะกับท่านที่ต้องการให้อธิบายเปิดเผยทุกอย่างก่อนตัดสินใจเลือกประกันสุขภาพ BLA โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สามารถทำประกันทางออนไลน์ได้ ทาง Release your Risk จึงให้ความสำคัญกับการอธิบายแจ้งหมดทุกอย่างเป็นที่หนึ่ง เพื่อให้เหมาะสมกับสัญญาสุขภาพที่มีเบี้ยรวมกันทั้งหมดกว่าหลักล้านบาทขึ้นไปและเป็นสัญญาระยะยาวที่นานจนถึงอายุครบ 99 ปี ทั้งนี้หากท่านยังไม่เคยทำประกันสุขภาพมาก่อน จะสามารถทำความเข้าใจประกันสุขภาพได้ที่ คู่มือการเลือกประกันสุขภาพฉบับเริ่มต้น เพื่อช่วยให้เข้าใจบทความนี้ได้ง่ายมากขึ้น (ทั้งนี้แบบประกัน Prestige Health ได้เปลี่ยนเป็น Prestige Health ปลดล็อค ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 66 เป็นต้นไป)
❐ สัญญาประกันสุขภาพหนึ่งในสัญญาที่มีรายละเอียดมากที่สุด โดยแต่ละบริษัทจะทำแบบประกันให้แตกต่างกันเพื่อให้ยากต่อการเปรียบเทียบเพื่อใช้ในการแข่งขัน หรือแม้บริษัทเดียวกันก็ไม่ง่ายนักที่จะเปรียบเทียบ
❐ หน้าที่ของผู้แนะนำหรือตัวแทน ในขั้นตอนแรก คือ การให้ความรู้ความเข้าใจมากที่สุดประกอบการตัดสินใจทำสัญญาใดๆ ก็ตาม เพื่อให้ได้สัญญาที่ตรงตามความต้องการ และสามารถมีสัญญานี้ต่อไปได้จนตลอดชีวิต ทั้งนี้ "สัญญานี้เป็นสัญญา 2 ฝ่าย ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายต้องเลือกซี่งกันและกัน ไม่ใช่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลือกเท่านั้น"
ประกันสุขภาพ BLA ทั้งหมดที่เปิดให้ทำสัญญาได้ในปัจจุบันนั้น
- จะเป็นประกันสุขภาพมาตรฐานใหม่ที่ไม่มีเงื่อนไข Copayment
- การจะเปลี่ยนแปลงเบี้ยที่นอกเหนือจากตารางเบี้ยได้นั้นจะต้องเป็นการปรับเบี้ยทั้งแบบประกัน (portfolio) จะไม่ได้ปรับเฉพาะรายบุคคล
- ไม่มีเงื่อนไขระยะรอคอยการ Fax-Claim นอกเหนือจากระยะรอคอย 30 วันในโรคทั่วไป และ 120 วันในโรคที่ซับซ้อนตามปกติ
- ไม่มีเงื่อนไขการสำรองจ่ายทุกกรณี ในหมวดค่ารักษาที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยนอกโดยตรง เช่น ค่ายามะเร็ง ค่าล้างไต ค่าOPD ค่าอุบัติเหตุผู้ป่วยนอก
- มีการโอนความเสี่ยงให้กับบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศ ไม่ได้รับความเสี่ยงไว้เองตามลำพัง เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ทำประกัน
หมายเหตุ : จากคุณสมบัติเหล่านี้เองจึงทำให้ แบบประกันสุขภาพของ BLA โดยเฉพาะแบบ Prestige Health มีความเข้มงวดในการรับประกันที่สูงมาก และมักมีข้อเสนอยกเว้นความคุ้มครองบางอย่างหรือเลื่อนการรับประกันออกไป 6 เดือน-1 ปี จากทั้งประวัติการรักษาและประวัติการตรวจสุขภาพ โดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มได้ที่บทความ วิธีการแถลงสุขภาพ และ ข้อเสนอยกเว้นความคุ้มครองต่างๆ
❐ สามารถกดแชร์เพื่อเก็บไว้อ่านภายหลังในยามว่างได้ค่ะ
ขั้นที่ 1. ตรวจสอบสถิติอาการป่วยที่ควรโอนความเสี่ยง
สถิติอาการป่วยที่ส่งผลถึงชีวิต
สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดของการการเลือกประกันสุขภาพ คือ การตัดสินใจ ว่าจะเข้าร่วมกับคนจำนวนมากเพื่อ เฉลี่ยความเสี่ยงในโรคหรืออาการที่ร้ายแรงใด ทำให้การพิจารณา สถิติของโรคที่ทำให้เสียชีวิต 5 อันดับแรก จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก จากภาพที่แสดง คือ สถิติที่สะท้อนถึงปัญหาการเสียชีวิตได้อย่างชัดเจนว่ามีสาเหตุมาจากโรคมะเร็ง นอกจากนี้ในแง่สถิติการเคลมประกันโรคร้ายแรง ตัวโรค มะเร็งก็มีอัตราการเคลมสูงถึง 80% เมื่อเทียบกับโรคร้ายแรงอื่น ๆ โดยเฉพาะมะเร็งในผู้หญิง!!
และจากสถิติย้อนหลังในกราฟต่อไปนี้ หากนำปัจจัยการเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุเข้ามาร่วมด้วย (คนทั่วไปต่างคิดว่าน่าจะเสียชีวิตมากกว่าการป่วยด้วยโรคร้าย แต่ตามสถิติแล้วกลับไม่ใช่) ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนว่า สาเหตุการตายจากมะเร็งแซงหน้าสาเหตุการตายจากอุบัติเหตุไปไกลมากแล้ว หรือถ้าหากไม่นับโรคมะเร็ง การรวมยอดเสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมอง กับโรคหัวใจเข้าด้วยกัน ก็จะมียอดเสียชีวิตที่สูงกว่าอุบัติเหตุเช่นกันค่ะ
แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือ เมื่อพิจารณาสถิติโรคมะเร็งล่าสุดจาก WHO ในส่วนของ Globalcan ปี 2020 พบว่าประเทศไทยมีการตรวจพบผู้ป่วยมะเร็งใหม่ในปีเดียวสูงถึง 190,636 ราย จากประชากร 69,799,978 คน (ขณะที่ปี 2014 ตรวจพบผู้ป่วยมะเร็งเพียง 122,757 ราย)
โดยจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตในปี 2020 อยู่ที่ 124,866 ราย (ขณะที่ปี 2014 มียอดผู้เสียชีวิต 70,075 ราย) หรือเมื่อรวมยอดเสียชีวิตตั้งแต่ปี 1996-2011 มียอดถึง 840,000 ราย (โดยประมาณ)
จากยอดการเสียชีวิตที่สูงขนาดนี้ ด้วยเพราะ "หากเป็นมะเร็งแล้ว ต้องเสียชีวิตเสมอไปหรือไม่"
จากรูปด้านบนเมื่อเทียบ ยอดผู้ป่วยรายใหม่ กับ ยอดผู้ป่วยเสียชีวิต จะเห็นได้ชัดเจนว่าการเสียชีวิตโดยส่วนใหญ่มีสาเหตุจาก มะเร็งตับและมะเร็งปอด ซึ่งเป็น 2 มะเร็งสำคัญที่มีอัตราการตรวจพบและการเสียชีวิตที่ใกล้เคียงกันมาก เนื่องด้วยตับและปอดเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ต้องเสียหายอย่างหนักแล้วเท่านั้น จึงจะเริ่มแสดงอาการผิดปกติออกมาสู่ภายนอก และแน่นอนว่าเมื่อไปตรวจก็มักจะพบว่าเป็น มะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว
ดังนั้น การตรวจยีนมะเร็งและการตรวจคัดกรองมะเร็งตั้งแต่เนิ่น ๆ พร้อมเตรียมแผนจัดการกับค่าใช้จ่าย ค่ารักษา (หากโชคร้ายต้องตรวจพบ) จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากค่ะ
เพราะทั้งยอดผู้ป่วยใหม่และยอดผู้เสียชีวิต ต่างทยอยเพิ่มมากขึ้นในทุกปี เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของประเทศไทยที่ทยอยลดลงไปเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงแทบจะบอกได้เลยว่า.. หนึ่งในคนที่เราเคยรู้จัก (ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม) จะต้องมีผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งหรือเสียชีวิตเพราะมะเร็งอยู่แล้วบ้าง
ปัจจัยที่ส่งเสริมความเสี่ยงของโรคร้าย
ด้านหัวใจ สมอง ปอด ตับ ไต และมะเร็ง
☑ ตระกูลมีประวัติการป่วยเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะตอนอายุยังน้อยเช่นไม่ถึง 40 ปี
☑ ใช้ชีวิตสไตล์ Work Hard, Play Harder, Eat Harder, No Exercise, Sleepless
☑ ทานอาหารที่มีปัจจัยเสี่ยงประจำปริมาณมาก เนื้อปิ้งย่าง เนื้อแปรรูป เหล้าเบียร์
☑ มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ท้องผูกเป็นประจำ ไม่ชอบทานผักและผลไม้
☑ ดื่มน้ำเปล่าน้อยมากต่อวัน หรือน้อยกว่าการดื่มน้ำหวาน ชา กาแฟ
☑ ทานอาหารไม่เป็นเวลา ทานจุกจิก ทานมื้อดึกเป็นประจำ
☑ ใช้ชีวิตที่หลีกเลี่ยงมลภาวะอย่าง PM 2.5 ไม่ได้ หรือต้องอยู่ใกล้คนสูบบุหรี่ ธูป ควัน
☑ ดูแลโปรเจ็ค ควบคุม ประสานงาน อยู่ในสภาวะกดดันความเครียดสะสม
☑ มีความรู้สึกว่าร่างกายเริ่มไม่เหมือนเดิมมากขึ้น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หอบ ไอ
☑ ผู้หญิงที่มีบุตรตอนอายุ 30 ปีขึ้นไป หรืออายุเกือบ 40 ปี หรือไม่มีบุตร
☑ ผู้หญิงที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน HPV
☑ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบทั้ง A และ B
ขั้นที่ 2. ตรวจสอบค่ารักษาก่อนเลือกแบบประกัน
จากค่าใช้จ่าย (รูปด้านบน) นี่อาจเป็นข้อสรุปที่ชัดเจนว่า เหตุใดมะเร็งจึงเป็นโรคอันดับ 1 ที่ทำให้เสียชีวิต แล้วจึงตามมาด้วยหลอดเลือดสมอง ปอด และหัวใจ เพราะด้วยเรื่องค่ารักษามะเร็งที่สูงอย่างมากและต้องรักษาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีวันจบ
หลายคนมักพูดว่า "โจรปล้นสิบครั้ง ยังไม่เท่ากับไฟไหม้บ้านครั้งเดียว" แต่ถ้า.. ไฟไหม้บ้านสามครั้ง อาจยังไม่เท่ากับค่ารักษามะเร็งของคน ๆ เดียว และที่สำคัญ.. มะเร็งยังกลับมาเป็นซ้ำได้อีกทั้งจากปัจจัยเดิมหรือแม้แต่ปัจจัยจากยาที่ใช้ในการรักษา (การรักษามะเร็งระยะสุดท้ายจะเน้นเพียงการประคับประคองอาการ ซึ่งจะหมดค่ารักษาไปเรื่อย ๆ จนเหนื่อยและท้อ)
และคุณกับครอบครัวอาจจะเริ่มรู้สึกว่าจริง ๆ แล้ว "คุณหมอ" กับ "โจรปล้น" มีความคล้ายกัน เพียงแต่โจรปล้นเอาเงินไปได้เท่าที่มีติดตัวคุณแค่นั้น แต่สำหรับคุณหมอสามารถปล้นได้มากกว่าที่คุณมีติดตัว โดยคุณกับครอบครัวต้องเอาเงินไปให้ แม้ไม่มีเงิน คุณก็ต้องไปกู้หรือขอยืมคนอื่นมาให้ บ้างก็ขายบ้าน ขายรถ ขายทรัพย์สินทั้งหมดที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงทั้งชีวิต จนสุดท้ายคนไข้ก็อยากที่จะหยุดรักษา เพียงเพราะว่า
“หากยังรักษาต่อไป อาจต้องทำให้ครอบครัวล้มละลายและมีหนี้ก้อนใหญ่พร้อมกับภาระอีกมากมาย”
นอกจากนี้ มะเร็งยังเป็นโรคที่มีค่ารักษาผู้ป่วยนอก (OPD) สูงที่สุด ทั้งการตรวจวินิจฉัย การติดตามอาการ และค่ายาต่าง ๆ โดยเฉพาะเมื่อมะเร็งได้ลุกลามไปยังระยะที่ 3-4 แล้ว อาจจะไม่สามารถรักษาโดยการผ่าตัดเป็นผู้ป่วยใน (IPD) ได้แล้ว
การหวังพึ่งสวัสดิการรัฐอาจเสี่ยงเกินไป เพราะการจะลัดคิว (ที่ปกติต้องรอ 2-6 เดือน) เพื่อให้ได้ใช้เครื่องตรวจฉายภาพขั้นสูงต่าง ๆ นั้นคงทำได้ยาก ดังนั้นต้องรอตามคิวรักษา และเมื่อถึงคิว.. มะเร็งที่กำลังเป็นอยู่อาจจะลุกลามถึงขั้นอันตรายแล้ว ยังไม่นับรวมการต้องรอคิวจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (คิวเครื่องอาจจะได้ แต่คิวหมออ่านผลอาจจะไม่ได้)
ซึ่งถ้าไม่ต้องการรอคิวนานลักษณะนี้ก็จำเป็นต้องไป รพ. เอกชน และค่าใช้จ่ายการตรวจวินิจฉัยเหล่านี้จะไต่ระดับขึ้นหลักแสน โดยที่ยังไม่ได้เริ่มรักษา
ที่สำคัญขั้นตอน การรักษาตามสวัสดิการรัฐจะเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดมาแล้ว แม้แพทย์คาดว่า การรักษาแบบนี้จะได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผล ก็ไม่สามารถข้ามขั้นตอนไปยังการรักษาที่ได้ผลดีกว่าได้ ทุกอย่างต้องเป็นตามขั้นตอน หากผิดลำดับแม้แต่นิดเดียว ผู้ป่วยจะไม่สามารถเบิกสิทธิสวัสดิการรัฐได้
ดังนั้นการเลือกแบบประกันสุขภาพจึงต้องมั่นใจว่า จะครอบคลุมการรักษาโรคเหล่านี้ได้ ไม่งั้นประกันสุขภาพที่ได้มาอาจจะเพียงพอดูแลเฉพาะโรคทั่วไปที่สามารถรับมือค่าใช้จ่ายเองได้ไหว แต่กลับไม่เพียงพอสำหรับโรคร้ายรุนแรงที่คุณไม่สามารถรับมือค่าใช้จ่ายเองตามลำพังไหว
ทางเราจึงคิดเสมอว่า ในวัยเรียนควรมีวิชาที่สอนเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายโรคร้ายเหล่านี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะวิชาทางด้านการเงิน
เพราะจะส่งผลให้ต้องรีบทำประกันสุขภาพโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ตามช่วงอายุต่าง ๆ ต่อไปนี้ (ซึ่งอาจจะสายไปแล้วที่จะได้รับความคุ้มครองอย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ สำหรับบางช่วงอายุ)
- อายุ 11-22 : ทำประกันสุขภาพได้ง่ายที่สุด ยังไม่(ค่อย)มีประวัติการรักษาใด ๆ เบี้ยถูก วางแผนการเงินง่าย
- อายุ 23-29 : ใช้ร่างกายค่อนข้างหนัก เริ่มมีประวัติจากการตรวจสุขภาพและใช้ประกันกลุ่มของบริษัท
- อายุ 30-35 : เห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายชัดเจน เริ่มเห็นความสำคัญของประกันสุขภาพแต่ก็มีประวัติสุขภาพแล้วบ้าง
- อายุ 36-44 : เริ่มมีความมั่นคงทางการเงิน มีครอบครัว เริ่มศึกษาเครื่องมือทางการเงินจริงจัง และ(อาจ)มีโรคประจำตัว
- อายุ 45-49 : ร่างกายถดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ต้องดูแลร่างกายมากกว่าเดิม เบี้ยประกันเริ่มสูง จึงต้องวางแผนประกันอย่างจริงจัง
- อายุ 50-55 : เริ่มเข้า-ออก รพ. มากขึ้น ส่วนใหญ่(มัก)ถูกขอให้ตรวจสุขภาพก่อนทำประกัน เบี้ยสูงพร้อมข้อยกเว้นและเพิ่มเบี้ยประกัน
- อายุ 56-60 : ลูก ๆ เริ่มสนใจทำประกันให้พ่อแม่แต่ขั้นตอนยุ่งยาก ได้เห็นว่าค่าใช้จ่ายของ รพ. สูงมาก เบี้ยประกันสูงมากเช่นกัน
- อายุ 61-80 : มีโอกาสทำประกันได้เฉพาะร่างกายแข็งแรงจริง ๆ แต่มักติดปัญหาที่เบี้ยประกันสูงลิ่วที่ไม่ได้วางแผนใด ๆ ไว้ก่อน
ข้อควรคำนึง : การมีเงินสดกันเอาไว้จำนวนมาก(หลายล้านบาท) หรือ การมีประกันสุขภาพที่มีวงเงินเพียงพอสำหรับดูแลค่ารักษาโรคมะเร็ง ทั้งในโรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลรัฐแบบเน้นออกเงินเองได้นั้น ไม่ได้การันตีว่าจะรักษามะเร็งหายได้ เพราะการรักษาแต่ละแบบไม่ใช่ว่าจะได้ผลดีเหมือนกันในทุก ๆ คน บางคนใช้ยาหลักตามสวัสดิการภาครัฐก็ทำให้มะเร็งสงบได้ บางคนมีเงินได้เลือกยาและวิธีการรักษาที่ดีและเร็วที่สุดแต่ก็ไม่สามารถยับยั้งมะเร็งได้
ดังนั้นการมีเงินจำนวนมากหรือรวมกลุ่มเฉลี่ยภัยร่วมกันผ่านประกันสุขภาพ จึงช่วยได้เพียงให้มีทางเลือกในการรักษา กับทางเลือกในการรับบริการที่หลากหลายกว่า หรืออย่างน้อยไม่ต้องรู้สึกอึดอัดใจเมื่อโชคร้ายได้รับบริการที่ไม่ดีหรือไม่ถนอมน้ำใจ เพียงเพราะเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเท่านั้น (ประสบการณ์ตรงของแอนนี่เองที่หลานชายเป็นโรคหัวใจตั้งแต่กำเนิดต้องรักษาติดตามอาการไปตลอดชีวิต ทั้งยังหมดโอกาสทำประกันแทบทุกรูปแบบ จึงต้องอาศัยสวัสดิการรัฐเท่านั้นเพราะค่ารักษาที่สูงมาก ซึ่งวันไหนดีก็ดีใจหาย วันไหนไม่ดีก็ได้แต่ปลอบตนเองว่าเรามาขอใช้สวัสดิการฟรี และบุคลากรวันนั้นคงจะยุ่งมากจริง ๆ)
หมายเหตุ : แม้แต่ประกันสุขภาพมาตรฐานใหม่เองก็มีลำดับขั้นตอนในการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการรักษา โดยเฉพาะเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่ผ่านขั้นตอนการศึกษาจนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นพื้นฐานในประเทศไทย อย่างยาภูมิคุ้มกันบำบัดแบบผู้ป่วยนอก
ที่พื้นฐานปัจจุบันจะต้องรักษาด้วยยาพุ่งเป้าก่อน(โดยเฉพาะมะเร็งระยะ3-4) และเมื่อเห็นว่า ไม่ได้ผล จึงทำบันทึกขอความอนุโลมใช้เป็นยาภูมิคุ้มกันบำบัดในลำดับถัดไป ถึงแม้ 3-5 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมแล้วว่า การให้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดตั้งแต่ระยะที่ 0-2 จะได้ผลดีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองเท่านั้น
ทำให้มาตรฐานประกันสุขภาพปัจจุบันจึงยังไม่ได้กำหนดให้ใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดแบบผู้ป่วยนอกไว้ชัดเจนในกรมธรรม์ เหมือนยาพุ่งเป้าหรือการรักษาอื่น ๆ ที่ต้องเป็นผู้ป่วยนอก ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายของทั้งยาพุ่งเป้า และค่าใช้จ่ายยาภูมิคุ้มกันบำบัด มีค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ายาในปัจจุบันสูงถึงปีละ 3-5 ล้านบาท (ไม่รวมค่าตรวจและรักษาอื่น ๆ และไม่รวมยาในอนาคต) และมัก(ต้อง)ทานยาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ทุกปี(โดยเฉพาะระยะ 3-4) จนกว่ายาจะไม่ได้ผลแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นยาใหม่ที่(อาจ)แพงขึ้น
ล่าสุดมีเครื่องฉายรังสีตัวใหม่ที่มีความแม่นยำและลดผลกระทบกับอวัยวะใกล้เคียงได้อย่างมาก ซึ่งเหมาะกับฉายในส่วนสมองและส่วนตับ แต่ราคาต่อคอร์สการใช้งานจะสูงถึงหลักล้าน ยกเว้นว่าเป็นมะเร็งที่สามารถเข้าร่วมโครงการวิจัยได้ ก็จะสามารถเสียค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่ลดลงอย่างมากได้ (สวัสดิการรัฐจะมีวงเงินให้จำกัดจึงทำให้ได้เฉพาะ VMAT หรือต้องออกส่วนต่างเอง)
ขั้นที่ 3. ตรวจสอบวิธีการจัดการเบี้ยตอนเกษียณ
ก่อนที่จะพิจารณาแบบประกันสุขภาพที่จะมาคุ้มครองค่าใช้จ่ายโรคร้ายที่ไม่รู้งบประมาณเหล่านี้ ให้สามารถรู้งบประมาณผ่านเบี้ยประกันและสามารถวางแผนการเงินได้นั้น
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกันก่อน คือ เบี้ยประกันสุขภาพนั้นไม่คงที่ โดยเบี้ยก่อนเกษียณจะค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่ เบี้ยหลังเกษียณจะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด!!
เมื่ออายุสูงมากขึ้นโดยเฉพาะหลังเกษียณ เบี้ยประกันจะสูงขึ้นอย่างมาก และเป็นช่วงอายุที่อาจไม่ได้มีรายได้เข้ามาแล้ว
การแก้ไขปัญหาเบี้ยสุขภาพช่วงสูงอายุจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากเพราะช่วงชีวิตหลังเกษียณจะมีโอกาสใช้ประกันสุขภาพมากที่สุด
ทั้งนี้ทาง Release your Risk เอง จะเน้นวิธีการแก้ไขปัญหาเบี้ยตอนเกษียณด้วยวิธีต่อไปนี้
**พิเศษเฉพาะ RELEASE YOUR RISK สามารถคำนวณให้ได้ทุกปี (เมื่อลงทุนแต่ละปีไม่เท่ากัน)
❒ ที่มา : วิธีนี้จะเน้นคำนวณเงินที่แนะนำให้ลงทุนใน กองทุน RMF/SSF ในแต่ละปีที่แตกต่างกันได้ตามสภาพคล่องปีนั้น ๆ เพื่อวางแผนมาช่วยในการจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพแบบปกติในตอนเกษียณ และได้ลดหย่อนภาษีไปในตัว รวมถึงมีการวางแผนการลงทุนหลังเกษียณแบบ Time-based Segmentation ที่จะแบ่งเงินเป็น 3 กอง กองที่ต้องใช้ใน 15-16 ปีแรกก็จะความเสี่ยงต่ำ กองที่ต้องใช้ในอีก 15 ปีข้างหน้าก็ความเสี่ยงสูง และกองที่ต้องใช้ในอีก 30 ปีข้างหน้าก็จะความเสี่ยงสูงมาก เรียกว่าปรับความเสี่ยงการลงทุนตามโอกาสที่จะอายุยืนถึงได้นั้นเองป
❒ ข้อดี : รู้เป้าหมายเงินที่จะใช้ชัดเจน มีความยืดหยุ่นในการลงทุนไม่ต้องเท่ากันทุกปีก็ได้ ได้ลดหย่อนภาษีเพิ่มและเงินคืนจากการลดหย่อนภาษีสามารถมาชดเชยในส่วนที่คลาดเคลื่อนจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ การจำลองแผนการลงทุนไม่ได้ใช้อัตราผลตอบแทนคงที่ตลอดชีพจึงมีความแม่นยำมากขึ้น แยกระหว่างเบี้ยประกันที่การันตีผลตอบแทน กับการลงทุนที่ไม่การันตีผลตอบแทนออกจากกันชัดเจน และสามารถดัดแปลงใช้วิธีนี้ในการวางแผนบำนาญได้
❒ ข้อสังเกตุ : จำเป็นต้องคำนวณให้ดีว่ายอดเงินที่ต้องเก็บเฉลี่ยปีละเท่าไร หากปีนี้เก็บน้อย ปีหน้าต้องเก็บเท่าไร ซึ่งต้องมีการสร้างเครื่องมือในการคำนวณและปรับความเสี่ยงแต่ละส่วนที่ตามที่ต้องการ พร้อมระบุอายุที่ต้องการเกษียณให้ชัดเจน ซึ่งสามารถให้ทาง Release your Risk คำนวณให้ใหม่ได้ในทุกปี
ตัวอย่าง การคำนวณที่ทาง Release your Risk มีการเปรียบเทียบให้พิจารณาก่อนตัดสินใจเรื่องแผนประกันของเพศชาย อายุ 29 ปี (ยิ่งลงมือทำเร็วจะมีโอกาสประหยัดได้มากขึ้น)
หมายเหตุ : "จะมั่นใจได้อย่างไรว่าผลตอบแทนการลงทุนทั้งจาก RMF และ SSF จะเป็นตามที่คาดการณ์ รวมไปถึงควรเลือกกองทุนแบบใด ทั้งก่อนและหลังเกษียณ" ส่วนนี้จะเป็นคำถามสำคัญที่ทางเราได้อธิบายลงรายละเอียดไว้ในบทความต่อไปนี้
❐ สามารถกดแชร์เพื่อเก็บไว้อ่านภายหลังในยามว่างได้ค่ะ
ขั้นที่ 4. พิจารณาเลือกความคุ้มครองที่ต้องการ
เปรียบเทียบแบบ Happy Health vs Prestige Health ตามวิธีการรักษา
เปรียบเทียบแบบ Happy Health vs Prestige Health
ตามหมวดความคุ้มครอง
ลิงก์โบรชัวร์ Happy Health , Prestige Health
ลิงก์ตัวอย่างกรมธรรม์ Happy Health , Prestige Health
สรุปความคุ้มครอง Happy Health vs Prestige Health และข้อสังเกตุสำคัญ
BLA Happy Health ผู้ป่วยในมาที่หนึ่งรองรับถึงอนาคต
❐ จะเน้นเฉพาะ ค่ารักษาที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยในเป็นหลักเท่านั้น ส่วนใดที่ต้องเกี่ยวข้องกับการรักษาผู้ป่วยนอก จะมีวงเงินที่ให้มาจำกัดหรือจะไม่มีเลย เช่น
ค่าตรวจวินิจฉัยก่อนหลังแอดมิต 30 วัน รวมถึงการรักษาผู้ป่วยนอกหลังแอดมิต 30 วัน ที่จะมีวงเงินสูงสุด 2,000 บาทต่อครั้งการรักษา เท่านั้น
❐ ส่วนค่ายากลับบ้าน ก็จำกัดเพียงทานได้ 7 วันและไม่เกิน 20,000 บ.ต่อครั้งการรักษา (ซึ่งไม่เพียงพอในส่วนของยามะเร็งที่เป็นแบบพุ่งเป้า) แต่ก็มีในส่วนวงเงินสำหรับรักษามะเร็งแบบผู้ป่วยนอกสูงสุดต่อปีอยู่ที่ 100,000 บ. มาให้
❐ ส่วนการฟื้นฟูในฐานะผู้ป่วยใน จะมีเรื่องกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัดตามปกติ ซึ่งจำนวนวันการบำบัดจะไม่เกินที่แพทย์เห็นว่ายังควรเป็นผู้ป่วยใน
แต่จะไม่รวมถึงการฟื้นฟูการพูดหรืออรรถบำบัด และไม่มีค่าพยาบาลดูแลส่วนตัวตามแพทย์แนะนำ
❐ ไม่มีค่าเวชศาสตร์ฟื้นฟูแบบผู้นอกภายหลังออกจาก รพ. แต่ก็สามารถซื้อสัญญาผู้ป่วยนอกแบบวงเงินต่อครั้งเพิ่มเติมได้ ซึ่งสัญญาผู้ป่วยนอกเพิ่มเติมนี้จะรวมทั้งค่าตรวจรักษาผู้ป่วยนอก และค่ากายภาพบำบัดโดยไม่ต้องเป็นผู้ป่วยในมาก่อน
❐ ทั้งนี้จะไม่มีวงเงินค่ารักษาพยาบาลอุบัติเหตุผู้ป่วยนอก รวมไปถึงค่าตรวจรักษาผู้ป่วยนอกใด ๆ
Happy Health จึงมีจุดประสงค์เพื่อการโอนความเสี่ยงทางด้านการผ่าตัดซับซ้อน เช่น หัวใจ สมอง ปอด รวมถึงการรักษามะเร็งแบบผู้ป่วยในเป็นหลัก และได้หมดความกังวลเรื่องค่าห้องที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ข้อสังเกต : ความคุ้มครอง BLA Happy Health
❐ วงเงินความคุ้มครองจะเป็นต่อครั้งการรักษา ใน รพ. โดยเมื่อแอดมิตครั้งใหม่วงเงินจะรีเซ็ตกลับมาเต็มใหม่อีกครั้ง แต่
❐ จะนับว่าเป็นการแอดมิตครั้งใหม่และรีเซ็ตวงเงินใหม่ได้นั้น จะต้องแอดมิตด้วยโรคใหม่อาการใหม่ หรือหากเป็นการรักษาโรคเดียวกันจะต้องห่างกันเกิน 90 วันเท่านั้น (ทำให้บางโรคที่ต้องเข้า-ออก แอดมิตน้อยกว่า 90 วัน หมวดความคุ้มครองที่จำกัดวงเงินอย่างข้อที่ 6 และข้อที่ 2.4 อาจไม่พอ)
❐ ระยะเวลาการแอดมิต รพ. ต่อครั้งได้สูงสุดที่ 180 วัน (โดยต้องนับรวม ICU ที่ได้สูงสุด 60 วัน) แต่ค่าห้องเป็นจ่ายตามจริง โดยเน้นที่ห้องเดี่ยวมาตรฐาน
❐ ค่าตัวแพทย์ผ่าตัดและค่าตัวแพทย์วางยาสลบจะเป็นตามคู่มือค่าธรรมเนียมแพทย์ แต่ค่าแพทย์ตรวจเยี่ยมไข้ต่อวันจ่ายตามจริง
❐ การคุ้มครอง 13 หมวดมาตรฐาน ไม่มีหมวดอุบัติเหตุผู้ป่วยนอก และ ไม่มีหมวดค่าเวชศาสตร์ฟื้นฟูผู้ป่วยนอก ส่วนหมวดที่จำกัดวงเงินจะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยนอก เช่น ค่าล้างไต ค่ารักษามะเร็งผู้ป่วยนอก
❐ มีการเพิ่มวงเงินความคุ้มครอง 10% หากเป็นโรคร้ายเกี่ยวกับ มะเร็ง หัวใจ หลอดเลือดสมอง
❐ หากแอดมิต แต่ไม่เคลมผ่านแบบประกันนี้ (หรือเคลมผ่านประกันอื่น ถ้ามี) ทางบริษัทฯ จะเปลี่ยนเป็นจ่ายค่าชดเชยรายวันสูงสุด 2,000 บ.ต่อวัน (สูงสุด 10 วัน)
❐ สามารถเลือกรับความเสี่ยงเองบางส่วนได้ (เพื่อลดเบี้ยประกัน) โดยเลือกจ่ายค่ารับผิดส่วนแรก (Deductible) ต่อการเข้ารักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง (เนื่องจากไม่ใช่ค่ารับผิดส่วนแรกแบบรายปี จึงทำให้เบี้ยประกันลดลงได้มาก)
❐ ทั้งนี้หากเข้า-ออกจากการรักษาตัวใน รพ. 2-3 ครั้งที่แต่ละครั้งห่างกันน้อยกว่า 90 วันในอาการหรือโรคเดียวกัน จะทำให้ยังต้องใช้วงเงินคุ้มครองเดียวกัน (ไม่ได้รีเซ็ตใหม่ และไม่ต้องจ่ายรับผิดส่วนแรกใหม่)
❐ โดยการจ่ายค่ารับผิดส่วนแรก จะเน้นเฉพาะในส่วนผู้ป่วยใน (IPD) หรือหมวดความคุ้มครองที่ 1-5 เท่านั้น ในส่วนหมวด 6-13 จะไม่ต้องจ่ายรับผิดส่วนแรก เนื่องจากหมวด 9-11 มีวงเงินของตนเองแยกชัดเจน และหมวดที่ 6, 12, 13 เป็นลักษณะผู้ป่วยนอกและมีค่าใช้จ่ายเพียงหลักพันเท่านั้น
Prestige Health ยืนหนึ่งการรักษามะเร็งทุกขั้นตอน
❐ จะเน้นให้ ครอบคลุมการตรวจวินิจฉัย ดูแลรักษา ตรวจติดตามอาการ ในแต่ละครั้งการแอดมิต รวมถึงการติดตามรักษาต่อเนื่องในฐานะผู้ป่วยนอก ทั้งการตรวจก่อนหลังแอดมิต 30 วัน และรักษาผู้ป่วยนอกหลังแอดมิต 30 วัน (จ่ายตามจริง)
❐ ส่วนค่ายากลับบ้าน ในปริมาณ 30 วันที่จ่ายตามจริง
❐ ทั้งนี้ในกรณีโรคมะเร็งที่ต้องรักษาแบบผู้ป่วยนอกเกินกว่า 30 วัน ก็จะคุ้มครองทั้งยาพุ่งเป้า เคมีบำบัด รังสีรักษา ร่วมด้วย และหากจำเป็นต้อง ตรวจฉายภาพขั้นสูงในฐานะผู้ป่วยนอก ก็สามารถขออนุมัติเคลมส่วนนี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยใน
❐ ส่วนการฟื้นฟูในฐานะผู้ป่วยใน จะมีการฟื้นฟูทางด้านกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด และอรรถบำบัด (การพูด) รวมกันสูงสุด 30 วันต่อโรคต่อครั้งการเข้ารักษาตัว
ซึ่งเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าสามารถกลับบ้านเพื่อบำบัดหรือดูแลต่อที่บ้านได้ ก็จะยังมีค่าพยาบาลดูแลส่วนตัวตามคำแนะนำแพทย์ ให้สูงสุด 60 วันต่อปี
❐ สำหรับแผน 50 ล้านบาทขึ้นไป ก็จะมีวงเงินค่าเวชศาสตร์ฟื้นฟูผู้ป่วยนอก กายภาพบำบัด ฝังเข็ม หลังออกจาก รพ. เพิ่มเติมเข้ามา กับมีวงเงินค่าตรวจรักษาผู้ป่วยนอกแบบต่อปีมาให้
❐ นอกจากนี้ยังมีค่ารักษาอุบัติเหตุผู้ป่วยนอก 24 ชม.และสามารถติดตามอาการได้อีก 15 วัน
Prestige Health จึงมีจุดประสงค์เพื่อการโอนความเสี่ยงครบด้านทั้งการผ่าตัดซับซ้อน รวมไปถึงการรักษามะเร็งทั้งแบบผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก ที่ต้องมีการรักษาต่อเนื่องยาวนานที่สุด
ข้อสังเกต : ความคุ้มครอง Prestige Health
❐ วงเงินความคุ้มครองจะเป็นต่อปีกรมธรรม์ เพื่อนับเป็นวงเงินใหม่ แต่ทั้งนี้ต้องไม่มีการแอดมิตคาบเกี่ยวปีกรมธรรม์
❐ หากแอดมิตคาบเกี่ยวปีกรมธรรม์ จะยังใช้วงเงินเดิม จนกว่าจะถือว่าเป็นการแอดมิตครั้งใหม่ (ที่ต้องแอดมิตด้วยโรคใหม่หรือโรคเดิมที่ต้องห่างกันเกิน 90 วัน เท่านั้น) ดังนั้นบางโรคที่ต้องเข้าแอดมิตระยะยาว จึงต้องใช้วงเงินเดิม (ขั้นต่ำ 10 ล้าน) ไปเรื่อย ๆ
❐ ระยะเวลาการแอดมิต รพ. ต่อครั้งได้สูงสุดที่ 365 วัน (โดยนับรวม ICU) แต่ค่าห้องจะขึ้นอยู่กับแผนที่เลือก ซึ่งอาจมีข้อกังวลเรื่องส่วนเกินค่าห้องเมื่อระยะเวลาผ่านไปนานหลาย 10 ปี
❐ ค่าตัวแพทย์ผ่าตัดและค่าตัวแพทย์ยาสลบจะเหมาจ่ายตามจริง จึงสามารถเลือกแพทย์ผ่าตัดเป็นอาจารย์แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษได้
❐ การคุ้มครอง 13 หมวดมาตรฐาน จะไม่มีหมวดค่าเวชศาสตร์ฟื้นฟูผู้ป่วยนอกในแผน 10-30 ล้าน แต่มีวงเงินส่วนนี้รวมกับค่ากายภาพบำบัดและฝังเข็มในแผน 50 ล้านขึ้นไป (ใช้ได้ภายหลังการแอดมิตเท่านั้น)
❐ หากตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคร้าย มะเร็ง หัวใจ หลอดเลือดสมองในครั้งแรก จะสามารถหยุดชำระเบี้ยปีนั้นได้ 1 ครั้ง (ต่อตลอดชีพ)
❐ มีหมวดพิเศษเพิ่มในส่วนค่าตรวจรักษาผู้ป่วยนอก อรรถบำบัด อุปกรณ์เทียมภายนอกกาย รักษาทันตกรรมเนื่องจากอุบัติเหตุ และค่าวินิจฉัยภาพขั้นสูงแบบผู้ป่วยนอก
❐ หากแอดมิต แต่ไม่เคลมผ่านแบบประกันนี้ (หรือเคลมผ่านประกันอื่น ถ้ามี) ทางบริษัทฯ จะเปลี่ยนเป็นจ่ายค่าชดเชยรายวันสูงสุด 2,000 บ.ต่อวัน (สูงสุด 10 วัน)
❐ ไม่สามารถเลือกจ่ายรับผิดส่วนแรกได้ เพราะมีหมวดค่ารักษาที่เกี่ยวข้องกับ OPD ที่คุ้มครองสูง (ซึ่งถ้ามีให้จ่ายค่ารับผิดส่วนแรก ก็คงต้องเป็นจำนวนที่สูงมาก อาจเป็นหลักแสนเพื่อชดเชยส่วนนี้)
❐ แผน 50 ล้านขึ้นไป ยังคงไม่มีความคุ้มครองภัยที่จงใจให้เกิดขึ้นได้ หรือภัยที่เฉลี่ยกับผู้อื่นได้ยาก (เช่น โรคแทรกซ้อนการตั้งครรภ์ ค่าทำคลอด ค่าทำฟัน ค่าตรวจสุขภาพ ค่าฉีดวัคซีน) เพื่อทำให้เบี้ยประกันน้อยลงที่สุด
หมายเหตุ : การฟื้นฟูสภาพในฐานะผู้ป่วยในนั้น มักจะเกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด สมอง หัวใจ ปอด กระดูก ไขข้อ รวมถึงผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็ง ที่ส่งผลต่อการเดิน การหายใจ การสื่อสาร การพูด การกลืนอาหาร ซึ่งต้องทยอยฟื้นฟูจนแพทย์ให้ความเห็นว่าสามารถออกจาก รพ. และสามารถฟื้นฟูอาการในฐานะผู้ป่วยนอก หรือดูแลต่อที่บ้านได้
แต่ก็จะมีเคสที่การฟื้นฟูผู้ป่วยในจะทำได้ระดับหนึ่งจนเห็นว่าอาการทรงตัวไม่สามารถดีขึ้นอีกได้แล้วโดยเฉพาะกับผู้ป่วยติดเตียง (ปกติจะใช้เวลาดูอาการประมาณ 2 สัปดาห์) ก็จะสามารถให้กลับบ้านได้ โดยคนทางบ้านจะต้องฝึกในการพลิกตัวเพื่อป้องกันแผลกดทับ การนวดการช่วยขยับขาแขน การทำและให้อาหารทางสายยาง การดูแลเรื่องการขับถ่าย เป็นต้น โดยในส่วนนี้การมีพยาบาลส่วนตัวช่วยในช่วงการปรับตัวของคนที่บ้าน หรือเพื่อช่วยในการทยอยฟื้นตัวต่อของผู้ป่วยจึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญ
ทั้งนี้สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่คู่มือแนวทางการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย และดูตัวอย่างค่าดูแลเวชศาสตร์ฟูผู้ป่วยนอก กายภาพบำบัด ต่าง ๆ ได้ที่ คลินิกกายภาพบำบัด (ค่าดูแลส่วนนี้จะประมาณหลักพันบาทต่อครั้ง ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ในช่วงแรก)
ขั้นที่ 5. พิจารณาเบี้ยประกันที่ต้องการ
มองในมุมมองเบี้ยประกันแต่ละอายุ
Happy Health vs Prestige Health
มองในมุมมองการกราฟเบี้ยประกันแต่ละอายุ
Happy Health vs Prestige Health
ข้อสังเกตุเบี้ย Prestige Health
❐ เบี้ยจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มชัดเจน คือ กลุ่มที่ไม่มีค่ารักษาผู้ป่วยนอก OPD, กลุ่มที่มี OPD แบบจำกัดวงเงิน และกลุ่มที่มี OPD แบบจ่ายตามจริงและค่าห้องสูง
❐ ค่า OPD และค่าห้อง จะส่งผลต่อเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้นสูงโดยตรง (โดยเฉพาะตอนสูงอายุที่มีโอกาสใช้สูง) เพราะวัดความจำเป็นทางการแพทย์ได้ยาก หรือสามารถเกินความจำเป็นทางการแพทย์ได้ ทำให้ทั้งสองค่านี้จะเฉลี่ยภัยกับผู้อื่นได้น้อยมาก
❐ การเลือกแผนว่าจะเป็นแบบมี OPD หรือไม่มีดีกว่ากันนั้น จึงต้องพิจารณาเทียบระหว่าง
- 1. การเตรียมเงินฉุกเฉินเพื่อ OPD ที่พอคาดการณ์งบประมาณในแต่ละปีได้เอง เช่น ปีละ 7,600 บ. โดยปีไหนไม่ได้ใช้หรือไช้ไม่หมดก็ยังเก็บไว้ใช้ปีหน้าได้ ซึ่งสุดท้ายในตอนเกษียณอาจจะมีเงินเก็บ OPD ส่วนนี้ถึงหลักแสนบาทเลยก็ได้
- 2. ยอมจ่ายเบี้ยทิ้งที่สูงขึ้น เพื่อความสะดวกสบายที่ไม่ต้องเตรียมเงินฉุกเฉินค่า OPD ไว้เอง ด้วยเบี้ยปีละ 7,600 บ. เพื่อแลกกับค่า OPD 2,000 บ.ต่อครั้ง ไม่เกิน 30 ครั้งต่อปี และตอนเกษียณเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 26,600 - 49,400 บ. ตามอายุที่มากขึ้น เพื่อแลกกับความคุ้มครองเท่าเดิมทุกปี
❐ เงินฉุกเฉินเก็บไว้ใช้ปีหน้าได้หากไม่ได้ใช้ แต่เบี้ยประกันจะพิจารณาเป็นปีต่อปี หากปีนี้ไม่ได้ใช้ก็แสดงว่าได้จ่ายให้คนอื่นที่เฉลี่ยรับภัยร่วมกันผ่านแผนประกันสุขภาพในปีนี้ได้ใช้แทนไปแล้ว ดังนั้นเบี้ยยิ่งใกล้เคียงกับเงินฉุกเฉินที่เตรียมเอง ไว้ได้มากเท่าใด แสดงว่าภัยนั้น ๆ เป็นภัยที่เฉลี่ยกับคนอื่นแทบไม่ได้เลย และ OPD เป็นตัวอย่างที่ดีของภัยลักษณะนั้น
ข้อสังเกตุเบี้ย Prestige Health แบบไม่มี OPD เทียบกับ Happy Health แบบปกติ
❐ เบี้ยมีความใกล้เคียงกันพอสมควรตั้งแต่อายุ 11-60 ปี (หลังจากอายุ 60 ปีโอกาสเป็นมะเร็งจะเริ่มสูงขึ้น)
❐ หากคนใกล้ตัวมีประวัติเป็นมะเร็งหรือใช้ชีวิตเสี่ยงกับมะเร็ง การเน้นไปที่ Prestige Health อาจเป็นคำตอบที่ดี เพราะแม้ว่าเบี้ยจะสูงกว่า Happy Health แต่ก็รู้ว่าสูงเท่าใด ในขณะที่ค่ารักษามะเร็งจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะไปจบลงที่เท่าใด
❐ การเลือก Prestige Health จะจำเป็นต้องใช้เงินและเวลาในการเตรียมเบี้ยตอนเกษียณมากกว่า Happy Health อย่างชัดเจน
❐ การเลือกวงเงินคุ้มครอง 5 ล้านต่อครั้งของ Happy Health หรือ 30 ล้านต่อปีของ Prestige Health จะเหมาะสำหรับอนาคตในอีก 20-30 ปี ด้วยเบี้ยที่ต่างกันไม่มากเมื่อเทียบกับแผนใกล้เคียงที่วงเงินน้อยกว่า
ข้อสังเกตุเบี้ย Happy Health (Deductible)
❐ เนื่องจาก Happy Health เป็นแผนที่เน้นโอนความเสี่ยงเรื่องผู้ป่วยในเป็นหลัก จึงสามารถทำ Deductible แบบรายครั้งการเคลมผู้ป่วยในได้ ในขณะที่ Prestige Health จะไม่สามารถทำได้เนื่องจากมีส่วนความคุ้มครองที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยนอกโดยเฉพาะกับมะเร็งที่สูงมาก
❐ ในแผนที่มี Deductible สูงถึง 1 แสนต่อครั้งการเคลมผู้ป่วยใน จะลดเบี้ยประกันลงได้อย่างมาก (เมื่อเทียบกับ Deductible แบบรายปี) โดยจะเหลือเบี้ยเพียงหลักพันบาทต่อปีเท่านั้น (ในวงเงินความคุ้มครอง 5 ล้าน Deductible 1 แสน ช่วงอายุ 11-55 ปี)
❐ แต่ต้องระวังช่วงสูงอายุที่เริ่มนอน รพ. บ่อยครั้งขึ้น อาจทำให้เงินสะสมที่ได้จากส่วนลดเบี้ย ถูกแซงหน้าด้วยค่า Deductible ที่ต้องจ่ายทุกครั้งที่เคลมแอตมิตใน รพ. ได้
❐ การเลือกแผน Deductible จึงเหมาะให้เป็นประกันสุขภาพเสริมกับประกันสุขภาพหลักที่มี แต่ถ้าหากไม่มีแผนประกันสุขภาพหลัก หรือประกันกลุ่มของบริษัท ก็ควรต้องดูแลร่างกาย ตรวจสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นอย่างดี เพื่อลดการป่วยที่ต้องเข้านอนใน รพ.
❐ ควรเก็บเงินสำรองฉุกเฉินในส่วนค่ารักษาไว้ทุกปีอย่างน้อย 2-3 เท่า หรือ 10 เท่าของ ค่า Deductible หากคาดว่าตนเองจะได้เข้านอน รพ. ไม่เกิน 10 ครั้ง
ข้อดีคือถ้าไม่ได้ใช้ เงินส่วนนี้ก็ยังอยู่ตลอดไป ซึ่งต่างกับการจ่ายเบี้ยประกันที่จ่ายแล้วจ่ายเลย แต่ข้อเสียคือถ้าถูกใช้ ก็ต้องรีบเติมกลับมาโดยเร็วที่สุดหรือต้องลุ้นว่าจะพอหรือไม่
ดังนั้น การทำประกันแบบมี Deductible ต้องวางแผนทั้งเงินไว้จ่ายเบี้ยหลังเกษียณ และเงินไว้จ่ายค่า Deductible (ตามจำนวนครั้งที่คาดว่าต้องนอน รพ. ตอนชรา) ด้วยนั้นเอง หรือถ้าหากหลังเกษียณไม่มีประกันกลุ่มแล้ว ก็สามารถที่จะปรับลดจำนวนเงิน Deductible หรือปรับเป็นแบบไม่มี Deductible ได้ ซึ่งจะเป็นสิทธิพิเศษเฉพาะตอนอายุ 55-65 ปีเท่านั้น
มองในมุมมองเบี้ยประกันรวมทั้งหมดและค่าคอม
Happy Health vs Prestige Health
กราฟจะทำให้เห็นรูปแบบการเติบโตของเบี้ย ในขณะที่เบี้ยรวมแต่ละช่วงอายุจะทำให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่าเบี้ยก่อนเกษียณและเบี้ยหลังเกษียณมีความแตกต่างกันมากจริง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องวางแผนใช้เครื่องมือการเงินมาช่วยให้ไม่ต้องจ่ายเบี้ยหลังเกษียณเอง หรือหากทำไม่ทันจริง ๆ การพิจารณาส่วนลดที่ได้จาก *Deductible ก็เป็นกรณีที่น่าสนใจ แต่ก็ต้องพิจารณาความแข็งแรงของสุขภาพร่วมด้วย
*Deductible คือ ค่ารับผิดส่วนแรกที่ต้องออกเอง หรือให้ประกันกลุ่มออกให้ เช่น 30,000 บ. ต่อครั้งต่อโรคที่เข้ารักษา จากนั้นค่ารักษาส่วนที่เกินกว่า 30,000 ประกันสุขภาพจึงจะเข้าเข้ามาดูแล หรือก็คือ ประกันสุขภาพที่ดูแลเฉพาะค่ารักษาที่เกินกว่า 30,000 บาทนั้นเอง
**ครั้งการรักษา คือ หากเข้าแอดมิตรักษาโรคเดิมหรืออาการสืบเนื่องจากโรคเดิม ห่างกับครั้งก่อนไม่ถึง 90 วัน จะนับเป็นครั้งเดียวกัน ไม่ต้องจ่ายส่วน Deductible ใหม่ แต่หากเป็นโรคใหม่จะนับเป็นคนละครั้งทันทีและต้องจ่ายส่วน Deductible ครั้งใหม่
คำถามหนึ่งที่ถือว่าตอบค่อนข้างยากมากในหมู่นักวางแผนทางการเงิน คือ หากคุณกับครอบครัวไม่สามารถทำประกันสุขภาพได้ จะจำเป็นต้องตั้งงบประมาณค่ารักษาพยาบาลของแต่ละช่วงอายุเท่าไรดี เช่น
อายุก่อนเกษียณควรกันเงินไว้เป็นค่ารักษาประมาณ 1 ล้านจะพอไหม และอายุหลังเกษียณควรกันเงินไว้สัก 3 ล้านจะพอหรือไม่ แล้วจำนวนเงินหลักล้านที่ต้องกันไว้เฉย ๆ นี้ มูลค่าเงินจะลดลงไปตามเงินเฟ้อไปได้มากแค่ไหน
ซึ่งหากคำตอบของคุณกับครอบครัว คือ ควรกันเงินไว้มูลค่าหลักล้านบาทขึ้นไปต่อคน นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เมื่อพิจารณาจากค่ารักษาที่ทยอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน
แต่ในความเป็นจริงคนทั่วไปมักจะมองข้ามการตั้งงบประมาณค่ารักษาส่วนนี้ไว้ และจะมีงบให้เฉพาะกับค่ารถและบ้าน ที่ต้องผ่อนหลักหมื่นหลักแสนบาทต่อเดือนรวมหลายล้านบาทเท่านั้น
ในขณะที่จะตกใจอย่างมากกับเบี้ยประกันสุขภาพที่ต้องจ่าย หลักหมื่นบาทต่อปี เพื่อแลกกับงบประมาณความคุ้มครองหลักล้านในทุกปี หรือในทุกครั้งที่เข้ารักษา
โดยจากตารางด้านล่างนี้จะทำให้เห็นว่าเบี้ยรวมแต่ละช่วงอายุนั้นเป็นเท่าใด ซึ่งไม่ได้หมายความว่าคุณกับครอบครัวจะต้องจ่ายเท่านั้นในทันที (หรือต้องกันเงินไว้จำนวนมาก) เพราะจะทยอยจ่ายเพียงหลักหมื่นบาทต่อปีเท่านั้น และยังเหลือเงินให้สามารถวางแผนการลงทุนให้เงินเติบโตเพื่อนำมาจ่ายเบี้ยประกันได้เองในวัยเกษียณ ได้อีกด้วย
จากรูปตารางเปรียบเทียบเบี้ยประกันรวมของแต่ละช่วงอายุ ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าเบี้ยรวมจะเริ่มขึ้นสูงในช่วงใด เพื่อแลกกับค่ารักษาที่จะรีเซ็ตวงเงินกลับมาใหม่ในแต่ละปีหรือแต่ละครั้ง และยังช่วยเป็นงบเป้าหมายให้สามารถวางแผนการลงทุนเพื่อเตรียมรับมือกับเบี้ยประกันในช่วงเกษียณอายุได้ ซึ่งกลายเป็นข้อได้เปรียบที่ดีกว่าคนอื่นที่ไม่สามารถทำประกันสุขภาพและไม่รู้ว่าต้องตั้งงบและกันเงินไว้เท่าไรดี
ทั้งนี้แผน Prestige Health เบี้ยชายหญิงจะเท่ากัน เพียงแต่ของผู้หญิงจะมีเงื่อนไขการรับประกันที่เข้มงวดมากกว่า ในขณะที่แผน Happy Health เบี้ยหญิงจะสูงกว่าเบี้ยชาย เพราะผู้หญิงมีโอกาสเจ็บป่วยนอน รพ. มากกว่าผู้ชายนั้นเอง
ในแง่ของค่าตอบแทนการตลาดที่บริษัทให้กับทางตัวแทนนั้นจะคิดเป็น % ของเบี้ยประกันแบบนั้น ๆ โดยเบี้ยประกันปีแรกของ Happy Health จะอยู่ที่ 25% และปีต่อ ๆ มาจะลดลงมาที่ 15% 10 % และ 5% คงที่ตามลำดับ ในส่วน Prestige Health ปีแรกจะอยู่ที่ 10% และปีต่อ ๆ มาได้ 5% คงที่ตามลำดับ ในขณะที่ประกันแบบแยกค่าใช้จ่ายหรือประกันเหมาจ่ายแบบเก่า ๆ ที่ความคุ้มครองไม่เพียงพอต่อมะเร็งนั้น ปีแรกจะให้ค่าตอบแทนสูงถึง 40% แล้วจึงเป็น 16% 10% แล้ว 5% คงที่
ดังนั้นแบบประกันใดยิ่งให้ความคุ้มครองที่มาก ก็จะทำให้ค่าตอบแทนการตลาดลดลงไปด้วยเช่นกันและเป็นแบบนี้ในทุกบริษัท ซึ่งต้องยอมรับว่าค่าตอบแทนที่ได้นี้ ดูจะสวนทางกับค่าจัดทำข้อมูล ค่าสอบ ค่าอบรมต่อใบอนุญาต ต่อคุณวุฒิวิชาชีพ ค่าประสบการณ์องค์ความรู้ ค่าประสานงานติดตามงานแก้ไขปัญหา และค่าการเขีบนโปรแกรมคำนวณการจัดการเบี้ยหลังเกษียณพอสมควร
จึงทำให้บางครั้งตัวแทนบางท่านก็จำเป็นต้องเลือกนำเสนอเฉพาะแบบประกันสุขภาพที่ให้ค่าตอบแทนมากกว่าเป็นหลัก หรือจำเป็นต้องเน้นสัญญาอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยมักเป็นสัญญาที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าแล้วได้ผลตอบแทน 30%-40% ของเบี้ยประกันปีแรก อย่างสัญญาประกันชีวิตที่ชำระเบี้ย 20 ปี
ไม่งั้นก็ยากที่จะอยู่ในวิชาชีพนี้ได้หากมีรายได้เพียงทางเดียวและเน้นขายด้วยความเข้าใจเป็นหลัก ที่กว่าจะจบขบวนการทำสัญญาอาจใช้เวลา 1-2 เดือนได้ จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ตัวแทนที่เน้นการให้ข้อมูลเยอะและครบถ้วนยากจะอยู่ในตลาดนี้ได้
ขั้นที่ 6. เปรียบเทียบประกันสุขภาพ BLA กับบริษัทอื่นๆ
แต่ละบริษัทจะมีจุดประสงค์และจุดเด่นของประกันสุขภาพตนเองที่แตกต่างกันไปในแต่ละแบบประกัน ซึ่งทางเราได้นำมาวิเคราะห์ไว้ในบทความ เปรียบเทียบแบบประกันสุขภาพเหมาจ่าย 7 บริษัท ไว้เรียบร้อย โดยในส่วนนี้จะเน้นให้เห็นถึงการวาง Position ในตลาดของทั้ง Happy Health และ Prestige Health โดยสรุปดังต่อไปนี้
เน้นเฉพาะผู้ป่วยในจนถึงการผ่าตัดซับซ้อนให้เพียงพอถึงในอนาคต
❐ กราฟเบี้ยเน้นความคุ้มครองต่อครั้ง 1-5 ล้าน ค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานแต่คุ้มครองมะเร็งผู้ป่วยนอกจำกัด
❐ BLA สามารถเทียบได้กับ DHealth ที่เป็นแผนลักษณะเดียวกัน โดย BLA จะต่างกับ DHealth ตรงที่ BLA HHealth มีการคุ้มครองทั้งแบบ Day Surgery (ไม่จำกัดเฉพาะการผ่าตัดแบบไม่ต้องนอน รพ. เพียง 21 เคส) และ Minor Surgery (ผ่าตัดเล็ก) รวมไปถึง มีค่าตรวจก่อน-หลังการแอดมิต 30 วัน (ในวงเงินสูงสุด 2,000 บ.ต่อการแอดมิต) และยังเพิ่มความคุ้มครองในส่วนวงเงินค่าล้างไตและรักษามะเร็งผู้ป่วยนอกมาด้วยที่สูงสุด 100,000 บ.ต่อปี แต่ในส่วนของค่าธรรมเนียมแพทย์ Happy Health จะยึดตามคู่มือค่าธรรมเนียมแพทย์เป็นหลัก
❐ ในส่วนเบี้ยประกัน ของ HHealth และ DHealth จะค่อนข้างใกล้เคียงกันมาก เพียงแต่ HHealth จะน้อยกว่าเล็กน้อยในทุกช่วงอายุ
หมายเหตุ : DHealth จะยังเป็นแผนเก่าไม่ใช่แผนใหม่ที่จะเปิดใช้จริงวันที่ 1 ก.ค. 65 เป็นต้นไป พร้อมเบี้ยและความคุ้มครองที่ปรับเพิ่มมากขึ้น
เน้นเพียงผ่าตัดซับซ้อนให้เพียงพอถึงในอนาคต
VS
เน้นพอได้ความคุ้มครองรอบด้านในตอนนี้
กราฟเบี้ย แบบวงเงิน 5 ล้านต่อครั้ง ค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน (คุ้มครองมะเร็งผู้ป่วยนอกวงเงินแยก)
VS
แบบวงเงินเฉลี่ย 5 ล้านต่อปี ค่าห้อง 3,000 บ. (คุ้มครองมะเร็งผู้ป่วยนอกในวงเงินเหมา)
❐ เมื่อนำมาเทียบกับ BLA Happy Health จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการ Trade off ที่เน้นให้ผู้เอาประกันเลือกระหว่าง
(1.) Happy Health - ได้ค่าห้อง ค่ารักษาผู้ป่วยในครอบคลุมถึงอนาคต
(2.) บริษัทอื่น ๆ - ได้ค่ารักษาผู้ป่วยนอกและได้แบ่งเบาค่าห้อง ค่าล้างไต และค่ารักษามะเร็งได้บ้าง
❐ ในส่วนเบี้ยประกัน ยังคงมีความใกล้เคียงกันพอสมควร ขึ้นอยู่กับทุนความคุ้มครอง ค่าห้อง และ ค่าOPD โดย Happy Health เบี้ยจะเกือบน้อยที่สุด โดยจะมี TL ที่ค่าห้อง 3,000 เท่านั้นที่น้อยกว่า (แต่พออายุ 80 ปี TL ก็จะเบี้ยสูงกว่า)
❐ ดังนั้นถ้าเน้นเฉพาะผู้ป่วยในเป็นหลัก Happy Health จึงโอนความเสี่ยงส่วนนี้ได้ครบถ้วนอย่างมากจริง ๆ เพียงแต่อาจต้องเสริมด้วยประกันค่ารักษามะเร็งเพิ่ม
แบบคุ้มครองพอต่อค่ารักษามะเร็งครบทุกขั้นตอนถึงในอนาคต ไม่มี OPD
VS
แบบคุ้มครองพอต่อค่ารักษามะเร็งเฉพาะ 13 หมวดมาตรฐาน ไม่มี OPD
VS
แบบคุ้มครองไม่พอต่อค่ารักษามะเร็งในปัจจุบันหรืออนาคต แต่มี OPD ให้
กราฟเบี้ยเน้นความคุ้มครอง 6-20 ล้าน ค่าห้อง 5,500 - 10,000 บ.
❐ จากกราฟ Prestige Health 10 ล้าน ช่วงก่อนเกษียณ จะมีเพียง TL และ FWD ที่เบี้ยน้อยกว่าในช่วงท้าย
❐ เนื่องด้วย TL ไม่มีคุ้มครองพิเศษ
- ค่าอรรถบำบัดฟื้นฟูการพูดในฐานะผู้ป่วยใน (มีเฉพาะ BLA ที่ให้ ในขณะที่ของ MTL จะต้องเป็นแผน 40 ล้านขึ้นไป)
- ค่าพยาบาลส่วนตัว (BLA ที่เดียวให้แบบจ่ายตามจริงนานที่สุด 60 วันต่อปี)
- ค่าฉายภาพขั้นสูงผู้ป่วยนอกจ่ายตามจริงโดยไม่ต้องแอดมิต (มีเฉพาะ BLA ที่เดียวที่ให้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ทั้งค่า MRI CT PET - ค่าใช้จ่าย 3 - 8 หมื่นบาทต่อครั้งและมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ )
- ค่าอวัยวะเทียมภายนอก เวชภัณฑ์คงทนภายนอก
- รวมไปถึง TL มีค่าห้องที่น้อยกว่า ( TL 6,000 บ. , BLA 8,000 บ.)
❐ ในขณะที่ FWD ให้ค่าห้องที่น้อยกว่า BLA คือ 6,000 บ. และเน้นให้ค่า OPD จึงทำให้ต้องลดวงเงินเหลือเพียง 6 ล้าน ซึ่งไม่เพียงพอต่อค่ารักษามะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคตที่มีโอกาสใช้เกินวงเงินสูง จึงทำให้เบี้ยหลังเกษียณไม่พุ่งสูงมาก และ
❐ ด้วยความคุ้มครองพิเศษที่ BLA ให้มากกว่านี้จึงทำให้เบี้ยหลังเกษียณสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
❐ แต่ความคุ้มครองพิเศษทั้งหมดนี้ล้วนเป็นภัยที่ประเมินเงินสำรองฉุกเฉินได้ยากและค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ซึ่งก็ล้วนเป็นภัยที่เฉลี่ยกับคนจำนวนมากได้ง่าย เพราะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือเจตนาให้เกิดขึ้นได้ เบี้ยจึงไม่เพิ่มขึ้นมากจนเกินไปแบบค่า OPD
❐ ดังนั้น Prestige Health 10 ล้าน จึงน่าสนใจพอสมควรหากต้องการโอนความเสี่ยงโรคมะเร็ง ด้วยเบี้ยก่อนเกษียณที่ค่อนข้างจะน้อยเกือบที่สุด แต่กลับให้ความคุ้มครองพิเศษที่ไม่สามารถหาได้ในบริษัทอื่น ๆ และรองรับมะเร็งทุกขั้นตอนจริง ๆ
❐ กราฟเบี้ยเน้นความคุ้มครอง 12-30 ล้าน ค่าห้อง 8,000 - 12,000 บ. (รับภัยมะเร็งเผื่ออนาคต)
❐ จากกราฟ Prestige Health 30 ล้าน ช่วงก่อนเกษียณ จะมีเพียง TL ที่เบี้ยน้อยกว่าในบางช่วง เนื่องด้วย TL คุ้มครองเพียง 13 หมวดมาตรฐาน ไม่มีหมวดความคุ้มครองภัยพิเศษที่จำเป็นและอุดช่องโหว่ให้ 13 หมวดมาตรฐานแบบของ BLA
❐ แต่ TL ก็ให้ค่าห้องมามากกว่าถึง 2,000 บาท ในขณะที่วงเงินความคุ้มครองเท่ากัน
❐ ซึ่งด้วยค่าห้องนี้เองที่สุดท้ายทำให้เบี้ยหลังเกษียณของ TL สูงกว่า BLA เหมือนเป็นการเลือกระหว่างจะเอาค่าห้องเพิ่มขึ้น 2,000 บ. หรือเอาความคุ้มครองพิเศษทุกอย่างที่ BLA มีให้
❐ ในขณะที่ AIA AXA FWD TM เบี้ยจะมากกว่า BLA ทั้งที่ค่าห้องน้อยกว่า (หรือเท่ากัน) และวงเงินคุ้มครองน้อยกว่า เนื่องด้วยค่า OPD ซึ่งเฉลี่ยภัยกับผู้อื่นได้ยาก เป็นตัวฉุดให้เบี้ยขึ้นมาสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด
❐ จึงเป็นอีกครั้งที่ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างการเตรียมเงินฉุกเฉินที่ไม่ใช้ก็เก็บไว้ได้สำหรับจ่ายค่า OPD เอง หรือจะจ่ายเบี้ยประกันสูงขึ้นเพื่อให้ได้คุ้มครอง OPD ที่จ่ายเบี้ยทิ้งในแต่ละปี
❐ ส่วน Elite ของ MTL จะเน้นไปที่ค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานแต่ก็ทำให้เบี้ยสูงขึ้นมากตั้งแต่แรก แล้วจึงมาใกล้เคียงกันกับ BLA ในภายหลัง ซึ่งทำให้การเตรียมเงินสำหรับเบี้ยหลังเกษียณในช่วงวัยทำงานจะยากขึ้นเพราะต้องเตรียมทั้งเบี้ยตอนเกษียณและทั้งเบี้ยปัจจุบัน
❐ ดังนั้น Prestige Health 30 ล้าน จึงเป็นแผนที่ค่อนข้างโดดเด่นที่สุดแผนหนึ่งในกลุ่มนี้ หากต้องการความคุ้มครองมะเร็งครบรอบด้านทั้งในปัจจุบันและในอนาคตด้วยเบี้ยที่ประหยัดที่สุด และที่สำคัญเบี้ยประกันแตกต่างกับ Prestige Health 10 ล้านไม่มากนัก ดังกราฟด้านล่างนี้
เน้นความคุ้มครองสูง สะดวกสบายทั้งในปัจจุบันและอนาคต
❐ กราฟเบี้ยเน้นความคุ้มครอง 30-50 ล้าน ค่าห้องเริ่มต้น 12,000 บ.
❐ กราฟเบี้ยเน้นความคุ้มครอง 70 ล้าน ค่าห้อง 15,000 บ.
❐ กราฟเบี้ยเน้นความคุ้มครองเริ่มต้น 100 ล้าน ค่าห้อง 21,000-25,000 บ.
Prestige Health ตั้งแต่ 50 ล้านขึ้นไป นี้จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการคุ้มครองพิเศษต่าง ๆ เพิ่มเติม รวมถึงต้องการค่ารักษาผู้ป่วยนอก OPD
โดยในตลาดจะมี 3 แบบด้วยกัน
❐ แบบที่ 1 ไม่คุ้มครองภัยที่จงใจให้เกิดขึ้นได้
- คือจะเพิ่มความคุ้มครองเฉพาะ OPD และ กายภาพบำบัดฝังเข็ม เท่านั้น เช่น BLA
❐ แบบที่ 2 คุ้มครองภัยที่จงใจให้เกิดขึ้นได้
- แบบนี้จะรวมทุกความสะดวกสบายเข้าไปในแบบประกันคุ้มครองสูงทั้งหมด ทำให้เบี้ยรวมสูงขึ้นอย่างมาก แต่ก็แลกมากับความสะดวกสบายที่ไม่ต้องจัดสรรเงินเอง เช่น FWD AXA TM
❐ แบบที่ 3 คุ้มครองภัยที่จงใจให้เกิดขึ้นที่สามารถเลือกเอาหรือไม่ก็ได้
- คือมีความคุ้มครองยืนพื้นตามแบบที่ 1 แต่สามารถเลือกความคุ้มครองที่จงใจให้เกิดขึ้นได้ในรูปแบบสัญญาเพิ่มเติมแยกต่างหาก ซึ่งมีบริษัทเดียวคือ MTL จึงทำให้เห็นว่าเบี้ยของภัยที่จงใจให้เกิดขึ้นได้นั้นสูงเท่าใด เพื่อจะได้เปรียบเทียบระหว่างการทยอยจัดสรรเงินเองกับยอมจ่ายเบี้ยแบบใดดีกว่ากันได้ง่ายขึ้นมาก
❐ เบี้ยประกันแบบที่ 1 จะประหยัดมากที่สุด แต่ก็จำเป็นต้องเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินที่พอคาดการณ์ได้ไว้สำหรับค่าวัคซีน ค่าทำฟัน ค่าวัดสายตา ค่ารักษาจิตเวช เป็นต้น ในขณะที่ เบี้ยประกันแบบที่ 2 จะเน้นให้มีความคุ้มครองเหล่านี้ด้วยจึงทำให้เบี้ยต้องสูงขึ้นเพราะเป็นค่าที่เฉลี่ยภัยกับผู้อื่นได้ยากหรือไม่ได้ ในขณะที่เบี้ยประกันแบบที่ 3 จะสามารถเลือกซื้อความคุ้มครองพิเศษเหล่านี้เพิ่มเติมได้ตั้งแต่ 15,000 - 86,000 บ. ต่อปี แต่เบี้ยก็ยังสูง
❐ ในส่วนการเหมาจ่ายตามจริงค่า OPD จะมีเฉพาะแผนสูงสุดของ AXA BLA FWD MTL ซึ่งจะเห็นความกล้าของแต่ละบริษัทประกันว่า พร้อมจะดูแลจัดสรรเงินของภัยที่เฉลี่ยความเสี่ยงกับผู้อื่นได้ยากอย่างไรบ้าง
เพราะหากคำนวณเบี้ยน้อยเกินไปก็จะกลายเป็นช่องโหว่ของเงินกองกลางได้ หรือถ้ามากเกินไปก็อาจจะทำให้คนไม่เลือกแบบประกันนี้ได้เช่นกัน
❐ สิ่งสำคัญ คือ ผู้เอาประกันต้องเข้าใจว่าภัยที่จงใจให้เกิดขึ้นได้เหล่านี้นั้น โดยส่วนใหญ่จะมีค่าใช้จ่ายหลักพันถึงหลักหมื่นต่อครั้งเท่านั้น ไม่ได้รุนแรงมากจนถึงกับทำให้ล้มละลายได้ ทำให้การเลือกที่จะรับความเสี่ยงส่วนนี้ไว้เองจะประหยัดได้มากกว่าเพราะ การจ่ายเบี้ยจะพิจารณาปีต่อปีเท่านั้น ไม่ได้คำนึงถึงว่าปีก่อนหน้าจะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้ ในขณะที่เงินสำรองฉุกเฉินหากไม่ได้ใช้ปีนี้ ปีหน้าก็ยังเก็บไว้ใช้ได้
ทั้งหมดนี้ จะทำให้เห็นการวาง Position ของทั้งแผน Happy Health และแผน Prestige Health อย่างชัดเจนว่า จะเน้นความคุ้มครองไปที่ภัยที่เฉลี่ยภัยกับคนส่วนมากได้เป็นหลัก เพื่อให้ได้เบี้ยที่น้อยลง แต่ได้ความคุ้มครองภัยที่อันตรายและมีค่าใช้จ่ายสูงได้
โดยเฉพาะแผน Prestige Health ที่ครอบคลุมครบขบวนการรักษามะเร็ง ทั้งผู้ป่วยในและนอก ทั้งผู้ป่วยนอกแบบไม่ต้องแอดมิตมาก่อน และทั้งการฟื้นฟูอาการ จะไม่ใช่เพียงเน้นเฉพาะหมวดค่ารักษาพื้นฐาน 13 หมวดเพื่อให้เบี้ยน้อยที่สุดเท่านั้น นี้จึงเป็นที่มาว่าแม้แผน 10 ล้านบาท ของ Prestige Health ก็มีให้ทั้งค่าอรรถบำบัดฟื้นฟูการพูด ค่าพยาบาลดูแลส่วนตัวหลังการรักษานานที่สุด 60 วันและจ่ายตามจริง ค่าฉายภาพขั้นสูงไม่ต้องแอดมิต และค่าอุปกรณ์เทียมภายนอก ซึ่งล้วนเป็นภัยที่ค่าใช้จ่ายสูงทั้งสิ้น
ในส่วนภัยใดที่ตลาดชอบ (ที่จงใจให้เกิดขึ้นได้) เช่น ค่าทำคลอด ค่าฉีดวัคซีน ค่าตรวจสุขภาพ ค่าทำฟัน ซึ่งล้วนเฉลี่ยภัยได้ยากและทำให้เบี้ยปรับเพิ่มสูงมากขึ้น (หากออมเงินเอง จะประหยัดกว่าการจ่ายเบี้ยประกันมาก) ภัยเหล่านี้มักจะมีเฉพาะในแผนประกันสุขภาพวงเงินสูงระดับ 70 ล้านบาทขึ้นไปที่เป็นแผนเน้นจ่ายเบี้ยเพื่อซื้อความสะดวกสบายเป็นหลักเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นในแผนสูง ๆ ของ BLA เอง ก็จะยังไม่มีภัยลักษณะที่จงใจให้เกิดขึ้นได้มาร่วมด้วย อาจเป็นเพราะว่า ต่อให้เก็บเบี้ยเพิ่มมากขึ้นอย่างไร ก็ยังมีโอกาสที่จะกระทบกับเงินกองกลางของทุกคนได้ BLA จึงมีความอนุรักษ์นิยมในส่วนการรับภัยลักษณะนี้ค่อนข้างสูงมาก
หมายเหตุ : บางบริษัทฯ อาจมีข้อกำหนดว่าทุกการเคลมที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยนอก เช่น ค่ายาพุ่งเป้ารักษามะเร็ง ค่าฉายภาพขั้นสูง ค่าเวชศาสตร์ฟื้นฟูผู้ป่วยนอก ค่ากายภาพบำบัด เป็นต้น จะต้องมีการสำรองจ่ายไปก่อนเสมอทุกกรณี ในขณะที่ทาง BLA จะไม่ได้มีข้อกำหนดส่วนนี้ คือ สามารถทำเรื่อง Fax-Claim ได้กับ รพ. คู่สัญญาในความคุ้มครองแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะภายหลังการสืบประวัติการรักษาเรียบร้อยว่า ไม่ได้เป็นมาก่อนทำประกัน
❐ สามารถกดแชร์เพื่อเก็บไว้อ่านภายหลังในยามว่างได้ค่ะ
ขั้นที่ 7. พิจารณาสัญญาหลักประกันชีวิตและสัญญาเพิ่มเติมอื่นๆ
ความคุ้มครองของประกันสุขภาพเองก็ยังมีช่องโหว่สำคัญอยู่ คือ ดูแลเพียงค่ารักษาเท่านั้น จะไม่ได้คำนึงถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็นนอกจากการรักษาเลย
รวมไปถึงการคุ้มครองอุบัติเหตุผู้ป่วยนอกก็มีข้อจำกัดด้านระยะเวลา Follow up ติดตามอาการ จึงเป็นสาเหตุที่อาจต้องพิจารณาสัญญาเพิ่มเติมด้านความคุ้มครองอื่นๆ เพื่อมาอุดช่องโหว่เหล่านี้
โดยปกติ สำหรับบริษัทประกันชีวิตแล้ว ประกันสุขภาพถือเป็นสัญญาเพิ่มเติม ของสัญญาหลักประกันชีวิต เพราะเป็นข้อกำหนดที่ตกลงกันไว้ว่า
สัญญาเพิ่มเติมจะสามารถต่ออายุปีต่อได้เรื่อย ๆ เท่ากับอายุของสัญญาหลักประกันชีวิต หรือตามข้อกำหนดของสัญญาเพิ่มเติมนั้น ๆ
ซึ่งข้อดีของวิธีนี้คือ จะมีประกันชีวิตช่วยคัดกรองผู้ขอเอาประกันที่จะเข้ามาร่วมแชร์เงินกองกลาง ที่หากเป็นโรคหรืออาการใด ๆ ที่อาจส่งผลต่อชีวิตโดยตรง เช่นเกี่ยวกับ หัวใจ สมอง สภาวะซึมเศร้า จะมีโอกาสสูงมากที่จะถูกสัญญาหลักประกันชีวิตนี้ คัดกรองออกไป
นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่าสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพนั้นอาจจะไม่ได้ครอบคลุมค่ารักษาทั้งหมด หรือจะให้ได้เฉพาะค่ารักษาเท่านั้น ไม่ครอบคลุมเงินก้อนหรือเงินชดเชยในขณะที่เข้ารักษาตัวอยู่
จึงทำให้เกิดสัญญาเพิ่มเติมอื่น ๆ ที่จะเข้ามาดูแลส่วนความคุ้มครองที่ขาด ซึ่งของทาง BLA นั้น จะมีวิธีการเลือกสัญญาหลักและสัญญาเพิ่มเติมต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ
พิจารณาเลือกสัญญาหลักประกันชีวิต
ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าประกันชีวิตมีความซับซ้อนสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ (ข้อมูลที่เจาะลึกสามารถดูได้ที่ คู่มือการเลือกเปรียบเทียบประกันชีวิต BLA) สำหรับคู่มือนี้จะเน้นเฉพาะประกันชีวิตที่เป็นสัญญาหลักของประกันสุขภาพที่ควรต้องมีอายุสัญญาถึงอายุครบ 99 ปีเป็นหลัก ดังต่อไปนี้
โดยปกติจะคุ้มครองถึงอายุ 99 ปี ซึ่งจะมีให้เลือกดังตัวอย่าง เพศชาย อายุ 29 ปี ด้านล่างนี้
- ข้อดี :
- เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน
- สามารถเลือกสัญญาเพิ่มเติมได้ทุกสัญญาตามทุนชีวิตที่เลือก
- ชำระเบี้ยด้วยบัตรเครดิตได้
- ได้ทุนชีวิตการันตีชัดเจน ทำให้เกิดความมั่นใจว่าสัญญาหลักจะไม่มีปัญหาถูกปิดกรมธรรม์
- ตอนสูงอายุไม่ต้องมาดูแลอะไรเพิ่มเติมอีกในส่วนสัญญาหลักนี้
- สามารถเลือกทุนชีวิตได้ตามความต้องการตั้งแต่เบี้ยหลักร้อยหรือหลักพันต่อปี ขึ้นอยู่กับว่าปัจจุบันมีประกันชีวิตที่จะคอยดูแลภาระทางด้านค่าจัดการฌาปนกิจ ค่าศาลจัดการเรื่องมรดก ค่าให้กับทายาทที่ดูแลช่วงสุดท้ายของชีวิต หรือไม่อย่างไรเป็นต้น
- ข้อสังเกตุ :
- ทุนชีวิตตั้งแต่ 200,000 ขึ้นไป แบบชำระจนถึงอายุ 99 ปี กับแบบชำระ 20 ปี จะไม่แตกต่างกันมากนักแต่แบบชำระ 20 ปี จะทำให้เลือกสัญญาเพิ่มเติมได้ครบทุกแบบ
- ในส่วนแบบปันผล จะไม่ได้การันตีการปันผลขึ้น โดยจะขึ้นอยู่กับผลการลงทุนในแต่ละปีของบริษัท และเนื่องจากมีการลงทุนร่วมด้วย เบี้ยจึงสูงมากกว่าเพราะต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนเพื่อให้เกิดการปันผลได้
- การนำเงินออกมาใช้จะต้องกู้กรมธรรม์ออกมา และเสียดอกเบี้ย เป็นกำแพงป้องกันทำให้กรมธรรม์นี้มีอายุครบสัญญาจริง ๆ
- ในส่วนสัญญาเพิ่มเติม เช่น สัญญาประกันสุขภาพ ต้องทยอยมาจ่ายเบี้ยประกันเองทุกปี ซึ่งอาจเกิดการหลงลืมได้ในตอนสูงอายุ
จะคุ้มครองยาวถึงอายุ 99 ปีเช่นกัน แต่ขึ้นอยู่กับว่ามีเงินเหลือให้ตัดค่าการประกันภัยจากพอร์ตการลงทุน (ซึ่งไม่การันตี) หรือไม่ โดยสามารถพิจารณาจำนวนเท่าของความคุ้มครองที่ต้องการต่อเบี้ยประกันที่ชำระจากตารางด้านล่างนี้
เช่น ชายอายุ 29 ปี ชำระเบี้ยขั้นต่ำ 12,000 บ.ต่อปี จะได้ความคุ้มครองขั้นต่ำที่ 12,000 x 50 = 600,000 บ.ต่อปี ซึ่งการเลือกความคุ้มครองขั้นต่ำจะทำให้มีเงินเหลือลงทุนมากขึ้น (ภายหลังหักค่าการประกันภัย) ซึ่งช่วยลดความผันผวนของพอร์ตในระยะยาว โดยจะมีรายละเอียดดังรูปภาพด้านล่างนี้
- ข้อดี -
❒ มีโอกาสที่ทุนประกันชีวิตสุดท้ายจะได้มากกว่า 600,000 บ. หากชำระเบี้ย 20 ปี และหยุดพักชำระเบี้ยส่วนชีวิต
❒ สามารถขายกองทุนในพอร์ตเพื่อนำเงินออกมาใช้ได้โดยไม่ต้องกู้ออกมาเหมือนประกันชีวิตทั่วไป
❒ มีความยืดหยุ่นในการบริหารเงินส่วนลงทุน โดยเมื่ออายุยังน้อยสามารถเลือกพอร์ตความเสี่ยงปานกลางที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงได้ แล้วพอหลังเกษียณจึงค่อยปรับเป็นพอร์ตความเสี่ยงต่ำเพื่อป้องกันความผันผวนในตอนสูงอายุได้
❒ สามารถเลือกระยะเวลาชำระเบี้ยได้เอง เช่น จากการคำนวณคาดกาณ์ไปข้างหน้าว่าควรจ่ายเบี้ย 24 ปี ก็สามารถคำนวณย้อนกลับหามูลค่าทั้งหมดของ 24 ปีข้างหน้าว่าในปัจจุบันจะเป็นเท่าใด และเติมเงินเข้าไปในพอร์ตทีเดียวได้ ซึ่งหากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องใช้เงินก็ยังสามารถขายหน่วยลงทุนในพอร์ตออกมาใช้ก่อนได้
- ข้อสังเกตุ -
❒ ไม่สามารถเลือกสัญญาเพิ่มเติมแบบชดเชยรายได้
❒ ไม่สามารถชำระด้วยบัตรเครดิตได้ เพราะจะเหมือนเป็นการกู้ยืมมาลงทุนในกองทุนรวม
❒ ไม่การันตีผลตอบแทน หากเลือกพอร์ตความเสี่ยงต่ำตั้งแต่แรกเพื่อความปลอดภัย ผลตอบแทนที่ได้สุดท้ายอาจน้อยกว่าประกันชีวิตตลอดชีพ เมื่อชำระ 20 ปีเท่ากัน
❒ เบี้ยขั้นต่ำ 12,000 บ.ต่อปี และเลือกความคุ้มครองขั้นต่ำได้เพียงตามตาราง
❒ การขายกองทุนรวมนำเงินออกมาจากพอร์ตอาจเป็นอันตรายที่ส่งผลให้กรมธรรม์ถูกปิดก่อนครบกำหนดสัญญาได้
พิจารณาเลือกสัญญาสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครอง "ค่ารักษา"
เพื่อเพิ่ม ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุ เช่น สุนัขกัด ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ลื่นล้มกระดูกร้าว หรือถูกทำร้ายร่างกาย เป็นต้น
ค่ารักษาอุบัติเหตุผู้ป่วยนอกในปัจจุบันสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกปี เช่น ใส่เฝือกอ่อนอย่างเดียวประมาณ 2 หมื่นบาท มีนัดติดตามอาการล้างแผลติดต่อกัน 1 เดือน ค่าใช้จ่ายประมาณเกือบ 2 หมื่นบาท เป็นต้น ซึ่งไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการใช้วงเงินค่ารักษาผู้ป่วยนอก OPD เพราะมีโอกาสที่จะไม่เพียงพอ และเบี้ยประกันค่ารักษา OPD ที่สูงกว่าเบี้ยประกันอุบัติกว่า 10-20 เท่า
ซึ่งการรักษาผู้ป่วยนอกนี้ แผนประกันสุขภาพ Happy Health ไม่ได้คุ้มครอง ในขณะที่แผนประกันสุขภาพ Prestige Health จะคุ้มครองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน 24 ชม. และสามารถติดตามอาการได้เพียง 15 วันเท่านั้น ซึ่งระยะเวลาอาจไม่นานพอสำหรับเหตุที่ต้องมีการล้างแผลทุกวัน หรือต้องติดตามอาการนานกว่า 1 เดือน เป็นต้นค่ะ
ดังนั้นสัญญาเพิ่มเติมอุบัติเหตุ (อบ.3) นี้ จึงสามารถทำหน้าที่ดังกล่าวได้ เพราะมีระยะเวลาให้ติดตามอาการนานถึง 180 วัน หรือจนกว่าวงเงินค่ารักษาของอุบัติเหตุครั้งนั้นจะหมด
และจะมีตัวอย่างตารางเบี้ยปีแรกและปีต่อของ เพศชาย อายุ 29 ปี ความเสี่ยงอาชีพขั้น 2 ดังรูปนี้ค่ะ (เบี้ยจะแตกต่างกันไปตามความเสี่ยงของอาชีพ โดยเบี้ยน้อยสุดคือขั้น 1 และสูงสุดคือขั้น 3 ในขณะที่ประกันสุขภาพอาชีพขั้น 1-2 เบี้ยจะเท่ากัน)
- ข้อดี :
- เบี้ยประกันคงที่และไม่สูง เมื่อเทียบกับความคุ้มครองผู้ป่วยนอกที่ได้ต่อครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ
- คุ้มครองค่าเวชภัณฑ์ 1 หมายถึง วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ (ใช้แล้วทิ้ง) อาทิเช่น สายยาง ท่อระบาย เข็มฉีดยา ชุดให้ยา ถุงมือ เฝือก เป็นต้น
- คุ้มครองค่าเวชภัณฑ์ 3 หมายถึง วัสดุหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใส่ติดในตัวผู้ป่วย อาทิ วัสดุดาม ยึดกระดูก วัสดุลิ้นหัวใจเทียม เลนส์ตาเทียม เป็นต้น
- ข้อสังเกตุ :
- จะครอบคลุมเฉพาะค่ารักษาที่เกิดจากองค์ประกอบครบ คือ ไม่เจตนาเว้นแต่ต้องเอาชีวิตรอด มีผลบาดเจ็บ รอยช้ำ บาดแผล เกิดจากปัจจัยภายนอกร่างกาย ที่เป็นเหตุโดยตรง ไม่ได้เกิดเพราะโรคใด ๆ
- ไม่คุ้มครองค่าเวชภัณฑ์ 2 หมายถึง กายอุปกรณ์ อุปกรณ์เทียม เครื่องมือทางการแพทย์ และเวชภัณฑ์คงทน อาทิ เครื่องช่วยฟัง แว่นตา เลนซ์ เครื่องช่วยหายใจ อุปกรณ์ออกซิเจน เครื่องวัดสัญญาณชีพ (ชีพจร ความดันเลือด อุณหภูมิ) เครื่องช่วยค้ำยันต่าง ๆ รถเข็นผู้ป่วย อวัยวะเทียม (แขนเทียม ขาเทียม ตาเทียม) เฝือกพยุงคอ (Collar) ฟันปลอม รองเท้าคนพิการ (ส่วนนี้ Prestige Health จะมีดูแลให้เป็นวงเงินตลอดชีพตามแผนที่เลือก)
ค่ารักษาส่วนนี้จะไม่มีวิธีการวัดความจำเป็นทางการแพทย์ได้อย่างชัดเจน เหมือนอุบัติเหตุผู้ป่วยนอก หรือการักษาเป็นผู้ป่วยใน IPD จึงเป็นภัยที่ยากต่อการนำไปเฉลี่ยความเสี่ยงกับผู้อื่นในปีนั้น ๆ ได้
บริษัทประกันจึงมักคิดเบี้ยจากสถิติการใช้งานจริงในปี ๆ หนึ่งของอายุนั้น ๆ เช่น ชายอายุ 29 มีโอกาสเป็นผู้นอกเฉลี่ย 4 ครั้งต่อปี ครั้งหนึ่งคุ้มครอง 2,000 บ. ดังนั้นเบี้ยที่เรียกเก็บคือ 8,000 บ.ต่อปี ดังตัวอย่างตารางเบี้ยต่อไปนี้
ซึ่ง หากเปลี่ยนจากจ่ายเบี้ย เป็นเก็บออมเงินเองปีละ 8,000 บ. ไปเรื่อย ๆ ร่วมกับการปรึกษาเภสัชกรและซื้อยาจากร้านยาทานเอง โดยหากปีไหนไม่ได้ใช้เงินส่วนนี้ เงินส่วนนี้ก็ยังเป็นเงินออมไปทบเป็นของปีหน้าได้ ไม่ต้องจ่ายเบี้ยทิ้งปีต่อปี
หรือหากเกิดเหตุจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ค่าการรับภัยเองก็จะอยู่ที่เพียงหลักหมื่นเท่านั้น ซึ่งไม่ร้ายแรงถึงขนาดทำให้ต้องล้มละลายอย่างการเป็นผู้ป่วยในแน่นอนค่ะ
- ข้อดี :
- เพิ่มความสะดวกสบายในการจ่ายเงินค่ารักษา
- ได้ทดสอบบริษัทประกันว่าเคลมได้จริงหรือไม่ (แต่เกณฑ์การเคลมผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกไม่เหมือนกัน)
- ใช้เป็นค่าตรวจวินิจฉัยกรณีไม่ได้แอดมิตเป็นผู้ป่วยในได้
- สัญญาเพิ่มเติมแบบ OPD ต่อครั้งนี้ จะรวมค่ากายบำบัดในสถานพยาบาลเข้าไปด้วย จะไม่ได้แยกวงเงินหรือใช้ได้เฉพาะภายหลังออกจาก รพ. เหมือนค่า OPD รายปีของแผนประกันเพรสทีจ 50 ล้านขึ้นไป
- ข้อสังเกตุ :
- เบี้ยไม่คงที่ ยิ่งอายุมาก เบี้ยยิ่งสูงมากขึ้นตามสถิติการใช้ OPD
- ผู้เอาประกันมองว่าจะเอากำไรจากเงินกองกลางได้ ในขณะที่บริษัทประกันก็มองว่าจากสถิติแล้วเงินส่วนนี้มีโอกาสใช้ได้ครบเกินเบี้ยน้อยคนเหมือนกัน
- เป็นเครื่องมือในการโฆษณาให้กับบริษัทประกัน เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่า การมีความคุ้มครอง OPD นั้นดีและมีโอกาสได้ใช้บ่อย แต่ไม่ทราบว่าเบี้ยก็สูงมากเช่นกัน
- ไม่ใช่ภัยที่ร้ายแรงมาก สามารถแบกรับไว้เองได้ ซึ่งจะประหยัดมากกว่าการเลือกโอนความเสี่ยง
พิจารณาเลือกสัญญาสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครอง "ภาระ" ที่นอกเหนือจากค่ารักษา
จุดประสงค์ของสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายที่เหมาะเป็นสัญญาคู่กับประกันสุขภาพนั้น จะเน้นโอนความเสี่ยง ด้านภาระทางการเงินต่าง ๆ ที่ยังมีอยู่ ในระหว่างการรักษาตัวเกี่ยวกับโรคร้าย โดยเฉพาะตอนช่วงอายุระหว่าง 25-55 ปีที่เป็นเสาหลักสำคัญ
ที่หากต้องโชคร้ายป่วยด้วยโรคร้ายแรงแล้วต้องหยุดการทำงาน ทางครอบครัวอาจขาดรายได้หลักหรือจำเป็นต้องมีเงินสดเข้ามาช่วยอุ้มธุรกิจเอาไว้
ดังนั้น สัญญาโรคร้ายแรงแบบเจอจ่ายจบทีละกลุ่มโรค (ทั้งหมด 5 กลุ่มโรคในผู้ใหญ่ และ 6 กลุ่มโรคในเด็ก) จะช่วยได้มาก เพราะจะเน้นคุ้มครองเฉพาะโรคขั้นร้ายแรงที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการรักษานานเท่านั้น จึงทำให้เบี้ยต่อความคุ้มครองค่อนข้างประหยัดมากในช่วงก่อนเกษียณ และเมื่อถึงวัยเกษียณก็สามารถยกเลิกสัญญานี้ได้เพื่อช่วยให้ประหยัดเบี้ยได้อีก โดยจะมีตัวอย่างเบี้ย เพศชาย อายุ 29 ปี ดังนี้
- ข้อดี :
- เจอจ่ายไม่จบจนกว่าจะครบทุกกลุ่มโรค
- ไม่มีระยะรอคอยการเคลมระหว่างกลุ่มโรคหรือต้องรักษาโรคกลุ่มที่เคลมให้หายขาดก่อนถึงจะเคลมอีกกลุ่มโรคหนึ่งได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเคลมต่อเนื่องของโรคร้ายที่อาจแทรกซ้อนเพราะมะเร็งได้ ทั้งนี้มะเร็งมีอัตราการเคลมสูงถึง 80% เมื่อเทียบกับโรคร้ายแรงอื่น ๆ ทั้งหมด
- เน้นเฉพาะขั้นร้ายแรงเพื่อทำให้เบี้ยลดลงได้มากที่สุด เนื่องจากไม่มีระยะรอคอยการเคลมระหว่างกลุ่ม ที่จะมาใช้ลดเบี้ยประกันได้
- ข้อสังเกตุ :
- เนื่องจากจ่ายเจอทีละกลุ่มโรคจึงทำให้เบี้ยสูงกว่า เจอจ่ายจบแบบปกติ หรือ เจอจ่ายจบเฉพาะโรคหรือเฉพาะกลุ่มโรค
- เบี้ยไม่คงที่และปรับตัวสูงขึ้นมากโดยเฉพาะในวัยเกษียณ
- เน้นเฉพาะขั้นร้ายแรงที่ต้องตรวจสอบเงื่อนไขดี ๆ ว่าเข้าขั้นร้ายแรงหรือยัง
จุดประสงค์ของสัญญาชดเชยรายวันจะเน้น การชดเชยรายได้เมื่อเป็นผู้ป่วยใน เป็นหลัก โดยจะเน้นพิจารณาจากจำนวนวันที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลมากกว่าเน้นความร้ายแรงของโรค จึงทำให้เบี้ยค่อนข้างจะสูงมากเมื่อเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับ และเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันโรคร้ายแรง
โดยวิธีคิดเบี้ยจะคล้ายกับประกัน OPD คือ จะพิจารณาจากสถิติ ซึ่งจะดูว่าจำนวนวันในการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยในตามแต่ละอายุเป็นเท่าใด และต้องการเงินชดเชยรายวันเท่าใด ดังตารางเบี้ยของ เพศชาย อายุ 29 ปี อาชีพความเสี่ยงขั้น 2 ต่อไปนี้ค่ะ
จากตัวอย่างตารางเบี้ยจะเห็นได้ว่า หากเลือกชดเชยรายได้วันละ 2,000 บ. เบี้ยจะอยู่ที่ 4,000 - 8,000 บ. ตามแต่ละช่วงอายุที่มีโอกาสนอนรักษาตัวใน รพ. นานแตกต่างกัน 2-4 วัน โดยยิ่งอายุมาก ยิ่งมีโอกาสนอนนานมากยิ่งขึ้น เบี้ยก็ยิ่งสูงมากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้เบี้ยของทาง BLA จะยังคิดรวมสถิติในส่วน ถ้าหากเป็นการรักษาแบบ ICU หรือรักษาโรคร้าย จะเพิ่มชดเชยให้อีกเป็น 2 เท่าต่อวัน และหากเป็นผ่าตัดใหญ่ในบางโรคก็จะให้เงินก้อนมาอีก 10 เท่าของเงินชดเชยรายวัน และถ้าหากต้องมีการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ก็จะได้เงินก้อนเพิ่มอีก 200 เท่าของค่าชดเชยรายวัน
ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับประกันโรคร้ายก็จะเห็นได้ชัดว่า จ่ายเบี้ย 4,000 บ. จะได้ทุนประกันโรคร้ายที่ 3,000,000 บ. แต่ถ้าเป็นชดเชยจะได้เงินก้อนเพราะผ่าตัดใหญ่ที่ 20,000 บ. และต้องนอน รพ. นาน 745 - 1,490 วัน เพื่อจะได้เท่ากับทุนความคุ้มครองโรคร้าย และนี่จึงเป็นอีกหนึ่งสัญญาเพิ่มเติมที่มีความคล้ายกับสัญญาเพิ่มเติม OPD ค่ะ
- ข้อดี :
- เป็นอีกหนึ่งประกันที่ผู้เอาประกันจะรู้สึกว่ามีโอกาสได้ใช้และได้กำไรจากเงินกองกลางได้ง่าย
- บางบริษัทจะเน้นทำตลาดด้วยประกันชนิดนี้ จึงอาจไม่จำเป็นต้องมีสัญญาหลักประกันชีวิตที่ทุนชีวิตสูง ก็ทำชดเชยรายวันหลักพันหลักหมื่นได้และมีเบี้ยที่ประหยัดกว่า BLA แต่อาจจะไม่มีการได้เงินก้อนเพิ่ม
- เป็นการช่วยบังคับให้เก็บเงินออมสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ผ่านในรูปแบบของประกันชดเชยรายได้
- ข้อสังเกตุ :
- เป็นหนึ่งในประกันที่มีการทุจริตค่อนข้างมาก จึงทำให้ถูกจับตามองจากฝ่ายสินไหม ซึ่งถ้าพบว่ามีเจตนาทุจริตหวังเงินชดเชยรายได้ที่อาจทำพร้อมกันหลายบริษัท ก็อาจส่งผลให้ถูกยกเลิกประกันนี้และประกันสุขภาพด้วยได้
- หากเลือกชดเชยรายวันที่สูงกว่าปกติ เช่น 3,000 บ. ขึ้นไป ตอนพิจารณาจะมีการขอเอกสารเงินเดินบัญชีเพื่อพิจารณาประกอบว่ามีรายได้ตามนี้จริง ๆ
- ของ BLA หากต้องการชดเชยรายวันที่สูงจะต้องทำประกันชีวิตทุนสูงตามไปด้วย ดังตารางต่อไปนี้
ขั้นที่ 8. พิจารณางบรายรับ-รายจ่ายของครอบครัว
ค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันสุขภาพ ถือเป็นก้อนหินก้อนสำคัญที่จำเป็นและจะต้องนำมาลงโหลแก้วค่าใช้จ่ายก่อนก้อนหินค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
เพราะหากนำมาใส่ที่หลังอาจจะหล่นโหลแก้วออกมา แล้วจำเป็นต้องลดขนาดของเบี้ยลง พร้อมกับได้ความคุ้มครองที่ไม่เพียงพอ และยังเสี่ยงต่อการล้มละลายเพราะค่ารักษาอยู่เหมือนเดิม
ทุกครอบครัวจะมีภาระที่แตกต่างกัน ซึ่งโดยปกติแล้วเฉพาะค่าเบี้ยประกันสุขภาพไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ต่อปี เพื่อไม่ให้เป็นภาระจนเกินไป และยังมีเหลือให้ในส่วนความคุ้มครองประกันชีวิตได้อีก
แต่ทั้งนี้ ก็อาจจะสามารถเกิน 10% ไปจนถึง 20% ได้ ถ้าหากตรวจสอบประวัติของคนในครอบครัวรวมถึงเครือญาติแล้วพบว่า มีคนที่มีประวัติการเป็นมะเร็งมาก่อน
โดยเฉพาะเป็นตอนอายุน้อย ๆ หรือมีคนในตระกูลเป็นมะเร็งชนิดเดียวกันมากกว่า 2 คนขึ้นไป
แนะนำว่าคนในครอบครัว (อย่างน้อย) ควรมีประกันมะเร็ง หรือมีประกันสุขภาพที่เน้นรองรับมะเร็งไว้เเผื่อฉุกเฉิน และพอหลังจากมีประกันนี้แล้ว จึงอาจลองไปตรวจยีนมะเร็งดูจะดีที่สุด
หากตรวจแล้วไม่พบจึงค่อยพิจารณาลดแผนลงได้ในอนาคต แต่ถ้าตรวจพบ ต่อไปก็ควรจะตรวจคัดกรองมะเร็งเป็นประจำ จะช่วยได้ในกรณีที่โชคร้ายเจอมะเร็ง ก็อาจจะเจอตั้งแต่ระยะที่ 0
ซึ่งมะเร็งระยะที่ 0 บางชนิดอย่าง มะเร็งเต้านม (บางประเภท) จะรักษาเพียงทานยาต้านฮอร์โมนเท่านั้น ไม่ต้องผ่าตัด ฉายแสง หรือทำคีโมให้ทรมานร่างกายเลย
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทาง Release Your Risk ต้องให้ ข้อมูลจุดประสงค์ของแบบประกันและตารางเบี้ยอย่างละเอียดทุกแผน รวมถึงมีการคำนวณเงินที่ควรเตรียมเพื่อไว้จ่ายเบี้ยประกันตอนเกษียณสำหรับ Long-term Healthcare ด้วย
เพื่อให้แต่ละครอบครัวได้มีเวลาเลือกเปรียบเทียบได้เต็มที่ทั้งแบบ รายปี ราย6เดือน ราย3เดือน และรายเดือน และปรับแผนรายรับ-รายจ่ายให้สอดคล้องกับการวางแผนเตรียมรับมือกับภัย (ร้ายแรง) ที่คาดไม่ถึงนี้ได้
มากกว่าเพียงการสอบถามงบประมาณและความต้องการ จากนั้นจัดแผนให้เลยโดยไม่เปิดโอกาสให้คนในครอบครัวได้ตัดสินใจ ได้พิจารณาเบี้ยทั้งหมด ได้เลือก และได้จัดการรายรับ-รายจ่ายใหม่ ตามภัยที่ต้องการโอนความเสี่ยง
ตัวอย่างกรณีศึกษา
ครอบครัวพ่อแม่วัย 35 และลูกวัยประถม 3 คน ความเสี่ยงที่ต้องรีบโอนก่อนจะเป็นส่วนของพ่อแม่ แต่พอปรับรายรับรายจ่ายและพยายามเลือกประกันสุขภาพที่มีภัยที่เฉลี่ยความเสี่ยงได้ง่ายและภัยร้ายแรงเรียบร้อยแล้ว ยังพบว่าไม่พอที่จะจัดการความเสี่ยงให้ลูกครบทั้ง 3 คนได้ในตอนนี้
จึงเน้นเลือกประกันมะเร็งโดยตรงเพื่อป้องกันความเสี่ยงร้ายแรงไว้ก่อนเป็นหลัก
ขั้นที่ 9. พิจารณาเลือกแบบประกันสุขภาพตามอายุ
ด้วยข้อมูลที่ค่อนข้างมากทั้งหมดนี้ ทางเราจึงได้สรุปวิธีการเลือกแบบประกันสุขภาพ BLA โดยอ้างอิงกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ รวมถึงช่วงอายุที่เหมาะสมของแบบต่าง ๆ ดังต่อไป
1. ให้เป็นสัญญาหลักและสัญญาแรก สำหรับวัยทำงานสร้างฐานะ
เน้นเป็น ประกันสุขภาพสัญญาหลัก ที่ไม่เคยมีสัญญาอื่น ๆ มาก่อนในวัยทำงาน โดยสัญญานี้จะต้องสามารถเหมาจ่ายและครอบคลุมดูแลค่ารักษาที่จำเป็นได้ตลอดชีวิต ซึ่งจะแบ่งเป็นแนวทางที่เน้นเฉพาะผู้ป่วยในเป็นหลัก และแนวทางที่ครอบคลุมไปสู่การรักษาผู้ป่วยนอกด้วย โดยเฉพาะกับมะเร็ง
2. ให้เป็นสัญญาที่สองสำหรับวัยทำงาน โดยมีประกันหลัก หรือประกันกลุ่มเรียบร้อย
เน้นเป็นประกันสุขภาพสัญญาเสริมเมื่อมีสัญญาหลักอื่น ๆ อยู่แล้วในวัยทำงาน (ประกันกลุ่ม) เพียงแต่สัญญาหลักมีบางอย่างที่ยังครอบคลุมไม่เพียงพอ เช่น ในเรื่องของค่าห้อง ค่าผ่าตัดผู้ป่วยใน ซึ่งสัญญาเสริมนี้สามารถมาเติมเต็มได้ โดยจะสามารถเลือกเป็น Happy Health แบบมี Deductible (ออกค่าใช้จ่ายเริ่มต้นบางส่วนเองก่อนประกันสุขภาพทำงาน) จากนั้นให้ประกันหลักทำหน้าที่ในการจ่าย Deductible นี้ได้
ทั้งนี้หากในตอนเกษียณไม่มีประกันกลุ่มแล้ว และไม่ได้วางแผนเตรียมเงินสำรองไว้จ่าย Deductible แต่พร้อมที่จะจ่ายเบี้ยประกันเต็ม จะสามารถใช้สิทธิ์พิเศษเฉพาะอายุ 55-65 ปี ปรับจากมี Deductible เป็น ไม่มี Deductible ได้หรือจะลด Deductible ลงก็สามารถทำได้ โดยไม่มีการนับระยะรอคอยใหม่ แม้บริษัทจะรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นก็ตาม ดังตารางต่อไปนี้
3. ให้เป็นสัญญาหลักสัญญาเดียว สำหรับลูกของคุณ
เน้นเป็นสัญญาหลักสำหรับวัยเด็ก ตั้งแต่อายุ 11-18 ปี ซึ่งเป็นวัยที่มักจะยังไม่มีโรคประจำตัวใด ๆ สุขภาพยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และมีระยะเวลาในการผ่อนค่ารักษาล่วงหน้าที่นาน จึงทำให้หากคำนวณหาเงินต้นแล้วจะประหยัดได้อย่างมาก จึงเหมาะกับแผนที่มีวงเงินค่ารักษาระดับ 50-100 ล้านบาท และทำให้พ่อกับแม่ได้ปลดความกังวลเรื่องค่ารักษาของลูกไปตลอดชีวิตของลูกเลยได้
4. ให้เป็นสัญญาหลักหรือสัญญาแรกสำหรับวัยใกล้เกษียณ / วัยเกษียณ
เน้นเป็นสัญญาหลักสำหรับ คนวัยใกล้เกษียณ อายุ 50 ปีเป็นต้นไป ที่มีระยะเวลาเตรียมเงินสำหรับเบี้ยหลังเกษียณค่อนข้างสั้น อาจต้องพิจารณา Deductible หรืออาจต้องขยายระยะเวลาเกษียณ นอกจากนี้ด้วยสุขภาพที่อาจไม่ได้แข็งแรงเหมือนในตอนวัยรุ่นหรือวัยกลางคนแล้ว การทำสัญญาประกันสุขภาพจึงมักจะมีขั้นตอนที่ตรวจสอบมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งการขอประวัติการรักษา การตรวจร่างกาย และการพิจารณาข้อยกเว้นความคุ้มครองต่าง ๆ
หรือ ขึ้นอยู่กับงบประมาณและประวัติสุขภาพ
5. ให้เป็นสัญญาเสริมค่าห้องโดยเฉพาะ ทั้งปัจจุบันและอนาคต
เน้นเป็นสัญญาที่ไว้ เสริมค่าห้องโดยเฉพาะ เพื่อรองรับการผ่าตัดใหญ่หรือซับซ้อนที่ต้องนอน รพ. นานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน โดยเฉพาะกับโรคที่เกี่ยวกับสมอง ซึ่งการที่ต้องนอนรักษาตัวนานขนาดนี้ สัญญาหลักโดยทั่วไปอาจต้องจ่ายส่วนเกินค่าห้องจำนวนมากถึงหลักหลายหมื่น หรืออาจเป็นหลักแสนได้หากเป็นในอนาคต เพราะค่าห้องมักเพิ่มเป็น 2 เท่าทุก ๆ 10 ปี
ซึ่งการเลือกแบบ Happy Health ที่มีความรับผิดส่วนแรกที่ 1 แสนบาท ที่ให้ค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน (ราคาเริ่มต้น) จ่ายตามจริง โดยเมื่อร่วมกับค่าห้องของสัญญาหลัก ก็สามารถได้ห้องระดับ VIP ได้ และที่สำคัญด้วยเบี้ยหลักพันบาทจนถึงอายุ 55 ปี จะสามารถวางแผนการลงทุนให้เงินที่เติบโตช่วยจ่ายเบี้ยหลังเกษียณและประหยัดได้อย่างมาก
โดยหากคิดตอนอายุ 11 ปีเพศชาย คำนวณให้จ่ายเบี้ยครั้งเดียวในแผน Happy Health 1 ล้าน มี Deductible-1 แสน จะใช้เงินประมาณเกือบ 1 แสนบาทเท่านั้น แต่หมดความกังวลเรื่องค่าห้องจากการนอน รพ. นาน ได้ในทันที
บางครั้งประกันสุขภาพอาจยังไม่ตอบโจทย์งบประมาณในตอนนี้
โดยหากมีงบอยู่ประมาณหลักพันบาทต่อปีโดยเฉพาะสำหรับผู้เยาว์จนถึงวัยรุ่น การเน้นโอนความเสี่ยงที่มีอัตราความเสี่ยงสูงและรุนแรงก่อน อย่างประกันอุบัตเหตุ หรือประกันมะเร็งโดยเฉพาะ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง
1. เน้นสัญญาเฉพาะค่ารักษาอุบัติเหตุและถูกทำร้ายร่างกาย
เน้นเป็นสัญญาสำหรับค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกด้านอุบัติเหตุเป็นสำคัญ ซึ่งหลายสัญญาประกันสุขภาพอาจจะไม่ได้เน้นครอบคลุมถึงในส่วนนี้ หรือ มีระยะเวลาการติดตามอาการที่สั้นเพียง 7-30 วัน ในขณะที่สัญญานี้สามารถติดตามอาการได้มากถึง 180 วัน หรือจนกว่าค่ารักษาจะหมด
2. เน้นสัญญาสำหรับค่ารักษามะเร็ง ในวัยเด็กถึงวัยทำงาน
เน้นเป็นสัญญาที่ไว้เสริมสัญญาหลักสำหรับเด็กและวัยรุ่นโดยเฉพาะ ที่สัญญาหลักมักจะไม่ครอบคลุมถึงค่ารักษาของโรคมะเร็งที่เป็นภัยร้ายที่พร้อมปรากฏตัวในตอนที่อายุยังน้อย และจากสถิติเริ่มมีผู้ป่วยมะเร็งที่อายุน้อยลงเรื่อย ๆ ในทุกปี
หรือ
❐ สามารถกดแชร์เพื่อเก็บไว้อ่านภายหลังในยามว่างได้ค่ะ
ขั้นที่ 10. พิจารณาบริษัท BLA เงื่อนไขการรับประกัน และข้อควรระวัง
สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการเพิ่มเติมจาก BLA
BLA จะเน้นการบริการเพื่อให้ครอบคลุมทั้ง ก่อน ระหว่าง และหลังการรักษา และเป็นการเพิ่ม Connection ทางด้านเครือข่ายของแพทย์และการรักษาให้กับผู้เอาประกัน โดยจะมีรายละเอียดเบื้องต้นดังรูปภาพต่อไปนี้
และจะสามารถตรวจสอบ รพ.คู่สัญญา ของ BLA ได้ที่ลิงก์ ตรวจสอบสิทธิการรักษารูปแบบต่าง ๆ ของ รพ. คู่สัญญา BLA และสามารถพิจารณา รพ.คู่สัญญาดีเด่น 2020 และ รพ.คู่สัญญาดีเด่น 2021
โดยการบริการของการให้คำปรึกษาเชิงลึก การรักษาออนไลน์ การให้คำแนะนำเตรียมพร้อม และการช่วยเหลือฉุกเฉิน ก็จะมีรายละเอียดดังนี้
นอกจากนี้หากผู้เอาประกันมีการชำระเบี้ยต่อปีเกินกว่า 150,000 บ. ขึ้นไป ทาง BLA ก็จะมีบริการ VIP CHECK UP ที่เป็นเมนูแพ็คเกจให้เลือกได้ว่าจะตรวจสุขภาพฟรีในส่วนใดกับ รพ. คู่สัญญาของทาง BLA
แนวทางการพิจารณาการรับประกันของบริษัท BLA ทำไมจำเป็นต้องยื่นมากกว่า 1 บริษัท และเหตุใด BLA ถึงไม่มีเงื่อนไข 'Copayment'
การพิจารณาของ BLA จะเน้นที่ "การรับประกันยากเพื่อให้เคลมง่ายในอนาคต" และด้วยเพราะประกันสุขภาพมาตรฐานใหม่ที่มีการระบุชัดเจนว่า สามารถสืบประวัติก่อนทำประกันได้ 5 ปี และหลังทำประกันได้ 3 ปี
เพื่อคัดกรองให้แน่ใจว่าไม่ได้มีอาการหรือการตั้งข้อสังเกตุใด ๆ ของโรคที่ซับซ้อนหรือโรคเรื้อรังที่เป็นมาก่อนทำประกัน
รวมไปถึง BLA จะตัดเงื่อนไขในส่วน Copayment หรือการให้ผู้เอาประกันร่วมจ่ายค่ารักษาด้วยสัดส่วนไม่เกิน 30% หรือมากที่สุด 50% ของค่ารักษาทั้งหมด
หากพบว่าผู้เอาประกันมีการเคลมค่ารักษาด้วยโรคเล็กน้อยบ่อยครั้ง หรือเกินความจำเป็นทางการแพทย์
ซึ่งการตัดเงื่อนไขส่วนนี้ออกทำให้ BLA จำเป็นต้องมีการพิจารณาที่เข้มงวดเพิ่มขึ้น และมีการระบุลงในเงื่อนไขของประกันสุขภาพชัดเจนว่า จะมีการพิจารณาปรับเพิ่มเบี้ยหากสุขภาพต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานตั้งแต่ 25-200%
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาการที่ระบุข้อยกเว้นความคุ้มครองได้ยาก เช่น ค่าดัชนีมวลกายสูง ค่าความดันโลหิตสูง อาการนอนไม่หลับ เป็นต้น
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจมากที่สุดในการทำประกันสุขภาพ หากเคยมีประวัติการเข้ารักษากับทาง รพ. และ/หรือ การตรวจสุขภาพใด ๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรต้องขอประวัติการรักษาเหล่านั้นมาเก็บไว้ เพื่อสามารถยื่นขอทำประกันสุขภาพได้พร้อมกันมากกว่า 1 บริษัทฯ เพื่อให้ได้มีโอกาสเลือกข้อเสนอของแต่ละบริษัทที่ดีที่สุด ทำให้ไม่รู้สึกว่าต้องถูกมัดมือชกให้ตอบรับข้อเสนอ (ถ้ามี)
ข้อควรระวังที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนทำประกันสุขภาพ
นอกจากนี้ก่อนที่จะยื่นขอทำประกัน จำเป็นเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิจารณาว่า เงื่อนไขของตนเองและครอบครัว ได้เข้าเงื่อนไขเหล่านี้หรือไม่ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอ่านเงื่อนไขเหล่านี้ให้ครบถ้วนมากที่สุด
หากดัชนีมวลกายน้อยกว่า 16 หรือมากกว่า 35 จะถือว่าเกณฑ์ที่จะสามารถรับทำประกันได้ แม้ว่าจะมีการเพิ่มเบี้ยรับความเสี่ยงก็ตาม
วิธีคำนวณดัชนีมวลกาย
BMI = น้ำหนักตัว (กก.) ÷ ส่วนสูง (เมตร^2)
สมมติ ท่านน้ำหนัก 58 กิโลกรัม และสูง 167 ซม. = 1.672 ม.
ดัชนีมวลกาย BMI = 58 ÷ 1.672 x 1.672 = 20.80 (ผ่านเกณฑ์)
กรณีที่รักษาโรคจนหายขาด เกิน 5 ปี
บริษัทจะพิจารณาจากประวัติสุขภาพ และอาจ ขอตรวจสุขภาพใหม่พร้อมกับอาจขอประวัติการรักษาจากทางโรงพยาบาลที่เคยรับการรักษา
กลุ่มโรคและอาการที่ "ไม่รับประกัน"
กรณีที่ท่านที่กําลังเป็นอยู่ หรือเป็นภายใน 5 ปี ก่อนยื่นทําประกัน จะถูกปฏิเสธการรับทำสัญญาคุ้มครอง
- โรคระบบสมองและระบบประสาท/จิตประสาท เช่น โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติ โรคอัมพฤกษ์/โรคอัมพาต ปวดศรีษะรุนแรงเรื้อรัง กล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคพาร์กินสัน โรคความจําเสื่อม โรคจิตเภท ดาวน์ซินโดรม
- โรคมะเร็ง/โรคระบบต่อมไร้ท่อและภูมิคุ้มกัน เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคเอดส์หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคหนังแข็ง โรคเอสแอลอี (SLE)
- โรคระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และ หลอดเลือด เช่น โรคหัวใจและเส้นเลือดหัวใจ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคถุงลมโป่งพอง
- โรคระบบทางเดินอาหาร/ทางเดินปัสสาวะและโรคอื่นๆ เช่น โรคตับแข็ง พิษสุราเรื้อรัง โรคไตวาย ตาบอด2ข้าง ท้องมาน เคยพยายามฆ่าตัวตาย
กลุ่มโรคและอาการที่ สามารถทำประกันได้ แต่ "ยกเว้นความคุ้มครอง"
กรณีที่ท่านที่กําลังเป็นโรคใดโรคหนึ่งต่อไปนี้ หรือเป็นภายใน 5 ปี ก่อนยื่นทําประกัน แม้จะสามารถทำสัญญาประกันสุขภาพได้ แต่จะถูกยกเว้นความคุ้มครองในโรคที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับโรคที่กำลังเป็นอยู่นั้น ๆ
- การอักเสบ (เรื้อรัง) เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง กระเพาะอาหารอักเสบ ไซนัสอักเสบ เส้นเอ็นอักเสบเรื้อรัง ข้ออักเสบ ข้อเสื่อม เก๊าท์
- กรดไหลย้อน
- ปวดศีรษะไมเกรน
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- กระดูกสันหลังเคลื่อน / หมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือทับเส้นประสาท
- ริดสีดวงทวาร
- ภูมิแพ้
- นิ่ว
สำหรับความคุ้มครองโรคต่าง ๆ เมื่อได้รับการตอบรับในการทำสัญญาประสุขภาพได้แล้ว แม้จะแถลงตามจริงว่า ไม่ได้เป็นโรคเรื้อรังภายใน 5 ปีที่ผ่านมา ก็ยังต้องมีช่วงเวลารอคอยเพื่อคัดกรองเพื่อความมั่นใจว่าทุกคนที่เข้าร่วมแชร์ความเสี่ยงร่วมกันจะมีความเสี่ยงเท่ากันจริง ๆ
รอคัดกรอง 30 วัน ในโรคต่อไปนี้ (หลังจากนั้นจึงจะสามารถเคลมได้)
- การป่วยไข้ ท้องเสีย โรคทั่วไปใด ๆ
รอคัดกรอง 120 วัน ในโรคต่อไปนี้ (หลังจากนั้นจึงจะสามารถเคลมได้)
- เนื้องอก ถุงน้ำ หรือมะเร็งทุกชนิด
- ริดสีดวงทวาร
- ไส้เลื่อนทุกชนิด
- ต้อเนื้อ หรือต้อกระจก
- การตัดทอนซิล หรืออดีนอยด์
- นิ่วทุกชนิด
- เส้นเลือดขอดที่ขา
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
ภายใน 3 ปี หลังทำสัญญา
- แม้จะได้เข้ากลุ่มเฉลี่ยความเสี่ยงแล้วก็ตาม แต่เพื่อความมั่นใจว่า ผู้ทำสัญญารายใหม่ไม่เสี่ยงเกินไปกว่าคนเก่าอื่น ๆ หรือ ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงเรื้อรังใด ๆ มาก่อน ทางบริษัทจำเป็นต้องขอตรวจสอบประวัติการรักษาย้อนหลัง ในครั้งแรกที่มีการเคลมค่ารักษาของโรคที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรงได้ จึงจะอนุมัติเงินเคลมในครั้งแรกค่ะ
- ซึ่งอาจใช้เวลา ในการพิจารณาอนุมัติเคลม 15 - 90 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ จำนวนโรงพยาบาลที่มีประวัติการรักษาของผู้ทำสัญญา และ โรงพยาบาลนั้น ๆ เป็นโรงพยาบาลคู่สัญญาของบริษัทหรือไม่ ซึ่งส่งผลต่อความรวดเร็วในการจัดส่งเอกสาร และส่งผลให้ผู้ทำสัญญาต้องสำรองจ่ายค่ารักษาครั้งนี้ โดยทางบริษัทจะอนุมัติเงินคืนภายหลังตรวจสอบ
ลักษณะอาชีพที่มีความเสี่ยง
สำหรับแผนประกันสุขภาพ Prestige Health กรณีที่ท่านประกอบอาชีที่มีความเสี่ยงสูงเกินค่าเฉลี่ย จะไม่สามารถรับทำประกันแผนนี้ได้ ซึ่งมีอาชีพต่อไปนี้
- การขับขี่ยานพาหนะ เช่น นักบิน มอเตอร์ไซค์รับจ้าง (ทุกชนิด) เป็นต้น
- อาชีพด้านการกีฬา และ การแสดง เช่น นักแข่งรถ นักโดดร่ม สตั้นแมน นักมวย เป็นต้น
- อาชีพด้านความปลอดภัย เช่น ตํารวจจราจรชั้นประทวน ตํารวจตระเวนชายแดน ตํารวจป่าไม้ ทหารที่ทํางานบริเวณคลังสรรพวุธ เป็นต้น
- อาชีพที่มีความเสี่ยงทางน้ำ เช่น นักประดาน้ำ พนักงานในเรือบรรทุกสินค้า เป็นต้น
- อาชีพที่มีความเสี่ยงผลกระทบจากโรงงานและอัคคีภัย เช่น คนงานผลิต บรรจุ ทำความสะอาดและช่างในโรงงานเกี่ยวกับสารเคมี พนักงานดับเพลิง พนังงานขับรถน้ำมัน เป็นต้น
- อาชีพที่มีความเสี่ยงต่อชีวิตสูง เช่น พนักงานปีนเสาไฟฟ้า ช่างอิฐ ช่างปูน เตาหลอม ช่างชุบ เจ้าหน้าที่ควบคุม/ปราบปรามนักโทษ คนงานก่อสร้างเขื่อน คนงานก่อสร้างตึกสูง เป็นต้น
อาชีพอื่น ๆ ที่สามารถทำได้ และทำไม่ได้ โดยละเอียดสามารถตรวจสอบได้ที่ลิงก์นี้ค่ะ
คลิก >> ตรวจสอบอาชีพที่ทำ Prestige Health ได้
ภัยที่เจตนาให้เกิดขึ้นได้
เป็นภัยที่สามารถป้องกัน หรือ ควบคุมได้เอง โดยภัยเหล่านี้จะถูกตัดออกจากความคุ้มครอง เพื่อให้ค่าโอนความเสี่ยง มีอัตราที่ไม่สูงมากและสมเหตุสมผล ดังนี้
- การตรวจสุขภาพทั่วไปประจำปี
- การขอเข้าอยู่รักษาในโรงพยาบาลที่ไม่ใช่ความจําเป็นตามมาตราฐานทางการแพทย์ ค่าพยาบาลเฝ้าไข้พิเศษ
- การตั้งครรภ์ แท้งบุตร ทําแท้ง การคลอดบุตร โรคแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ การแก้ไขมีบุตรยาก การทําหมัน
- โรคเอดส์ กามโรค เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ความผิดปกติทางเพศ การแปลงเพศ
- การรักษาฟันและเหงือก ที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ *ทั้งนี้ไม่รวมค่าฟันปลอม การครอบฟัน การรักษารากฟัน หรือใส่รากเทียม)
- สายตาสั้น ยาว เอียง
- การให้ฮอร์โมนทดแทนในวัยใกล้หมดประจำเดือน การชะลอความเสื่อมของวัย
- การเสริมสวย ปัญหาผิวพรรณ
- บําบัดติดยาเสพติดให้โทษ บุหรี่ สุรา
- โรคที่เป็นมาแต่กําเนิด
- โรคทางจิตเวช การทำร้ายตนเอง
- การรักษาที่อยู่ระหว่างทดลอง เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การนอนกรน
- การขอฉีดวัคซีนป้องกันโรคเอง
- เป็นแพทย์และสั่งตรวจรักษาตนเอง หรือ คนในครอบครัว
- การบาดเจ็บที่เกิดจาก การฆ่าตัวตาย การเข้าร่วมการทะเลาะวิวาท การเข้าร่วมชุมนุความรุนแรง การแข่งขันทางกีฬาที่มีความเสี่ยงสูง การขึ้นลงโดยสารเครื่องบินที่มิใช่การพาณิชย์ การขับขี่เป็นพนักงานในท่าอากาศยาน การปฏิบัติหน้าที่ตำรวจ หรือ ทหาร การก่ออาชญากรรม
- การรักษาที่เกี่ยวข้องกับกัมมันตภาพรังสีจากเชื้อเพลิงนิวเคลียร์
กรณีเบี้ยประกันเกินกว่า 20% ของรายได้
(( ตัวอย่างเช่น ))
หากค่าเบี้ยประกันอยู่ที่ 2,000 บาทต่อเดือน ท่านควรมีรายได้ต่อเดือน อย่างน้อย 20,000 บาท เพื่อป้องกันปัญหาต่อสภาพคล่องทางการเงินของท่าน และเป็นไปตามหลักสัดส่วนการเงินที่เหมาะสมค่ะ
หากยังไม่ได้ดูตัวอย่างสัญญาประกัน
สุดท้ายนี้ แผนประกัน Prestige Health อาจจะยังคงไม่เหมาะ กับท่าน หากท่านยังไม่ได้อ่าน และทำความเข้าใจทั้งหมด เนื่องจาก
แผนประกันก็คือ การทำสัญญาร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัญญาที่มีผลผูกพันธ์ระยะยาว จึงจำเป็นต้อง ทำความเข้าใจรายละเอียดที่สำคัญของสัญญา ก่อนที่จะตัดสินใจทำสัญญาเสมอ!
และตัวแอนนี่เอง เห็นความสำคัญของประเด็นนี้มาก ๆ ดังนั้น จึงได้สรุปส่วนสำคัญของสัญญาลงในบทความที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้แล้ว รวมถึงมีตัวอย่างกรมธรรม์ให้สามารถดาวโหลดได้ซึ่งอยู่ในหัวข้อขั้นที่ 4
ดังนั้นหลังทำสัญญาได้แล้ว ยังต้องขออย่าให้ป่วยเป็นโรคใด ๆ ในระยะเวลารอคอยนี้ (ยกเว้นอุบัติเหตุที่คุ้มครองตั้งแต่วันแรกที่อนุมัติสัญญา) ซึ่งนี่ยังไม่รวมระยะเวลาที่ต้องเสี่ยงเมื่อยังไม่เริ่มตัดสินใจทำสัญญา
ที่สำคัญการรักษาที่เกิดขึ้นภายใน 3 ปีแรก มีโอกาสที่ทางบริษัทจะขอประวัติสุขภาพสูง หากเล็งเห็นว่าเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังที่มีโอกาสเป็นมาก่อนทำประกัน ทำให้ต้องสำรองจ่ายไปก่อนและใช้เวลาสืบประวัติตั้งแต่ 15 วัน ถึง 90 วัน ในการขอประวัติสุขภาพซึ่งระยะเวลานี้จะขึ้นอยู่กับเป็นโรงพยาบาลคู่สัญญาหรือไม่ หรือเป็น รพ.รัฐ หรือ รพ. เอกชน อีกด้วย
ทั้งนี้ทางแก้ไขเบื้องต้นคือ แจ้งให้ รพ.ทำ Pre-Claim กับทางบริษัทก่อนว่าจะสามารถ Fax-Claim โดยไม่ต้องสำรองจ่ายได้หรือไม่ ซึ่งหากบริษัทพบว่าสามารถทำการขอประวัติให้เรียบร้อยก่อนการรักษาได้ หรือไม่จำเป็นต้องขอประวัติใด ๆ อีก ก็จะลดปัญหาการสำรองจ่ายได้อย่างมาก
แต่ก็มีบางเคสที่ไม่สามารถทำ Pre-Claim ได้ โดยเฉพาะเคสการตรวจวินิจฉัยที่จำเป็นจะต้องตรวจให้เรียบร้อยก่อน แล้วใช้ผลดังกล่าวมาประเมินร่วมกับประวัติที่ผ่านมาว่าไม่ได้เป็นมาก่อนทำประกันจริง ๆ
จึงยิ่งทำให้เห็นชัดเจนว่า การเริ่มทำสัญญาสุขภาพที่เร็วพอนั้น (พ่อกับแม่จึงมีส่วนสำคัญมาก) จะได้เปรียบต่อโรคต่าง ๆ ที่เป็นภัยเงียบและควบคุมได้ยาก รวมถึงลดปัญหาการสำรองจ่ายไปได้อย่างมาก เพราะบริษัทจะสืบประวัติ 5 แรกก่อนทำประกัน และ 3 ปีหลังทำประกันเป็นหลักเท่านั้น
ขบวนการทั้งหมด "ก่อน" "ระหว่าง" และ "หลัง" ทำประกันของทางเรา
พิจารณาเลือกแบบประกันจากเบี้ยประกันทั้งหมด
สามารถติดต่อทางเราเพื่อคำนวณเบี้ยประกันในแบบและแผนต่าง ๆ ของประกันสุขภาพ BLA ได้ โดยขั้นตอนนี้ ในระบบบริษัทฯ มักจะออกใบเสนอเบี้ยได้ ทีละแผนประกัน และไม่มีการคำนวณตารางเบี้ยปีต่ออายุให้ ดังนั้น
ทางตัวแทนปกติจึงมักต้องใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลและจัดทำการนำเสนอข้อมูลเพื่อส่งให้ผู้ขอเอาประกันได้พิจารณา ซึ่งทางเราเองก็ได้พัฒนาโปรแกรมเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบได้ง่ายดังเช่นภาพตัวอย่างด้านล่างนี้ค่ะ
พิจารณาขั้นตอนยื่นขอทำประกัน
1. ทำความเข้าใจวิธีการแถลงสุขภาพและเงื่อนไขต่าง ๆ ผ่านการกรอกแบบฟอร์มเพื่อแถลงสุขภาพด้วยตนเอง
โดยสามารถดูคำอธิบายได้ที่ลิงก์ วิธีการแถลงสุขภาพ
2. พิจารณาภาพรวมขั้นตอนยื่นขอทำประกันทั้งหมดดังตัวอย่างรูปภาพนี้
3. พิจารณาวิธีการยื่นขอทำประกันแบบออนไลน์ ดังตัวอย่างที่ลิงก์ วิธีการยืนยันใบคำขอทำประกัน
พิจารณาขั้นตอนการขอข้อมูลเพิ่มเติม
1. ทำความเข้าใจสาเหตุถูกขอข้อมูลเพิ่มผ่านลิงก์ สถิติการขอข้อมูลเพิ่มเติม Memo และลิงก์ สิ่งที่ต้องดำเนินการหลังติด Memo
2. ทำความเข้าใจลิงก์ วิธีการตรวจสุขภาพ
3. ทำความเข้าใจลิงก์ วิธีการขอประวัติการรักษา
ขั้นตอนนี้หากสงสัยว่า เพราะเหตุใดจึงต้องมีการขอข้อมูลเพิ่มเติมอีก (โดยเฉพาะหากมีการให้ประวัติการรักษาไปตั้งแต่ยื่นขอทำประกันแล้ว) จะสามารถประสานกับทางเราเพื่อสอบถามทางฝ่ายพิจารณาได้ แต่โดยปกติมักมีสาเหตุมาจากข้อมูลที่ได้ยังไม่ครบถ้วน หรือยังไม่ได้อัพเดทล่าสุดตามฐานข้อมูลของทางบริษัทฯ ค่ะ
พิจารณาขั้นตอนการตอบข้อเสนอ
1. ทำความเข้าใจถึงสาเหตุผ่านลิงก์ สถิติขอมีข้อเสนอใหม่ Counter Offer และลิงก์ สาเหตุและสิ่งที่ต้องดำเนินการหลังได้รับข้อเสนอ
2. สามารถแจ้งทางตัวแทนให้ประสานกับฝ่ายพิจารณาเพื่อทราบสาเหตุของข้อเสนอต่าง ๆ รวมถึงโอกาสในการยื่นทบทวนและระยะเวลาในการยื่นทบทวนข้อเสนอภายหลังการทำประกัน
ขั้นตอนนี้มีระยะเวลาให้ดำเนินการเพียง 15 วัน
โดยหากมีประวัติการรักษาที่ดำเนินการขอเองเรียบร้อย จะสามารถส่งให้บริษัทอื่นพิจารณาเพื่อเทียบข้อเสนอและตัดสินใจเลือกที่ดีที่สุดได้
(การขอประวัติการรักษาด้วยตนเอง เป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากมอบอำนาจให้ตัวแทนดำเนินการขอแทน ประวัติการรักษาที่ได้นั้นจะมีเพียงฝ่ายพิจารณาบริษัทฯ ที่เข้าถึงได้และหากจะขอคืนจะใช้เวลาอย่างน้อยถึง 7-14 วันค่ะ)
พิจารณาขั้นตอนการรับกรมธรรม์อิเล็คทรอนิกค์
❒ สามารถดาวน์โหลด E-Policy ใหม่ได้ ทั้งจากทาง e-mail, แอพ BLA Happy Life และทางเว็บไซต์บริษัทฯ จากนั้นสามารถส่ง E-Policy ให้กับทั้งครอบครัวหรือคนใกล้ชิดเก็บไว้เพื่อในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ทราบว่ามีประกันอยู่ รวมถึงสามารถส่งให้ตัวแทนช่วยเก็บไว้เพื่อใช้ในการทบทวนกรมธรรม์ หรือ ทำการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติ่มสัญญาต่าง ๆ ได้สะดวกมากขึ้นในอนาคต
พิจารณาขั้นตอนการลงทะเบียนใช้แอพพลิเคชันบริษัท
❐ ลงทะเบียนใช้งานเว็บและแอพพลิเคชันของทางบริษัท BLA Happy Life (เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบข้อมูล การเปลี่ยนแปลงข้อมูลพื้นฐาน)
พิจารณาหน้าที่ของตัวแทนหลังทำประกัน
สามารถให้ทางเราช่วยดำเนินการต่อไปนี้ได้
ทั้งหมดนี้คือขั้นตอนที่ทาง Release Your Risk รวบรวมและสรุปขึ้นมา เพื่อประโยชน์สูงสุดของคุณกับครอบครัว ในการพิจารณาเลือกแบบประกันสุขภาพของทาง BLA ได้ง่ายมากขึ้น ได้ลดระยะเวลาในการค้นหาข้อมูลในการเปรียบเทียบและตอบข้อสงสัยต่าง ๆ
แต่เนื่องจากยังมีข้อมูลที่จำเป็นต้องคำนวณขึ้นมาใหม่ตาม อายุ เพศ และสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองที่เลือก ซึ่งทางเราไม่สามารถนำข้อมูลส่วนนี้ขึ้นมาแสดงในเว็บไซต์ได้ทั้งหมด จึงได้ตัดสินใจจัดทำเป็นแผนการเงินด้านสุขภาพขึ้นมาแทน
โดยจะเป็นการนำเสนอข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับท่านกับครอบครัวโดยตรง ดังนั้นถ้าสนใจข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น เพื่อประกอบการพิจารณาจะสามารถติดต่อทางเราให้ดำเนินการสร้างแผนให้ได้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้ค่ะ
อย่างไรก็ตาม..ทางเราจำเป็นต้องบอกตามจริงว่า ยังไม่แนะนำให้ท่านติดต่อเรามาโดยเฉพาะหาก
- ท่านยังไม่ได้อ่านข้อมูลในหน้าเว็บนี้อย่างจริงจัง ก่อนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือตัดสินใจทำประกัน
- ท่านยังไม่ทราบในจุดเด่นและข้อจำกัดของแบบประกันที่เลือกว่ามีอะไรบ้าง
- ท่านยังไม่มีเวลาดูข้อมูลสัญญาใดๆ แต่เน้นเชื่อใจไว้ก่อนอย่างเดียว
- ท่านยังเห็นว่าทำประกันสุขภาพแล้วจะต้องได้ความคุ้มครองทุกอย่าง ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นทางการแพทย์ โดยยังไม่ได้พิจารณาเงื่อนไขและข้อกำหนดต่าง ๆ
- ท่านยังพิจารณาเฉพาะเบี้ยประกันสุขภาพ มากกว่าความคุ้มครองภัยที่จำเป็น และมากกว่าการวางแผน LONG-TERM HEALTHCARE ที่ทางเราเน้นเป็นพิเศษ เพื่อให้ตอนเกษียณนั้นหยุดจ่ายเบี้ยได้
โดยภายในแผนที่คุณกับครอบครัวได้รับนี้ จะประกอบไปด้วย
⦿ การเปรียบเทียบเบี้ยประกันสุขภาพ Happy Health และ Prestige Health ในทุกแผนความคุ้มครองในอายุของท่าน เพื่อไม่ต้องเสียเวลารวบรวมแผนมาเปรียบเทียบเองและสามารถพิจารณาได้ง่ายขึ้นว่า แบบใดจะเหมาะกับความต้องการมากที่สุด
⦿ การเปรียบเทียบเบี้ยประกันชีวิตทุกแบบ เพื่อพิจารณาให้เป็นสัญญาหลักถึงอายุ 99 ปี ไม่ว่าจะเป็นแบบเน้นเฉพาะสัญญาสุขภาพ หรือเน้นสามารถทำสัญญาเพิ่มเติมอื่นๆ ได้ด้วย
⦿ การเปรียบเทียบเบี้ยแบบประกันส่วนสัญญาเพิ่มเติมทุกแบบ ทั้งอุบัติเหตุผู้ป่วยนอก, ผู้ป่วยนอก OPD, โรคร้ายแรงรายกลุ่ม และชดเชยรายวันเนื่องจากเป็นผู้ป่วยใน (หากระบุว่าต้องการดูข้อมูลส่วนนี้)
⦿ ตัวอย่างแผนการจำลองผ่านวิธี Time-based Segmentation ไว้จัดการเบี้ยตอนเกษียณ เพื่อแสดงเบี้ยที่จะประหยัดได้ และเป็นตัวอย่างบริการที่เราพร้อมปรับให้เหมาะสมกับท่านที่สุดภายหลังทำประกันกับทางเรา
⦿ คำถามคำตอบประเด็นสำคัญ ของทุกแบบประกันสุขภาพอย่างละเอียด
❐ สามารถกดแชร์เพื่อเก็บไว้อ่านภายหลังในยามว่างได้ค่ะ
เกี่ยวกับ
RELEASE YOUR RISK
แอนนี่ - รุจิรา ต๊ะบุญเรือง
ผู้แนะนำให้ความรู้ในเครื่องมือการเงินแบบองค์รวม
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตการทำงานทั้งหมดของแอนนี่ในสายงาน CRM ได้พบว่า ความไม่รู้ เป็นศัตรูที่แพงอย่างมากในโลกของการเงิน และโดยส่วนใหญ่กว่าจะได้รู้ก็อาจจะสายไปแล้ว
แอนนี่จึงจะเน้นแก้ไขปัญหานี้ ผ่านการให้ความรู้ทางการเงินที่ครบถ้วนที่สุดเพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบจากความไม่รู้นี้ค่ะ
บาส - ฐิติ รุ่งเจริญไพศาล
ผู้ค้นคว้าพัฒนา FRAMEWORK เพื่อการเกษียณสุข
ผมอยู่ในสายงานนักพัฒนาโปรแกรมและอาจารย์มหาวิทยาลัยมากว่า 10 ปี ซึ่งได้พบความจริงว่า หากขาดความรู้ ความเข้าใจ ลำดับการใช้งานของเครื่องมือทางการเงินที่ถูกต้องแล้ว ก็ยากที่จะทราบได้ว่าจะมีอิสรภาพทางการเงินได้เมื่อใด
ผมจึงพยายามพัฒนาเครื่องมือคำนวณ ที่จะใช้เครื่องมือการเงินให้ครบรอบด้านโดยเฉพาะในกรอบการลดหย่อนภาษี เพื่อช่วยให้สามารถคำนวณเงินที่จำเป็นสำหรับนำไปสู่อิสรภาพทางการเงินในช่วงเกษียณได้ ทั้งยังต้องสามารถลงมือทำตามได้ง่ายและมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์รายได้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้
ทำไมเราจึงเลือกเป็นพาร์ทเนอร์กับ
บริษัทกรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
ทางเรามีปัจจัยในการเลือกบริษัทที่จะเป็นพาร์ทเนอร์ด้วย เพื่อที่จะสามารถตอบโจทย์แก้ปัญหาทางการเงินได้ ซึ่งบริษัทกรุงเทพประกันชีวิต มีปัจจัยที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกได้ง่ายกว่าบริษัทอื่น ๆ ดังนี้
❐ บริษัทฯ มีเครื่องมือการเงินที่ครบถ้วนในแต่ละด้านและเน้นการวางแผนการเงินนำหน้าผลิตภัณฑ์
เนื่องจากทางเราได้พัฒนา Framework เครื่องมือการเงินแบบองค์รวมขึ้นมา ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือที่ครบถ้วนเพื่อให้ดำเนินการตาม Framework เหล่านี้ได้
❐ บริษัทฯ มีเครื่องมือประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองที่สูงที่สุดในตลาดเมื่อเทียบกับเบี้ยที่จ่ายไป
โดยเฉพาะกับแบบประกันชีวิตที่ปลดล็อคให้สามารถบริหารค่าการประกันภัยและการลงทุนเองได้ เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญที่มีประโยชน์ต่อผู้เอาประกันชีวิตโดยตรง แม้ต้องยอมคิดค่าใช้จ่ายการดำเนินการประกันภัยที่สูงกว่าบริษัทอื่น ๆ ก็ตาม
❐ บริษัทฯ มีการบังคับความคุ้มครองที่จำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง
โดยเฉพาะกับสัญญาเพิ่มเติมด้านอุบัติเหตุ ที่จะไม่ให้ความคุ้มครองหากโดนทำร้ายหรือฆาตกรรม ซึ่งบริษัทจะบังคับให้ซื้ออุบัติเหตุพร้อมความคุ้มครองทำร้ายและฆาตกรรมเสมอ รวมไปถึงหากเป็นประกันของผู้เยาว์อายุน้อยกว่า 15 ปี จะถูกบังคับให้ซื้อความคุ้มครองชำระเบี้ยของผู้ปกครองเสมอ เพราะหากผู้ปกครองเป็นอะไรไป บุตรธิดาก็ยังคงได้รับความคุ้มครองต่อโดยไม่ต้องชำระเบี้ยใด ๆ ทั้งสัญญาหลักและเพิ่มเติมจนถึงอายุ 21 ปีหรือบรรลุนิติภาวะ ทำให้เห็นเจตนาของบริษัทชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เกิดความไม่สบายใจต่อผู้เอาประกันในภายหลัง
❐ เครื่องมือที่บริษัทฯ มี ไม่ใช่เพื่อการตลาดโดยไม่สนใจปัญหาในภายหลัง
จะต้องเป็นบริษัทที่มีความอนุรักษ์นิยมและเน้นความปลอดภัยมากกว่าการตลาด โดยต้องไม่ออกผลิตภัณฑ์ใด ๆ หรือต้องทำการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่รู้ว่าขาดทุนหรือกำลังจะขาดทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับลูกค้าในภายหลังได้
❐ นวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ใด ๆ จะต้องมั่นใจว่า เหมาะสมและปลอดภัย
ไม่รีบนำมาใช้กับบริษัทฯ เพียงเพราะเห็นว่ามีโอกาสสร้างรายได้ได้มากกว่า แต่ต้องศึกษาถึงจุดแข็งและจุดอ่อนมาเป็นอย่างดีแล้ว ก่อนตัดสินใจนำมาวางขายแม้จะช้ากว่าคู่แข่งก็ตาม
❐ แต่ละเครื่องมือมีวัตถุประสงค์แยกชัดเจนว่าเน้นจัดการเรื่องใด
เพื่อให้สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมได้ง่าย ไม่นำสัญญาเพิ่มเติมใด ๆ เข้ามาผสมกันให้กลายเป็นสัญญาใหม่เพื่อเน้นเพียงเพื่อให้ขายได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
❐ บริษัทฯ มีระบบติดตามและระบบวัดความพึงพอใจการเคลมประกัน
เพื่อให้สามารถทราบว่าการเคลมขั้นตอนใดมีปัญหา หรือ รพ. คู่สัญญามีการติดขัดใด ๆ ทำให้สามารถปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น และลดไม่ให้ปัญหาและข้อติดขัดเหล่านี้ได้เกิดขึ้นอีก
❐ บริษัทฯ มีพาร์ทเนอร์กับบริษัทประกันต่างชาติ รวมถึงมีการทำประกันภัยต่ออย่างเคร่งครัด
นอกจากบริษัทฯ BLA ได้ก่อตั้งมานานกว่า 70 ปีแล้ว ก็ยังมีพาร์ทเนอร์เป็นบริษัทประกันต่างชาติอย่าง Nippon Life ที่เป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ในญี่ปุ่น (ประเทศที่ประชากรทำประกันมากที่สุดในโลก) ย่อมทำให้ได้องค์ความรู้ที่สำคัญมาใช้ในการประเมินความเสี่ยงในการรับภัยเป็นอย่างดี รวมไปถึง BLA ยังเน้นที่ความปลอดภัยเป็นหลักมากกว่าผลกำไร จึงทำให้มีการโอนความเสี่ยงให้ บริษัทรับประกันภัยต่อ อย่างเคร่งครัด จะไม่เก็บความเสี่ยงไว้กับตนเองทั้งหมดเพื่อหวังเพียงผลกำไรแต่ลูกค้าขาดความมั่นคง
โดยเรายังไม่พบปัญหานี้กับกรุงเทพประกันชีวิต ซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิตหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้น ณ ปัจจุบัน ความโปร่งใสจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด