บีแอลเอ อุ่นใจโรคร้าย
ประกันมะเร็งและโรคร้ายแรง (ที่เสี่ยงเป็นสูง) ด้วยเบี้ยคงที่ ตามอายุที่เริ่มทำประกัน
คุ้มครองและชำระเบี้ยประกัน "คงที่" ทุกปี (ต่ออายุได้ถึงอายุ 90 ปี) มีมูลค่าเงินคืนหากเลือกไม่ต่ออายุ และไม่นำประวัติการเป็นมะเร็งของคนในครอบครัวมาพิจารณารับทำประกัน
อายุรับทำประกัน
20 ถึง 75 ปี
ทุนประกันโรคร้ายแรงที่ทำได้
100,000 - 1,000,000
(ทำได้มากกว่า 1 กรมธรรม์ แต่ทุนรวมกันไม่เกิน 3,000,000 บ.)
อุ่นใจลดผลกระทบที่ต้องหยุดงานขาดรายได้จากความเสี่ยงมะเร็งและโรคร้ายแรงที่เสี่ยงเป็นสูงไปตลอดชีวิตได้..
เมื่อเริ่มจัดการความเสี่ยงนี้ ตั้งแต่ "วัยทำงาน" ด้วย BLA อุ่นใจโรคร้าย ประกันมะเร็งและโรคร้ายแรงเสี่ยงเป็นสูง ตรวจเจอจ่ายเงินก้อน 'แบบเบี้ยคงที่' ที่..
- เน้นคุ้มครองรายได้จากโรคมะเร็ง แถมด้วยโรคร้ายแรงเสี่ยงเป็นสูงอีก 9 โรค ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและสมอง
- คุ้มครองชีวิตด้วยทุนประกัน 50,000 บาท สำหรับเพียงเพื่อใช้เป็นสัญญาหลักให้กับสัญญามะเร็งโรคร้ายแรงเท่านั้น (คปภ. กำหนดให้บริษัทประกันชีวิตต้องมีสัญญาประกันชีวิตเป็นสัญญาหลักเสมอ)
- เบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีตามปีที่เริ่มทำประกัน และคุ้มครองนานถึงอายุ 90 ปี ยิ่งทำตอนอายุน้อยยิ่งได้เบี้ยคงที่ที่ประหยัดมากขึ้น
- หากไม่ได้เป็นมะเร็งโรคร้ายแรงและยกเลิกสัญญาตอนอายุ 80-82 ปี จะมีเงินเวนคืนประมาณ 51%-71% ของเบี้ยรวมสะสมที่จ่ายไป (หากทำประกันตั้งแต่อายุ 20-35 ปี)
- เป็นแผนประกันโรคร้ายที่ทาง กบข. คัดจากบริษัทประกันทุกบริษัท ให้นำเสนอให้กับข้าราชการ สมาชิก กบข. รวมถึงครอบครัว (บิดา มารดา สามี ภรรยา บุตร) ได้โดยตรงอย่างเป็นทางการ
ความจริงของโรคมะเร็งในปัจจุบัน ที่ร้ายแรงกว่าโรคโควิดมาก และ เป็นมานานแล้ว
เรียน
- ท่านที่มีคนในครอบครัวมีประวัติการป่วยเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นตอนอายุยังน้อยหรือไม่เกิน 50 ปี (แสดงว่าอาจเกิดจากพันธุกรรม ไม่ใช่พฤติกรรมเพียงอย่างเดียว)
- ท่านที่ใช้ชีวิตสไตล์ Work Hard, Play Harder, Eat Harder, No Exercise, Sleepless ทำให้ร่างกายและจิตใจทำงานหนักมากกว่าปกติ
- ท่านที่ทานอาหารที่มีปัจจัยเสี่ยงเป็นประจำในปริมาณมาก เช่น เนื้อแดง ปิ้งย่าง เนื้อแปรรูป เหล้าเบียร์ อาหารเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด เป็นต้น
- ท่านที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ท้องผูกเป็นประจำ ไม่ชอบทานผักผลไม้
- ท่านที่ดื่มน้ำเปล่าน้อยมากต่อวัน หรือน้อยกว่าการดื่มน้ำหวาน ชา กาแฟ
- ท่านที่ทานอาหารไม่เป็นเวลา ทานหลายมื้อหลายเวลา หรือ ทานมื้อดึกเป็นประจำ
- ท่านที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับมลภาวะ PM 2.5 หรือ ต้องอยู่ใกล้ควันบุหรี่ ธูป แบบหลีกเลี่ยงได้ยาก
- ท่านที่ต้องดูแลโปรเจ็ค ควบคุม ประสานงาน อยู่ในสภาวะกดดัน มีความเครียดสะสมเป็นเวลานานและเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
- ท่านที่เครียดจนประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ เครียดจนนอนไม่หลับ เครียดจนเบื่ออาหาร หรือ กินมากกว่าปกติ หรือ เป็นไมเกรนบ่อยครั้ง
ไม่ว่าท่านจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ทุกสิ่งที่ท่านกำลังเป็นอยู่นั้น ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้ท่านกำลังใกล้กับ มะเร็ง หนึ่งใน โรคร้ายแรงที่สุด ที่เหมือนโดนคำสั่ง "ประหาร" และ "ยึดทรัพย์ล้มละลาย" ไปพร้อมกัน มากขึ้นเรื่อย ๆ
สถิติในประเทศไทย ปี 2022 พบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เพิ่มสูงถึง 183,541 รายจากแต่ก่อน ในปี 2014 ที่ 122,757 ราย และจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตในปี 2022 มากถึง 118,829 ราย เพิ่มจาก 70,075 รายในปี 2014
และที่สำคัญที่สุดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งนั้นสูงเกือบถึง 1 ใน 5 ของอัตราการเสียชีวิตทั้งหมด โดยปี 2022 เสียชีวิตเพราะมะเร็ง 118,829 ราย จากการเสียชีวิตทั้งหมด 590,174 ราย (*เป็นการเปรียบเทียบแบบประมาณการ)


ซึ่งสถิติการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งใน 1 ปีนั้น สูงกว่า สถิติการเสียชีวิตจากโควิดใน 4 ปีถึงกว่า 3.4 เท่า (มะเร็ง 118,829 รายต่อปี โควิด 34,728 รายต่อ 4 ปี)
แม้โควิดจะมีผู้ป่วยสะสมถึง 4.7 ล้านคน แต่อัตราการเสียชีวิตเพียง 0.7% เท่านั้น ในขณะที่มะเร็งอัตราการเสียชีวิต (หากเทียบแบบคร่าว ๆ ด้วยสถิติผู้ป่วยเสียชีวิตต่อผู้ป่วยรายใหม่ในปี 2022) จะสูงถึง 64% (แต่ความตื่นตัวต่อความร้ายแรงของโรคมะเร็งในคนส่วนใหญ่นั้นยังน้อยกว่าโรคโควิดอย่างมาก)

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมะเร็งไม่ได้เสียชีวิตในฉับพลัน โดยมีขบวนการรักษาที่ซับซ้อนยาวนานตั้งแต่ 2-5 ปี+ จนถึงตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับระยะมะเร็ง และมีการใช้เงินเยอะมากในการรักษา เมื่อเทียบกับการรักษาโควิด
จนเรียกได้ว่ามะเร็งเสียชีวิตมากไม่ใช่เพราะรักษาไม่ได้ แต่เพราะไม่มีเงินที่จะเร่งขบวนการรักษาให้เร็วกว่าการขยายตัวของมะเร็งได้
โดย ตั้งแต่ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยที่มีค่าใช้ร่วมกันกว่าหลักแสนใน รพ.เอกชน เพราะอาจต้องมีการส่องกล้องตัดตรวจชิ้นเนื้อ การใช้เครื่องตรวจวินิจฉัยขั้นสูงโดยเฉพาะอย่างเครื่อง PET/CT ที่มีเพียงหลักสิบเครื่องในประเทศไทย กับเครื่อง MRI กับ CT-Scan ที่มีเพียงหลักร้อยเครื่องในประเทศไทย ต่อผู้ป่วยรายใหม่กว่าหลักแสนคนต่อปี (ยังไม่นับรวมผู้ป่วยรายเก่าสะสมที่ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยติดตามผลการรักษาด้วย)
จนทำให้ในช่วงปี 66-67 ภาครัฐได้พยายามผลักดันโครงการ Cancer Anywhere ให้ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองสามารถเข้ารับการตรวจรักษาที่ รพ. ที่พร้อมและต่อคิวรอนานน้อยที่สุดได้ โดยไม่ต้องรอการส่งตัวจาก รพ. ที่มีสิทธิบัตรทองอยู่
ทำให้การตรวจวินิจฉัยมีความรวดเร็วขึ้น ที่อาจไม่ต้องรอคิวนาน 3-6 เดือนเสมอ จนมะเร็งอาจแพร่กระจายหนักมากขึ้นแล้วโดยที่ยังไม่ได้เริ่มขบวนการรักษาเลย
อย่างไรก็ตามยังจำเป็นจะต้องรออยู่ดี เนื่องจากผู้ป่วยจะเน้นไปที่ รพ. ที่เป็นโรงเรียนแพทย์โดยตรง ทำให้จำนวนผู้ป่วยมะเร็งของ รพ. เพิ่มมากขึ้นถึง 400% หรือจาก 6,000 คน เพิ่มเป็น 25,000 คน ภายหลังที่มีโครงการ Cancer Anywhere และเกินศักยภาพที่ทาง รพ. จะปรับตัวดูแลได้ทัน
ทำให้ในความเป็นจริงสุดท้ายแล้ว จึงต้องกลับไปทำแบบเดิมเหมือนก่อนที่จะมีโครงการ Cancer Anywhere กล่าวคือ ในขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยหากมีกำลังเงินพอจะเน้นเลือกออกค่าใช้จ่ายหลักแสนเองใน รพ.เอกชน หรือ คลินิกนอกเวลาของ รพ.รัฐ
เพื่อความรวดเร็วในการตรวจวินิจฉัยผ่านเครื่องฉาพภาพขั้นสูงต่าง ๆ และจะได้สามารถเริ่มเข้าขบวนการรักษาต่อได้ที่ รพ. แพทย์ที่ต้องการต่อไป แต่ถ้าหากไม่มีกำลังเงินมากพอก็จำเป็นต้องรอคิวต่อไป หรือ อาจต้องรวบรวมเงินที่จะเดินทางไปตรวจที่ รพ. แพทย์ จังหวัดอื่น ๆ พร้อมเช่าที่พักอาศัยใกล้ รพ. แพทย์ ที่มีความแออัดน้อยกว่าแทน (แต่ก็เป็นเรื่องยาก เพราะแทบทุก รพ.แพทย์ มีความแอดอัดค่อนข้างสูง )
ซึ่งด้วยปัญหาบางส่วนที่กล่าวมานี้เอง จึงทำให้ทั้งยอดผู้ป่วยรายใหม่ที่กลายเป็นยอดผู้เสียชีวิตทยอยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่จำนวนประชากรประเทศไทยทยอยลดลงส่วนทางกัน จนแทบจะพูดได้ว่า...หนึ่งในคนที่เคยรู้จักจะต้องมีผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งอยู่และเสี่ยงที่จะเป็นถึงขั้นที่รักษาไม่หาย
ยิ่งในปัจจุบันค่า PM2.5 สูงจนอันตรายมาก โดยผลร้ายแรงต่อผู้ที่สูดอากาศเข้าไป เหมือนได้สูบบุหรี่หลักสิบหลักร้อยมวนต่อวัน โดยเฉพาะทางภาคเหนือที่ปัญหา PM2.5 หนักที่สุด มีสถิติผู้ป่วยมะเร็งปอดพุ่งสูงขึ้นเกินมะเร็งชนิดอื่น ๆ ทั้งหมด


สถิติประเทศไทย 2022 : มะเร็งปอด (Lung) พบผู้ป่วยรายใหม่มากเป็นอันดับ 3 และมีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 2 เนื่องจากเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งกว่าจะมีอาการก็มักพบว่าเป็นระยะ 3 ขึ้นไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับมะเร็งตับ (Liver) ที่เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่และมักตรวจพบมะเร็งเมื่อสายไปแล้วเช่นกัน มะเร็งตับจึงมีอัตรากายเสียชีวิตเป็นอันดับ 1
นอกจากมะเร็งปอด มะเร็งตับ และมะเร็งลำไส้ (Colorectum) ที่พบกันมากแล้ว ยังมีส่วนที่ผู้หญิงพบว่าเป็นมะเร็งกันมาก คือ มะเร็งเต้านม (Breast) มะเร็งมดลูก (Uteri) มะเร็งรังไข่ (Ovary) ที่เมื่อรวมทั้งหมดแล้วจะกลายเป็นอันดับ 1 ที่ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างเห็นได้ชัด สำหรับ สถิติการพบผู้ป่วยรายใหม่ในปี 2022 หรือ อาจเรียกได้ว่า ผู้หญิงถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งรายใหม่มากกว่าผู้ชายเสียอีก
ซึ่งสอดคล้องกับอาการ เนื้องอกที่เต้านม หรือ เนื้องอกที่มดลูก ที่หากผู้หญิงอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป แล้วมีการตรวจสุขภาพแบบฉาพภาพขั้นสูง ส่วนใหญ่จะตรวจพบแน่นอน เพียงแต่จะไม่ได้มีความอันตรายหรือจะกลายเป็นมะเร็งใด ๆ แค่ตรวจติดตามผลเป็นประจำทุกปีเท่านั้น
แต่ถ้าในแง่ของการทำ ประกันโรคร้าย/สุขภาพ หากมีประวัติตรวจพบเนื้องอก จะถือว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นลายลักษณ์อักษรในทันที และส่งผลให้ถูกยกเว้นความคุ้มครองเนื้องอกในบริเวณนั้น หรือ ถูกยกเว้นความคุ้มครองทั้งอวัยวะที่มีเนื้องอกนั้นได้ นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ไม่ควรตรวจสุขภาพอย่างละเอียดที่มีการฉายภาพขั้นสูง โดยที่ยังไม่มีประกันโรคร้ายแรง/สุขภาพ

สถิติประเทศไทย 2022 : มะเร็งที่เป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง จะพบว่าผู้ชายจะเป็นมะเร็งมากกว่าหญิง อย่างไรก็ตามมะเร็งที่พบได้เฉพาะผู้หญิง มีอัตราการพบว่าเป็นมะเร็งรวมกันสูงอย่างมาก จนกลายเป็นอันดับ 1 ดังนั้นทั้งผู้ชายและผู้หญิงจึงมีความเสี่ยงพบโรคมะเร็งอย่างมากทั้งคู่
นอกจากนี้เริ่มมีการเปิดเผยผลกระทบของวัคซีนโควิด mRNA ที่ก่อให้เกิดโปรตีนหนามทิ้งไว้ในร่างกายจำนวนมาก และส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามงานวิจัยต่าง ๆ (เป็นทุกขลาภอย่างมากที่ประเทศไทยยังไม่ตื่นตัวเรื่องนี้มากนัก จึงทำให้เบี้ยประกันมะเร็งยังไม่มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน)
และเพื่อให้เห็นว่าสถิติมะเร็งเหล่านี้เป็นจริง เพียงค้นหาคำว่า "มะเร็ง" ทั้งทาง Youtube Facebook และ Tiktok ( โดยเฉพาะ Tiktok ที่ AI ค่อนข้างฉลาดมาก หากติดตามผู้ป่วยมะเร็งหนึ่งคน ผู้ป่วยมะเร็งอีกหลายคนก็จะแสดงผลขึ้นมาใน Feed อย่างรวดเร็ว)
ซึ่งจากบัญชี Social media เหล่านี้นี่เอง จะเห็นได้ว่ามีผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังต่อสู้กับมะเร็งนี้อยู่อย่างมากมาย และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (รวมถึงการพบบัญชีที่ไม่ได้อัพเดทอีกแล้วหลายบัญชี ด้วยสาเหตุว่าได้จากไปแล้ว)
มะเร็งจึงใกล้ตัวกว่าที่คิดไว้มากจนน่ากลัว เพียงแต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะปิดตา...ไม่ยอมมองถึงภัยร้ายมะเร็งที่ใกล้ตัวอย่างมากนี้
ที่สำคัญในการเคลมประกันโรคร้ายแรง มะเร็งมีอัตราการเคลมสูงถึง 73-75% เมื่อเทียบกับโรคร้ายแรงอื่น ๆ ทั้งหมด ทำให้เห็นได้ชัดเจนถึงความเสี่ยงที่สูงมากของการเป็นโรคมะเร็ง

สถิติการเคลมประกันโรคร้ายแรง : สถิติการเคลมจะสอดคล้องกับข้อมูลการป่วยเป็นโรคร้ายแรง โดยมีการเคลมโรคร้ายแรง 'เสี่ยงสูง' รวมกันในแต่ละปีถึง 94%-96% ของโรคร้ายแรงทั้งหมด และเป็นของโรคมะเร็งไปมากถึง 73%-75% (ซึ่งมะเร็งมีแนวโน้มจะเป็นสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยปัญหา PM2.5 ปัญหาไมโครพลาสติก พันธุกรรม และปัญหาผลข้างเคียงของวัคซีนโควิด)
ความน่ากลัวของมะเร็งหากแบ่งตามอัตราการเสียชีวิตในช่วงอายุต่าง ๆ แล้ว จะเห็นได้ว่า ยิ่งอายุมากขึ้นความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตเพราะมะเร็งก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น การเตรียมพร้อมรับมือกับมะเร็งในวัยเกษียณจึงมีความจำเป็นอย่างมาก
รวมถึงตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไป ที่อัตราการเสียชีวิตเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (หากเสียชีวิตอายุ 35 นั่นหมายความว่าอาจเริ่มเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุ 30 หรือน้อยกว่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยพบว่าในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา คนอายุต่ำกว่า 50 ปี เป็นมะเร็งกันเพิ่มขึ้นถึง 80% ทั่วโลก)

สถิติประเทศไทย 2021 : แสดงให้เห็นว่ามีการเสียชีวิตจากมะเร็งในทุกช่วงอายุ และอายุที่เริ่มน่าเป็นห่วงคืออายุ 35 ปีขึ้นไป ที่อัตราการเสียชีวิตเริ่มพุ่งสูงขึ้น
นอกจากปัญหาที่คนอายุน้อยเริ่มเป็นมะเร็งกันมากขึ้นแล้ว ปัญหาการเป็นมะเร็งในช่วงวัยเกษียณก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่มากอยู่เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป และจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประกันมะเร็งในท้องตลาดจะเน้นให้ความคุ้มครองถึงอายุครบ 65 ปีเพียงเท่านั้น
ไม่ใช่แค่เพียงสถิติ..แต่มะเร็งอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด
ตัวแอนนี่ผู้เขียนบทความนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เคยสูญเสียคนในครอบครัวให้กับมะเร็ง
คนแรกเป็นคุณน้าที่เสียชีวิตด้วย มะเร็งลำไส้และต่อมน้ำเหลือง โดยครอบครัวคุณน้าใช้เงินจำนวนมากไปกับขั้นตอนการรักษาที่มะเร็งไม่ตอบสนองเท่าใดนัก
คนที่สองเป็นคุณน้าอีกคนด้วย มะเร็งเต้านม แต่โชคดีรักษาหาย แต่ยังต้องนัดติดตามอาการมาจนทุกวันนี้
คนที่สามเป็นพี่สะไภ้ด้วย มะเร็งไทรอยด์ ซึ่งอาจเป็นเพราะผลข้างเคียงของมะเร็งนี้ ทำให้หลานชายคนเล็กที่เกิดมาได้ 2 เดือน ได้พบว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วตั้งแต่เกิด ถึงแม้จะโชคดีผ่าตัดและรักษาได้ทัน
แต่หลานก็ต้องติดตามอาการ และทานยาเป็นประจำไปตลอดชีวิต กับต้องคอยระวังการใช้ชีวิตของหลาน เพราะอาการลิ้นหัวใจรั่วจะไม่สามารถดีขึ้นไปมากกว่านี้ได้อีก ทำได้แต่เพียงป้องกันไม่ให้แย่ไปกว่าเดิมเท่านั้น ซึ่งแอนนี่รับหน้าที่พาหลานเดินทางไปตรวจติดตามอาการที่ รพ.ศิริราช ทุก 6 เดือน จนปัจจุบันหลานอายุ 11 ปีแล้ว
และคนที่สี่เป็นคุณแม่ของแอนนี่เอง โดยเป็นเนื้องอกในมดลูก ซึ่งหากปล่อยไว้อาจพัฒนาเป็นเนื้อร้ายได้ จึงได้ทำตามที่ทางคุณหมอแนะนำ คือ ผ่าตัดมดลูกออกทั้งหมด
นอกจากนี้ พี่บาส ที่เป็นนักวางแผนการลงทุนใน Release your Risk เอง ก็ได้สูญเสียคุณตาไปด้วย มะเร็งปอด และ เสียคุณลุงไปด้วย มะเร็งเม็ดเลือดขาว ในขณะที่ คุณป้าเป็น มะเร็งเต้านม ต้องตัดเต้านมทิ้งไป
รวมถึงในตอนที่พี่บาสยังเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย...ก็เคยสูญเสียลูกศิษย์ 1 คนด้วย มะเร็งลำไส้ แต่ยังดีที่มีลูกศิษย์อีก 1 คนที่ป่วยเป็น มะเร็งลำไส้ เหมือนกันแต่สามารถรักษาให้หายได้โดยยังต้องติดตามอาการเป็นประจำ
พี่บาสเล่าว่า ก่อนหน้านั้นได้ไปเยี่ยมลูกศิษย์และเห็นถึงความลำบากของพ่อแม่รวมถึงตัวลูกศิษย์เองที่ ต้องนอนรอการรักษาบนเตียงแบบเตียงชนติดกันใน รพ.ภาครัฐแห่งหนึ่ง
กว่าสุดท้ายจะได้ย้ายไปรักษาในโรงพยาบาลที่สามารถส่งตัวไปได้ ที่เป็นโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคม แต่ด้วยการที่รอการรักษาที่นานมาก ทำให้อาการของลูกศิษย์รุนแรงขึ้นมาก และในที่สุดได้จากไป
ในขณะที่เพื่อนของพ่อพี่บาสเป็นมะเร็งในสมองในวัยใกล้เกษียณ แต่ว่าเนื่องจากมีตำแหน่งระดับสูงใน รพ.เอกชน ขนาดใหญ่ จึงสามารถใช้สวัสดิการของ รพ. ในการตรวจรักษาด้วยวิธีการที่ดีที่สุดได้อย่างรวดเร็ว และยังคงรักษาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่า มีผู้ป่วยมะเร็งอยู่รอบตัวแอนนี่กับพี่บาส ทั้งที่เป็นคนรู้จักและคนใกล้ชิด ซึ่งมั่นใจได้ว่าไม่ใช่เฉพาะกับแอนนี่และพี่บาสเท่านั้นที่เผชิญกับเหตุการณ์ลักษณะนี้อยู่
เพราะเพียงตั้งคำถามว่ามีคนใกล้ตัวหรือคนรู้จักใดบางที่ได้ป่วยเป็นมะเร็งในชีวิตที่ผ่านมา ย่อมจะปรากฏผู้ป่วยมะเร็งอยู่รอบตัวไม่ว่าทางใดทางหนึ่งอย่างแน่นอน ด้วยจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่สะสมเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ปี จึงได้แต่ลุ้นว่าอย่าให้ต้องกลายเป็นหนึ่งในผู้ป่วยมะเร็งในเร็ววันนี้ โดยเฉพาะหากการเงินยังไม่พร้อม
เนื่องจากผู้ป่วย...หากสุดท้ายต้องเสียชีวิตจากมะเร็ง มักจะเป็นเพราะ ตรวจเจอมะเร็งในระยะสุดท้ายตอนเริ่มมีอาการแล้ว หรือ ไม่ก็ต้องรอนานจนมะเร็งแพร่กระจาย และไม่มีใครทำประกันที่จะทำให้สามารถเลือกการรักษาที่ดีและเร็วกว่าได้
ทำให้ได้แต่ลุ้นผลการรักษาจาก ยาที่ใช้ได้ตามสิทธิบัตรทองหรือประกันสังคมเท่านั้น (การใช้ยาตามสิทธิจะไม่สามารถโดดข้ามขั้นตอน Protocol ไปใช้ยาที่ดีกว่าได้ ต้องทนใช้ยาที่ดีน้อยกว่าจนพิสูจน์ว่าไม่ได้ผลแล้วเท่านั้นจึงจะเปลี่ยนเป็นยาที่ดีกว่าได้) รวมถึงหากยาที่ใช้ตามสิทธิได้ผล ก็ต้องภาวนาขออย่าให้กลับมาเป็นซ้ำ เพราะนั่นหมายความว่า...จะไม่สามารถใช้ยาตัวเดิมรักษาได้อีกแล้ว เพราะมะเร็งจะดื้อยาเรียบร้อย
เรียกได้ว่าข่าวร้าย "มะเร็ง" ใกล้ตัวกว่าที่คิดไว้มาก
ประกอบกับใน Facebook จะมีกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยมะเร็ง เช่น กลุ่ม รักษามะเร็งกับหมอชวลิต รพ.จุฬาลงกรณ์ (เป็นอีกหนึ่งใน Community สำคัญที่จะเปลี่ยนมุมมองของท่านต่อโรคมะเร็งตลอดไป รวมถึงบทความเกี่ยวกับโรคมะเร็งทั้งหมดที่หมอชวลิตได้เผยแพร่มาตั้งแต่ปี 65-67)
ซึ่งกลุ่มลักษณะนี้จะได้มีการโพสแชร์ประสบการณ์ของผู้ป่วยมะเร็งหรือครอบครัวของผู้ป่วยมะเร็งว่า เริ่มสังเหตุเห็นความผิดปกติอะไรบ้างก่อนที่จะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง
สำหรับเป็นวิทยาทานให้กับผู้ที่ยังไม่เป็นมะเร็งได้มีโอกาสสังเกตุเห็นและมีโอกาสได้รีบไปตรวจคัดกรองมะเร็งได้ทัน เพื่อที่ถ้าโชคร้ายตรวจเจอมะเร็งก็อาจยังมีโชคดีที่ตรวจเจอเร็ว และยังสามารถรักษาให้มะเร็งหายได้
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อได้อ่านการแชร์ประสบการณ์ลักษณะนี้แล้ว ย่อมพบว่ามีหลายกิจวัตรประจำวันที่ได้ทำคล้าย ๆ กับผู้ป่วยมะเร็ง แต่ถ้าจะให้ไปตรวจคัดกรองมะเร็งแล้วโชคร้ายเจอมะเร็งขึ้นมาจริง ๆ ก็ดูจะอันตรายเกินไป เนื่องจากค่ารักษามะเร็งนั้นค่อนข้างสูงมาก แถมยังต้องหยุดทำงานทั้งหมดเพื่อมาทำการรักษา จนไม่มีรายได้เข้ามาเลย และที่สำคัญอาจต้องมีคนในครอบครัวอย่างน้อย 1 คนที่ต้องหยุดทำงานขาดรายได้เพื่อมาดูแลเราตามไปด้วย
หมอมะเร็งทุกคนจึงล้วนแนะนำว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสมัครทำประกันมะเร็งมาช่วยค่ารักษาและชดชเชยรายได้ที่จะขาดหายไปทั้งหมดเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อนตรวจคัดกรองมะเร็ง
เพราะหากในประวัติการตรวจคัดกรองมีบันทึกว่าได้พบปัจจัยเสี่ยงแล้ว ก็จะส่งผลต่อการรับทำประกันมะเร็งได้ในทันที ทั้งไม่รับทำประกัน หรือ รับทำประกันแต่ยกเว้นความคุ้มครองในมะเร็งที่มีปัจจัยเสี่ยงไปแล้วได้
จนทำให้ทั้งแอนนี่และพี่บาสไม่อยากประมาทกับตัวเองอีกต่อไป เพราะประกันมะเร็งหากสมัครแล้วกว่าจะเริ่มคุ้มครองหรือตรวจคัดกรองมะเร็งได้ จะต้องรออีกถึง 90 วัน ซึ่งเป็นระยะคัดกรองว่า ไม่ได้รีบทำประกันมะเร็งเพราะพบอาการผิดปกติบางอย่างแล้ว
ดังนั้นการรีบทำประกันมะเร็ง ด้วยเพราะเพียงมีกิจวัตรประจำวันคล้ายคนเป็นมะเร็งจึงย่อมดีกว่ารอให้เกิดอาการผิดปกติบางอย่างขึ้นมาแล้ว เนื่องจากการต้องรอนานถึง 90 วัน หรือ 3 เดือน เพื่อให้ประกันมะเร็งมีผลนั้น อันตรายต่อการเติบโตของมะเร็งอย่างมาก
ทั้งยังไม่สามารถแจ้งระยะเวลาของอาการผิดปกติตามจริงกับแพทย์ตอนซักประวัติได้ เพราะอาการผิดปกตินั้นเริ่มเป็นตั้งแต่ก่อนทำประกัน หรือ เป็นในระยะไม่คุ้มครอง 90 วัน ซึ่งจะทำให้ประกันมะเร็งไม่คุ้มครอง (แต่ถ้าไม่บอกตามจริงก็จะส่งผลต่อการวินิจฉัยที่อาจคลาดเคลื่อนได้)
จากจุดนี้เองแอนนี่กับพี่บาส จึงตัดสินใจจะรีบทำประกันมะเร็งให้เร็วที่สุด โดยได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับประกันมะเร็งและโรคร้ายแรงทั้งหมดอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ประกันมะเร็งที่ตอบโจทย์ได้มากที่สุด คือ
สามารถคุ้มครองได้นานถึงตอนเกษียณ ได้ความคุ้มครองมากพอที่จะชดเชยรายได้ที่สูญหายไประหว่างการรักษาได้ และ เบี้ยประกันที่ไม่สูงมากโดยเฉพาะตอนเกษียณที่อาจไม่ได้มีรายได้ประจำแล้ว
การเลือกประกันมะเร็งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีหลายรูปแบบมาก
ในระหว่างการศึกษา จึงได้พบกับปัญหามากมายของประกันมะเร็ง ทั้งในแง่ของการเคลมประกัน ไปจนถึงรูปแบบของประกันมะเร็งที่มีมากมายหลายรูปแบบ
- ทั้งแบบคุ้มครองมะเร็งอย่างเดียว กับ แบบที่คุ้มครองหลายโรคร้ายแรง
- ทั้งแบบเจอจ่ายจบ กับ แบบเจอจ่ายค่ารักษา แบบเจอจ่ายค่าชดเชย
- ทั้งแบบจากบริษัทประกันชีวิต กับ แบบจากบริษัทประกันภัย ที่เมื่อดูในเนื้อหาสัญญาแล้วมีจุดที่แตกต่างกันที่ต้องระวัง
- ทั้งแบบที่สมัครทำประกันง่าย อนุมัติทันที ผ่านโทรศัพท์ ผ่านระบบเว็บบริษัทประกัน กับ แบบที่สมัครทำประกันแล้วต้องรอลุ้นการพิจารณาอาจมีการขอประวัติการรักษา การขอตรวจสุขภาพ ที่ทำผ่านตัวแทนประกัน
- ทั้งแบบเจอจ่าย 100% ทุกมะเร็ง กับ แบบเจอจ่าย 100% เฉพาะมะเร็งระยะลุกลาม
- ทั้งแบบคุ้มครองถึงอายุ 65 ปีก่อนเกษียณ กับ แบบที่คุ้มครองยาวจนถึงอายุ 90-99 ปีทั้งก่อนและหลังเกษียณ
- ทั้งแบบเบี้ยประกันเพิ่มตามอายุ กับ แบบเบี้ยประกันคงที่ตามอายุที่เริ่มทำประกัน
- ทั้งแบบหากคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งจะไม่รับ กับ แบบที่ไม่ถามประวัติการเป็นมะเร็งของคนในครอบครัว
ทั้งหมดนี้จึงทำให้แอนนี่ต้องใช้เวลาในการเลือกประกันมะเร็งพอสมควร ซึ่งตอนนั้นแม้จะได้เป็นตัวแทนของกรุงเทพประกันชีวิตแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแอนนี่จะเลือกในทันทีว่าประกันมะเร็งของกรุงเทพประกันชีวิตจะน่าสนใจที่สุด
จึงตัดสินใจทำความเข้าใจประกันมะเร็งในตลาดทั้งหมด ผ่านทั้งทางโบรชัวร์ หน้าเว็บ ตัวอย่างกรมธรรม์ประกันมะเร็งแต่ละแบบ ตัวอย่างการเคลม ตารางเบี้ยประกัน สถิติความเสี่ยงมะเร็งแบบต่าง ๆ กับโรคร้ายแรงที่พบบ่อยในประเทศไทย
รวมไปถึงแบบประกันอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่าง ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรงเบี้ยเพิ่มตามอายุ ประกันโรคร้ายแรงเบี้ยคงที่ ประกันค่ารักษาโรคมะเร็ง เพราะบางบริษัทก็แยกประกันเหล่านี้ออกจากกันอย่างชัดเจนตามวัตถุประสงค์ บางบริษัทก็มีการรวบเข้ามาเป็นแบบประกันเดียวกันอย่าง ประกันชีวิตควบโรคร้ายแรงเบี้ยคงที่
ซึ่งกว่าที่แอนนี่จะตัดสินใจได้ว่า จะเน้นไปที่ประกันมะเร็งแบบเจอจ่ายเป็นเงินก้อนเป็นหลัก ไม่เอาค่ารักษา ก็ใช้เวลาพอสมควร
เพราะเห็นว่าอย่างไรแล้วในอนาคต การเพิ่มเงินอีกไม่มากจากแบบประกันค่ารักษามะเร็ง แล้วศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ประกันสุขภาพเหมาจ่าย มาช่วยดูแลค่ารักษาโรคทั้งหมดจะดูน่าสนใจกว่า
เพราะ ประกันสุขภาพดูแลค่ารักษาอย่างติ่งเนื้อ เนื้องอก ที่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นมะเร็งได้ด้วย รวมถึงอาการแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียงต่าง ๆ และ ประกันสุขภาพจะมีโอกาส Fax-Claim ค่ารักษาได้โดยไม่ต้องสำรองจ่ายแบบประกันค่ารักษามะเร็งอีกด้วย
รวมไปถึงการแยกประกันชีวิตออกมาจากประกันโรคร้ายแรง จะช่วยให้สามารถเน้นทุนชีวิตที่สูงกว่าเบี้ยได้ถึง 250 เท่า จึงทำให้เห็นว่าการทำประกันแบบแยกตามหน้าที่ของชนิดประกันนั้น ๆ จะตอบโจทย์ได้มากกว่าแบบประกันที่รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน
นอกจากนี้การมีประกันมะเร็งแบบจ่ายเงินก้อนจะช่วยในเรื่องค่าชดเชยรายได้ที่ต้องหยุดทำงาน กับ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากค่ารักษาได้ หากภายหลังมีประกันสุขภาพแล้ว หรือ
หากยังไม่มีประกันสุขภาพ ประกันมะเร็งแบบได้เงินก้อนด้วยเบี้ยที่ถูกกว่าประกันสุขภาพ แต่ก็ยังสามารถช่วยให้ขบวนการตรวจวินิจฉัยเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว แล้วเน้นใช้สิทธิสวัสดิการภาครัฐอื่น ๆ ในการรักษาต่อได้
สุดท้ายแอนนี่และพี่บาสก็เลือกประกันมะเร็งในแบบที่ต้องการได้ในที่สุด และได้ยื่นสมัครทำประกันมะเร็งไป
เพียงแต่ว่าตอนยื่นทำประกันมะเร็งนั้น ของแอนนี่ถูกบริษัทขอให้มีการตรวจสุขภาพและตรวจเลือดอย่างละเอียด เนื่องจากได้แถลงสุขภาพว่าเคยเป็นกรดไหลย้อนรับยามาทานแบบผู้ป่วยนอกในตอนยื่นสมัครไปด้วย
และทำให้แอนนี่ตกใจอย่างมาก เพราะจริง ๆ แล้ว ต้องการรีบทำประกันมะเร็งก่อนที่จะมีผลตรวจสุขภาพอะไรที่ทำให้ทำประกันมะเร็งไม่ได้ แต่กลายเป็นว่ากลับถูกขอให้ตรวจสุขภาพก่อนทำประกันเสียอย่างนั้น
อย่างไรก็ตามแอนนี่ก็เดินหน้าต่อ หลังจากได้ปรึกษากับพี่ ๆ ตัวแทนภายในทีม ซึ่งพี่ ๆ แนะนำว่า นี้อาจเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ตรวจพิสูจน์โดยตรงว่าไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ และจะทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อบริษัทรับทำประกันจะสามารถเคลมได้อย่างแน่นอน
และไม่ใช่ทุกบริษัทที่แถลงสุขภาพเรื่องกรดไหลย้อนไปแล้วจะยินยอมให้ตรวจพิสูจน์โดยออกค่าใช้จ่ายให้แบบนี้ เพราะค่าตรวจเลือดแบบละเอียดนั่นมีราคาหลายพันบาท ไม่คุ้มกับเบี้ยประกันที่ได้รับมา สู้เลื่อนการรับประกันออกไปก่อนจะง่ายกว่า
ที่สำคัญโดยปกติแล้ว ผลเลือดจะไม่ได้มีความละเอียดเท่ากับการตรวจฉายภาพขั้นสูงต่าง ๆ ที่จะเห็นเป็นภาพรอยโรคอย่างชัดเจน โดยผลเลือดจะเริ่มมีความแม่นยำเฉพาะกับมะเร็งระยะ 3-4 เท่านั้น แต่แอนนี่ยังไม่มีอาการหนักมากใด ๆ เลย เพียงแต่เคยไปพบหมอครั้งเดียวเท่านั้น จึงได้ตัดสินใจที่จะไปตรวจสุขภาพและตรวจเลือดในครั้งนี้
อย่างไรก็ตามตอนตรวจสุขภาพนั้นแอนนี่ก็ยังเครียดอย่างมาก เนื่องจากหากผลเลือดออกมาว่าปัจจัยเสี่ยงมะเร็ง ไหนจะทำประกันมะเร็งไม่ได้แล้ว ก็ยังจะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จะตามมาอีกนับไม่ถ้วน ที่จะต้องตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุอย่างละเอียดต่อ
ในใจจึงคิดอย่างเดียวว่า ขอให้ผลเลือดไม่เกินเกณฑ์อ้างอิงให้ต้องสงสัยมีว่าอาจเป็นมะเร็ง...พูดวนอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายผลก็ออกมา..
ว่าไม่มีข้อบ่งชี้ของมะเร็งใด ๆ และได้นำส่งผลตรวจกลับไปที่บริษัท และอีกไม่กี่วันกรมธรรม์ประกันมะเร็งก็อนุมัติในที่สุด
ซึ่งความรู้สึกตอนนั้น เหมือนกับยกภูเขาออกจากอก รู้สึกโล่งใจมาก ๆ โดยอาการโล่งใจนี้ จะคล้ายกับคนที่กำลังอ่านอะไรสักอย่างอย่างเคร่งเครียด แต่แล้วสักพักก็มีรอยยิ้มตรงมุมปากออกมาเสมือนได้ปลดปล่อยความเครียดนี้ออกไปแล้ว
และนั่นคืออาการของแอนนี่ ตอนที่ทราบว่าบริษัทได้อนมุติรับทำประกันมะเร็งแล้วแบบคุ้มครองทุกอย่าง ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ
ทำให้อย่างน้อยในระหว่างการศึกษาคัดเลือก และเก็บเงินสำหรับประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่เหมาะสม ถ้าเกิดเป็นมะเร็งขึ้นมาก็ยังมีเงินส่วนนี้ไว้แบ่งเบาค่าใช้จ่ายของโรคมะเร็งได้อย่างแน่นอน
ซึ่งจากประสบการณ์การคัดเลือกประกันมะเร็งจากแบบประกันมะเร็งต่าง ๆ มากมายครั้งนี้เอง แอนนี่จึงได้ตัดสินใจนำมาเปิดเผยสรุปเป็นเคล็ดลับการเลือกประกันมะเร็ง รวมถึงเหตุผลที่เลือกประกันมะเร็งแบบที่ทำประกันอยู่ ไว้ในบทความนี้
เพื่อที่บทความนี้จะสามารถเป็นประโยชน์ต่อไปได้ไม่มากก็น้อยในภายภาคหน้า โดยเฉพาะกับท่านที่มีความเสี่ยงเข้าใกล้โรคมะเร็ง เพราะถูกบีบคั้นจากอาชีพและการทำงานที่เคร่งเครียดในปัจจุบัน
เคล็ดลับเลือกประกันมะเร็งให้สามารถคุ้มครองนานตลอดชีพ
โดยการคัดเลือกประกันมะเร็งของแอนนี่นั้นจะได้เริ่มจากฝั่งประกันชีวิตก่อน เนื่องจากมีข้อมูลต่าง ๆ ครบถ้วนง่ายต่อการเปรียบเทียบ
และเนื่องจากจากสถิติการเป็นมะเร็งจะเห็นได้ว่า ประกันมะเร็งที่สามารถคุ้มครองได้ตลอดชีพเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก เนื่องจากอัตราการป่วยเป็นมะเร็งจะค่อนข้างสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดภายหลังอายุ 60 ปีเป็นต้นไป ซึ่งประกันมะเร็งจากฝั่งบริษัทประกันชีวิตจะพอสามารถตอบโจทย์ตลอดชีพนี้ได้ด้วยเพราะ..
โดยปกติแล้ว คปภ. จะมีการกำหนดให้กรมธรรม์ประกันที่มาจากบริษัทประกันชีวิต จะต้องมีสัญญาหลักเป็นประกันชีวิตเพื่อใช้กำหนดอายุของกรมธรรม์เสมอ จากนั้นจึงจะสามารถเพิ่มความคุ้มครองต่าง ๆ ด้วยสัญญาเพิ่มเติมที่จะนำมาแนบกับสัญญาหลักประกันชีวิตนี้
สัญญาหลักประกันชีวิต
กำหนดอายุสัญญาหรืออายุกรมธรรม์ เป็นสัญญาเดียว ๆ ได้ โดยมีเบี้ยประกันคงที่ตามอายุที่เริ่มทำประกัน
สัญญาเพิ่มเติมคุ้มครอง
เป็นสัญญาแยกเดียว ๆ ไม่ได้ ต้องแนบกับสัญญาหลัก โดยต่ออายุ ปีต่อปี ไม่เกินอายุของสัญญาหลัก เบี้ยประกันมีทั้งคงที่และเพิ่มตามอายุ
จึงทำให้หากทางฝั่งประกันชีวิตจะออกกรมธรรม์ประกันมะเร็งขึ้นมาได้นั้น จะจำเป็นต้องมีประกันชีวิตเป็นสัญญาหลักให้เรียบร้อย ก่อนที่จะแนบสัญญาเพิ่มเติมประกันมะเร็งหรือโรคร้ายแรงเข้าไปในกรมธรรม์
ซึ่งด้วยส่วนใหญ่บริษัทจะใช้เป็นประกันชีวิตตลอดชีพที่คุ้มครองนานถึงอายุ 90-99 ปี จึงทำให้ประกันมะเร็งฝั่งประกันชีวิตมักจะคุ้มครองได้นานตลอดชีพ และตอบโจทย์ความคุ้มครองมะเร็งหลังเกษียณได้
ทำให้เมื่อบริษัทประกันชีวิตจะออกผลิตภัณฑ์ประกันมะเร็ง จะสามารถทำได้ 3 รูปแบบ ด้วยกันคือ
- ประกันมะเร็งรูปแบบแพ็คเกจสำเร็จรูป ที่ในแพ็คเกจจะมีทุนประกันชีวิต 50,000 - 100,000 บ. เพื่อใช้เป็นสัญญาหลักให้กับสัญญาเพิ่มเติมประกันมะเร็งตามแผนคุ้มครองที่เลือกให้เรียบร้อย ทั้งนี้เนื่องจากเป็นแบบแพ็คเกจจึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงใด ๆ นอกเหนือจากที่แพ็คเกจกำหนดมาแล้วได้
- ประกันมะเร็งรูปแบบสัญญาเพิ่มเติมตามปกติ ที่จำเป็นต้องนำไปแนบคู่กับสัญญาหลักประกันชีวิตตลอดชีพที่ผู้ทำประกันสามารถเลือกแบบประกันชีวิตตลอดชีพและทุนชีวิตที่ต้องการได้เอง
- ประกันมะเร็งในรูปแบบเป็นประกันชีวิตตลอดชีพ รูปแบบนี้จะเป็นการแก้ไขในตัวสัญญาประกันชีวิตโดยตรง เพื่อปรับให้ทุนประกันที่ทำนั้น คุ้มครองมะเร็งหรือโรคร้ายแรงร่วมด้วยนอกจากการคุ้มครองชีวิตตามปกติเพียงอย่างเดียว โดยสัญญาที่แก้ไขนี้จะถูกจัดว่ายังเป็นสัญญาหลักประกันชีวิตตลอดชีพอยู่เหมือนเดิม
และจากประกันมะเร็ง 3 รูปแบบนี้เอง จึงจะสามารถแบ่งประกันมะเร็งของฝั่งประกันชีวิตที่มีตัวอย่างผลิตภัณฑ์จริงในตลาด 4 แบบผลิตภัณฑ์ดังต่อไปนี้
แบบที่ 1 แพ็คเกจประกันมะเร็งเบี้ยเพิ่มตามอายุ BLA Cancer Max

- เป็นแบบประกันที่พบได้ในหลายบริษัทประกันชีวิต แต่มักเป็นสัญญาเพิ่มเติม ไม่ได้เป็นแบบแพ็คเกจ
- เบี้ยเพิ่มทุกปีตามอายุ โดยเบี้ยแลกความคุ้มครองโรคร้ายอย่างเดียวในปีนั้น ๆ เบี้ยจะไม่ได้เก็บเผื่อปีข้างหน้า ทำให้ไม่มีมูลค่าเวนคืน หากยกเลิกสัญญา (มักยกเลิกสัญญาตอนเกษียณที่เบี้ยปรับตัวสูงขึ้นมาก)
- เป็นสัญญาเพิ่มเติมแบบแพ็คเกจ โดยอยู่ในแพ็คเกจ BLA Cancer Max ที่มีประกันชึวิตทุน 1 แสนบาท เป็นสัญญาหลักให้เรียบร้อย
- การแถลงสุขภาพจะเป็นแบบย่อที่เน้นเฉพาะโรคมะเร็ง
- เบี้ยประกันสะสมน้อยที่สุดในช่วงอายุก่อนเกษียณ แต่เบี้ยประกันสะสมจะสูงขึ้นอย่างมากหลังเกษียณ และเบี้ยสะสมจะสูงเกินทุนประกันที่คุ้มครอง
- มีการพ่วงสัญญาประกันมะเร็งความคุ้มครองอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ค่าชดเชยรายวันนอน รพ. ด้วยเพราะมะเร็ง หรือ ค่าชดเชยหากเสียชีวิตเพราะมะเร็ง
- โดย เบี้ยรวมสะสมสุดท้ายตลอดอายุสัญญา จะสูงที่สุดเมื่อเทียบกับทุกแบบ และสูงเกินทุนประกันโรคร้าย
แบบที่ 2 แพ็คเกจประกันมะเร็งเบี้ยคงที่ BLA อุ่นใจโรคร้าย

- เป็นแบบประกันที่เท่าที่มีข้อมูลจะมีเฉพาะใน BLA ที่คุ้มครองถึงอายุ 90 และเป็นแบบแพ็คเกจ
- เบี้ยคงที่ทุกปี โดยเบี้ยที่ชำระจะมีการเก็บเผื่อปีข้างหน้าด้วย ทำให้จะมีมูลค่าเงินเวนคืนสะสมอยู่ในสัญญา (กราฟสีเขียว) ซึ่งมูลค่านี้จะสามารถเติบโตมาช่วยจ่ายค่าประกันภัยที่สูงตอนเกษียณได้ และทำให้ตอนเกษียณไม่ต้องเก็บเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น เหมือนกับของ BLA Cancer Max
- ถ้าหากยกเลิกก่อนครบอายุสัญญาจะได้มูลค่าเงินเวนคืนที่สะสมนี้คืน ทำให้เมื่อนำเบี้ยที่จ่ายไปหักด้วยมูลค่าเวนคืนที่ได้มา เบี้ยสำหรับโอนความเสี่ยงจริง ๆ จะน้อยลงมาก
- เป็นสัญญาเพิ่มเติมแบบแพ็คเกจ โดยอยู่ในแพ็คเกจที่มีประกันชีวิตทุน 50,000 บ. เป็นสัญญาหลักมาให้เรียบร้อย
- การแถลงสุขภาพจะเป็นแบบย่อที่เน้นเฉพาะมะเร็งโรคร้าย
- เบี้ยคงที่ต่อปีจะไม่สูง เพราะ ไม่ได้มีจุดประสงค์ให้มูลค่าเงินเวนคืนที่สะสมในสัญญาเติบโตเกินเบี้ยสะสมที่จ่ายไป
- เบี้ยรวมสะสมสุดท้ายประหยัดกว่า แบบเบี้ยเพิ่มตามอายุ
แบบที่ 3 สัญญาเพิ่มเติมประกันโรคร้ายแรงเบี้ยคงที่ BLA HAPPY CI

- เบี้ยคงที่ 20 ปี คุ้มครองโรคร้ายเสี่ยงเป็นสูงจนถึงอายุ 99 ปี (ตลอดชีพ) เบี้ยที่ชำระจะมีการเก็บเผื่อปีข้างหน้าไปมากพอสมควร เพื่อทำให้มูลค่าเงินเวนคืนสะสมอยู่ในสัญญา (กราฟสีเขียว) จะสามารถเติบโตจ่ายค่าประกันภัยหลังชำระเบี้ยครบ 20 ปีได้
- มูลค่าเวนคืนสะสมเติบโตเกินเบี้ยสะสมรวมที่จ่ายไปได้ หากทำประกันตอนอายุไม่เกิน 33-35 ปี เนื่องจากมีเวลาให้เติบโตได้นานมากพอ
- เป็นสัญญาเพิ่มเติมที่ต้องเลือกจับคู่กับสัญญาหลักประกันชีวิต
- การแถลงสุขภาพจะเป็นแบบละเอียดที่ครอบคลุมทั้งชีวิตและโรคร้ายแรง
- ทำประกันหลังอายุ 33-35 ปี มูลค่าเวนคืนสะสมรวมจะเกินเบี้ยสะสมที่จ่ายไปได้ หากนำมูลค่าเวนคืนมารวมเข้ากับมูลค่าเวนคืนของประกันชีวิตที่จับคู่กัน โดยทุนประกันชีวิตกับทุนโรคร้ายแรงต้องใกล้เคียงกันหรือมากกว่า
- เบี้ยสะสมรวมสุดท้ายประหยัดมากที่สุด
แบบที่ 4 สัญญาหลักประกันชีวิตตลอดชีพควบโรคร้ายแรงเบี้ยคงที่

- เบี้ยคงที่ 5-20 ปี คุ้มครองโรคร้ายแรงและชีวิตจนถึงอายุ 85 หรือ 99 ปี (ตลอดชีพ) เบี้ยที่ชำระจะมีการเก็บเผื่อปีข้างหน้าไปในจำนวนที่สูงที่สุด เพื่อทำให้มูลค่าเงินเวนคืนสะสมอยู่ในสัญญา (กราฟสีเขียว) จะสามารถเติบโตมาจ่ายค่าประกันภัยทั้งชีวิตและโรคร้ายแรงหลังชำระเบี้ยครบ 5-20 ปีได้ รวมถึงต้องการันตีได้ว่ามูลค่าเวนคืนจะเติบโตจนเท่าทุนประกันที่เลือกตอนครบสัญญาพอดี
- คุ้มครองโรคร้ายแรงจำนวนมาก แต่เบี้ยสะสมรวมสุดท้ายจะเข้าใกล้ทุนประกันที่ได้มากขึ้นตามไปด้วย เพราะคุ้มครองหลายโรค จึงต้องเพิ่มเบี้ยมากขึ้น แต่ทุนเท่าเดิม
- เป็นสัญญาหลักประกันชีวิตไปในตัว ทำให้มูลค่าเวนคืนตอนครบอายุสัญญาจะเท่ากับทุนประกัน
- การแถลงสุขภาพจะเป็นแบบละเอียดที่ครอบคลุมทั้งชีวิตและโรคร้ายแรง
- หากทำประกันก่อนอายุ 40-45 ปี เบี้ยที่จ่ายไปจะยังน้อยกว่าทุนคุ้มครอง มูลค่าเวนคืนจึงเติบโตเกินเบี้ยสะสมได้
- เบี้ยสะสมรวมสุดท้าย จะมากกว่าแบบที่ 2 กับ แบบที่ 3 แต่คุ้มครองทั้งโรคร้ายแรงและชีวิต
จากรูปแบบของประกันมะเร็งฝั่งประกันชีวิตทั้ง 4 แบบนี่เอง จึงทำให้หากเน้นไปที่ความคุ้มครองโรคมะเร็งที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดเป็นหลัก และเน้นที่เก็บเบี้ยน้อยแต่ให้ทุนความคุ้มครองต่อเบี้ยที่สูง ประกันในรูปแบบที่ 1-3 จึงจะค่อนข้างน่าสนใจ โดยโจทย์ต่อมาจึงเกี่ยวข้องกับระยะเวลาความคุ้มครอง ก่อน กับ หลัง เกษียณ
พอแอนนี่เริ่มแบ่งประกันมะเร็งด้วยการใช้ความสำคัญของการคุ้มครอง ก่อนเกษียณ หรือ หลังเกษียณ แล้ว จึงพอที่จะสรุปในการเลือกแบบประกันมะเร็งได้ดังนี้
- หากมีกำลังเงินพอ BLA Happy CI จะเป็นคำตอบที่น่าสนใจที่สุด เนื่องจากทุนความคุ้มครองที่ได้ในช่วงหลังเกษียณจะใช้เบี้ยประกันรวมที่น้อยที่สุด และหากยกเลิกไม่ต่อสัญญาเพราะไม่เสี่ยงเป็นโรคร้ายแรงแล้ว มูลค่าเวนคืนที่ได้จะสามารถเกินเบี้ยสะสมทั้งหมดได้ตั้งแต่ก่อนเกษียณด้วย
- แต่ หากกำลังเงินลดลง การพิจารณาประกันมะเร็งเบี้ยคงที่อย่าง BLA อุ่นใจโรคร้าย จะเป็นคำตอบที่น่าสนใจขึ้นสำหรับความคุ้มครองทั้งก่อนและหลังเกษียณ เพราะเป็นการทยอยจ่ายเบี้ยคงที่ทุกปีในจำนวนเบี้ยแต่ละปีที่ลดลงมาก รวมถึงหากยกเลิกสัญญาก่อนที่จะอายุ 80-82 ปี ก็จะยังได้มูลค่าเวนคืนกลับมาค่อนข้างมาก และถือว่าจ่ายเบี้ยจริง ๆ ไปน้อยมาก (หลังจากหักมูลค่าเวนคืนที่ได้คืนมาแล้วหากไม่ได้เป็นมะเร็ง)
- ในขณะที่หากกำลังเงินลดลงมาอีก และ เน้นความคุ้มครอง เฉพาะวัยก่อนเกษียณ ที่มักมีภาระต่าง ๆ มากกว่า หลังเกษียณ เพราะส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ที่หารายได้หลักเข้าครอบครัวอยู่ ทำให้การเน้น BLA Cancer Max มาก่อน แล้วอนาคตค่อยเสริมด้วย BLA Happy CI หรือ BLA อุ่นใจโรคร้าย ในภายหลังสำหรับช่วงหลังเกษียณ จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก ด้วยเพราะเบี้ยที่น้อยแต่ได้ทุนความคุ้มครองที่สูงมากในทันทีของ BLA Cancer Max

ตัวอย่าง : Timeline ในการเลือกประกันมะเร็งโรคร้ายแรงแบบเบี้ยคงที่ และ แบบเบี้ยเพิ่มตามอายุ โดยเน้นให้ความสำคัญไปที่การชดเชยรายได้ตามอายุที่จะสูญหายไปเนื่องจากต้องเข้ารักษาตัวจากโรคร้ายแรง
ดังนั้นจากตัวอย่าง Timeline การวางแผนโอนความเสี่ยงโรคมะเร็งนี้ จึงจำเป็นต้องเน้นทั้งก่อนและหลังเกษียณ เพียงแต่ก่อนเกษียณจะมีตัวช่วยให้เลือกโอนความเสี่ยงได้มากกว่านั้นเอง โดยแบบประกันที่เข้าตาแอนนี่และกำลังเงินที่มีในตอนนั้นก็คือ BLA อุ่นใจโรคร้าย ที่เป็นประกันมะเร็งเบี้ยคงที่ที่เบี้ยไม่แรงมาก (รวมถึงยังมีกำลังเหลือพอที่จะทำ BLA Cancer Max เสริมในภายหลังได้อีกด้วย)
อย่างไรก็ตามประกันมะเร็งแบบเบี้ยคงที่นั้น จะไม่ได้มีเฉพาะฝั่งประกันชีวิตเท่านั้น แต่จะยังมีฝั่งประกันภัยร่วมด้วย ซึ่งฝั่งประกันภัย คปภ. จะไม่ได้มีการบังคับให้ต้องมีสัญญาหลักประกันชีวิตแบบของฝั่งประกันชีวิต แต่สามารถมีสัญญาประกันมะเร็งแบบเดี่ยว ๆ ได้เลย
และ ฝั่งประกันภัยก็จะมีประกันมะเร็งทั้งเบี้ยปรับตามอายุ และแบบเบี้ยคงที่ เช่นเดียวกับฝั่งประกันชีวิต ทำให้แอนนี่เห็นว่าการนำประกันมะเร็งของฝั่งประกันภัยมาเปรียบเทียบกับประกันมะเร็งในฝั่งประกันชีวิตด้วยจึงเป็นเรื่องสำคัญก่อนที่จะตัดสินใจเลือก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประกันมะเร็งเบี้ยคงที่เหมือนกันกับ BLA อุ่นใจโรคร้าย ที่มักมีเบี้ยสะสมรวมกันน้อยกว่าประกันมะเร็งแบบเบี้ยปรับตามอายุ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ประกันมะเร็งแบบเบี้ยคงที่มักเป็นหนึ่งในรูปแบบประกันมะเร็งที่ได้รับความนิยมอย่างมากของฝั่งประกันภัย
แอนนี่พบว่าในตลาดปัจจุบัน ประกันมะเร็งเบี้ยคงที่ฝั่งประกันภัยที่ค้นหาข้อมูลได้ง่าย และมีข้อมูลให้สามารถนำมาเปรียบเทียบกับ ประกันมะเร็งเบี้ยคงที่ฝั่งประกันชีวิตอย่าง BLA อุ่นใจโรคร้าย ได้นั้น จะมีดังต่อไปนี้ (โดยล้วนเป็นประกันมะเร็งที่เป็นแผนแบบเจอจ่ายจบเป็นหลัก ไม่นับแผนที่มีการให้ค่ารักษา หรือค่าชดเชยเพิ่มเติม เพื่อความยุติของการเปรียบเทียบ)

จากตารางจะเห็นได้ว่า จุดเด่นหลักของประกันมะเร็งฝั่งประกันภัย คือ ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างมะเร็งระยะไม่ลุกลาม กับมะเร็งระยะลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียงออกจากกัน โดยไม่ว่าจะเป็นระยะใดก็เจอจ่ายจบทันที รวมไปถึงให้ความคุ้มครองมะเร็งผิวหนังแบบไม่ร้ายแรงด้วย (ทั้งแบบที่จ่าย 20% ของทุนประกัน และจ่าย 100% ของทุนประกัน)
ซึ่งจะแตกต่างจาก BLA อุ่นใจโรคร้าย ที่คุ้มครองมะเร็งผิวหนังเฉพาะชนิดเมลาโนม่าแบบร้ายแรงเท่านั้น โดยจะจ่ายเท่ากับมะเร็งระยะไม่ลุกลาม คือ 20% ของทุนประกัน และจ่าย 100% ให้กับมะเร็งระยะลุกลามแล้วเท่านั้น
ทั้งนี้ในแง่ของสถิติมะเร็งแล้ว โอกาสที่จะตรวจพบว่าเป็นมะเร็งในระยะไม่ลุกลามได้นั้นน้อยอย่างมาก หากไม่ได้มีการตรวจคัดกรองมะเร็งอย่างละเอียด หรือบังเอิญตรวจเจอจากการรักษาโรคอื่น ๆ ซึ่งจะคล้ายสถิติการเป็นมะเร็งผิวหนังที่พบได้น้อยมาก ๆ ในประเทศไทย (ไม่ติด 15 อันดับแรก) และความรุนแรงของทั้งมะเร็งระยะไม่ลุกลามและมะเร็งผิวหนังจะน้อยกว่ามะเร็งระยะลุกลามมากพอสมควร
ทำให้ การที่ BLA อุ่นใจโรคร้าย เลือกจ่าย 100% ให้เฉพาะกับมะเร็งระยะลุกลามเท่านั้นจะทำให้เบี้ยประกันภัยลดลงได้อีก และส่งผลดีต่อการคุ้มครองระยะยาวถึงอายุ 90 ปีได้ด้วยเบี้ยที่ไม่สูงมากนัก (แถมยังสามารถเพิ่มความคุ้มครองโรคร้ายแรงเสี่ยงเป็นสูงที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับ สมองและหัวใจ ได้อีก 9 โรคด้วย)
ในขณะที่ประกันมะเร็งฝั่งประกันภัยส่วนใหญ่จะคุ้มครองถึงเพียงอายุ 65 ปีเท่านั้น จึงทำให้แม้จะคุ้มครองมะเร็งทุกชนิดทุกระยะหรือรับความเสี่ยงมากกว่า BLA อุ่นใจโรคร้าย แต่ก็ยังทำเบี้ยได้น้อยกว่า BLA อุ่นใจโรคร้ายที่คุ้มครองยาวถึงอายุ 90 ปีอยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อประกันมะเร็งฝั่งประกันภัยจะไม่ถูกบังคับให้มีเบี้ยของประกันชีวิตร่วมด้วย ดังตัวอย่างกราฟเบี้ยเริ่มต้นทำประกันของแต่ละอายุ แต่ละแบบประกันมะเร็งด้านล่างนี้

จากกราฟจะเห็นได้ว่า เบี้ยเริ่มทำประกันตามแต่ละอายุของแบบประกันมะเร็งฝั่งประกันภัยจะน้อยกว่า BLA อุ่นใจโรคร้าย อย่างชัดเจนโดยเฉพาะช่วงอายุ 25-44 ปี (แต่ถ้าอายุ 45 ปีขึ้นไป BLA อุ่นใจโรคร้ายจะตอบโจทย์อย่างมากด้วยเบี้ยที่ใกล้เคียงกัน แต่คุ้มครองได้นานถึงอายุ 90 ปี)
ทั้งนี้หากพิจารณาเปรียบเทียบกับ BLA อุ่นใจโรคร้าย เฉพาะเบี้ยส่วนโรคร้ายของ BLA อุ่นใจโรคร้าย อย่างเดียว (ไม่รวมเบี้ยส่วนประกันชีวิตที่ทำให้เบี้ยเขยิบสูงขึ้นทุกช่วงอายุ) ก็ทำให้เห็นว่า BLA อุ่นใจโรคร้าย เบี้ยไม่ได้สูงกว่าเบี้ยประกันมะเร็งฝั่งประกันภัยมากนัก และยิ่งได้เปรียบมากขึ้นหากพิจารณาว่าเริ่มทำประกันตอนอายุ 45-59 ปี
อย่างไรก็ตามด้วยความคุ้มครองมะเร็งที่กว้างและเบี้ยที่น้อย แอนนี่จึงเริ่มเอนเอียงไปยังประกันมะเร็งฝั่งประกันภัยมากกว่า BLA อุ่นใจโรคร้าย จนกระทั่งได้ทำการพิจารณาถึงเงื่อนไขข้อควรระวังของประกันมะเร็งฝั่งประกันภัยร่วมด้วยอย่างละเอียด และพบความจริงที่ต้องระวังขึ้นมา
โดยการรับทำประกันมะเร็งฝั่งประกันภัยนั้น จะเน้นเรื่องการแถลงตามจริงเป็นสำคัญ โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพ ไม่ขอประวัติการรักษา และถือว่าผู้สมัครทำประกันสุจริตใจอย่างยิ่ง ซึ่งหากการแถลงตามจริงของผู้สมัครเข้าเกณฑ์ที่บริษัทสามารถรับทำประกันได้ ก็พร้อมจะอนุมัติออก กธ. ได้ในทันที แต่ถ้าสุขภาพทั้งของตนเองหรือครอบครัวไม่เข้าเกณฑ์หรือมีความเสี่ยงที่สูงเกินเกณฑ์ก็จะปฏิเสธการรับทำประกันทันที โดยไม่ขอให้ตรวจสุขภาพพิสูจน์ใด ๆ
เพราะด้วยเบี้ยประกันที่น้อยกว่า และการจ่ายค่าคอมมิชชันให้ตัวแทน/นายหน้า ที่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบคงที่เท่ากันทุกปีซึ่งรวมแล้วมักเยอะกว่าฝั่งประกันชีวิตนั้น ทำให้เหมือนฝั่งประกันภัยจะรับความเสี่ยงมากกว่าฝั่งประกันชีวิต
จึงทำให้วิธีที่จะป้องกันไม่ให้บริษัทประกันภัยรับความเสี่ยงมากเกินไป คือ การมีใบคำขอสมัครทำประกันที่จะต้องช่วยคัดกรองอย่างเข้มข้น ด้วยคำถามเกี่ยวกับการเป็นมะเร็งของคนในครอบครัว กับคำถามด้านสุขภาพที่ส่งผลต่อความเสี่ยงเป็นมะเร็งอย่างชัดเจน (กล่าวคือ ถ้าตอบว่าใช่หรือเคย เมื่อใดก็มีโอกาสสูงที่จะถูกปฏิเสธรับทำประกันทันที)
และ อีกข้อหนึ่งที่น่าสนใจและลดความเสี่ยงให้กับฝั่งประกันภัยได้อย่างมาก คือ โดยส่วนใหญ่แล้วบางบริษัทประกันภัยจะมีสิทธิบอกล้างสัญญาได้ตลอดโดยไม่มีระยะเวลาจำกัด โดยเฉพาะหากพบว่าไม่ได้แถลงตามจริงมาตั้งแต่ตอนสมัคร
ดังนั้นตอนทำประกันฝั่งประกันภัยแม้จะดูเหมือนง่ายมาก แต่ตอนเคลมมีโอกาสสูงที่จะถูกหาจุดผิดที่ปกปิดไว้ไม่ได้แถลงอย่างละเอียด เพื่อสามารถบอกล้างสัญญาก่อนที่จะเคลมได้
โดยสัญญาประกันมะเร็งที่บอกล้างสัญญาได้ตลอดเวลานี้ ภายในกรมธรรม์จะมีเฉพาะการชี้แจ้งความสมบูรณ์ของสัญญาและสิทธิการบอกล้างเท่านั้น

ซึ่งแน่นอนว่า ผู้สมัครทำประกันมักไม่ทราบเรื่องนี้ หรือ อาจจำประวัติการรักษาตนเองไม่ได้หรือไม่ทราบว่าแพทย์มีการระบุแบบนี้ลงไปในประวัติด้วย จึงไม่ได้จริงจังในการแถลงสุขภาพมากนัก เพราะคิดว่าคงจะอะลุ่มอลวยกันได้ในตอนเคลม
แต่ในความเป็นจริงแล้วบริษัทประกันจะสามารถจับจุดผิดทุกเม็ดเพื่อที่จะบอกล้างสัญญาได้ตามสิทธิเสมอ ดังนั้นการทำประกันมะเร็งฝั่งประกันภัยจะห้ามปกปิดข้อมูลเป็นอันขาด
ในขณะที่ฝั่งประกันชีวิตอย่าง BLA อุ่นใจโรคร้ายนั้น จะมีเงื่อนไขการไม่โต้แย้งความไม่สมบูรณ์ของสัญญาเข้ามาด้วย จึงทำให้บริษัทจะมีสิทธิบอกล้างสัญญาเพราะไม่ได้แถลงตามจริงในระยะเวลาเพียง 2 ปีแรกหลังทำประกันเท่านั้น ซึ่ง 2 ปีเป็นระยะเวลาที่นานพอที่จะช่วยกรองได้ว่าไม่ได้เป็นมะเร็งจริง ๆ มาก่อนทำประกัน

เมื่อเลย 2 ปีไปแล้ว โรคร้ายแรงและอาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรงที่ปกปิดไม่ได้แถลงตอนสมัครทำประกันอย่างอาการความเสี่ยงต่าง ๆ ที่สามารถพัฒนาเป็นโรคมะเร็งได้ เช่น ติ่งเนื้อ เนื้องอก กระเพาะอักเสบ เป็นต้น
บริษัทจะทำได้เพียงไม่คุ้มครองโรคร้ายแรงที่ได้เป็นมาก่อน หรือ ได้มีอาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรงมาก่อน ที่จะทำประกันรวมถึงในระยะเวลารอคอย 90 วัน เท่านั้น ซึ่งจะสามารถสรุปข้อยกเว้นความคุ้มครองได้ดังต่อไปนี้

ปกติทางฝั่งประกันภัยมักจะสามารถทำประกันมะเร็งออนไลน์ได้เลย แต่ด้วยการมีคำถามที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงในการคัดกรอง จึงจะไม่ได้มีการให้แนบประวัติการรักษาใด ๆ เพิ่มเติมได้
ในขณะที่เพื่อความมั่นใจในเรื่องความคุ้มครองตั้งแต่ตอนสมัครและไม่ต้องกังวลเรื่องสิทธิบอกล้างสัญญา หรืออาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรง ตัวประกัน BLA อุ่นใจโรคร้าย จะสามารถเลือกแนบประวัติการรักษาทั้งหมดหรือผลตรวจสุขภาพล่าสุด เพื่อช่วยในการแถลงได้อีกด้วย (และยังไม่มีให้แถลงการเป็นมะเร็งของคนในครอบครัวเหมือนกับฝั่งประกันภัยอีกด้วย)
ทั้งหมดนี้เองจึงทำให้ BLA อุ่นใจโรคร้าย มีความปลอดภัยในการเคลมได้มากขึ้นพอสมควร เมื่อเทียบกับฝั่งประกันภัยบางบริษัทที่สามารถถูกบอกล้างสัญญาได้ตลอด
อย่างไรก็ตามทั้งฝั่งประกันชีวิตและฝั่งประกันภัย หากพบว่ามีการปลอมแปลงเอกสารโดยจงใจทุจริตเพื่อเคลมประกัน จะสามารถบอกเลิกสัญญาได้ตลอดไม่มีการจำกัดระยะเวลา

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างของฝั่งประกันภัย (ที่แม้จะเป็นประกันมะเร็งเบี้ยคงที่ ที่จ่ายเบี้ยมากตั้งแต่แรกเพื่อเผื่อไว้ช่วยจ่ายในปีหลังด้วย) คือ เงื่อนไขของการต่ออายุหรือการขอปรับเพิ่มเบี้ย
โดยในกรมธรรม์ฝั่งประกันภัยมักจะมีข้อความระบุว่าขอสงวนสิทธิตามดุลยพินิจของบริษัท ซึ่งนั้นจะเป็นการเปิดช่องให้ไม่ต่ออายุ หรือ อาจมีการเพิ่มเบี้ยได้ แม้จะเป็นเบี้ยแบบคงที่ก็ตาม
โดยปัญหานี้มักเกิดกับการเคลมประกันมะเร็งแล้วพบว่า มีการปกปิดอาการผิดปกติบางอย่าง จนทำให้ไม่สามารถเคลมโรคมะเร็งนี้ได้ แต่ก็ยังคงต้องให้ความคุ้มครองมะเร็งชนิดอื่นต่อ ด้วยหากมีเงื่อนไขบอกล้างสัญญาได้เพียง 2 ปี
และมักเกิดกับ ประกันมะเร็งที่เจอจ่ายไม่จบในมะเร็งระยะไม่ลุกลาม หรือ เป็นแบบมีค่ารักษา หรือ แบบมีค่าชดเชยรายวัน คือ เป็นประกันมะเร็งที่หลังจากเจอจ่ายไปแล้วยังมีความคุ้มครองเหลือดูแลต่อไปอยู่
แต่ด้วยการเป็นมะเร็งไปแล้ว มีให้ความคุ้มครองบางส่วนไปแล้ว ย่อมทำให้ความเสี่ยงภัยสูงขึ้นมากกว่าตอนยังไม่เป็นมะเร็งแน่นอน ซึ่งทำให้อาจเสี่ยงต่อการถูกเพิ่มเบี้ย หรือ ไม่ต่ออายุสัญญาได้ ตามตัวอย่างเงื่อนไขการต่ออายุของบริษัทประกันภัย 2 ตัวอย่างด้านล่างนี้


ทั้งนี้ในฝั่งประกันชีวิตอย่าง BLA อุ่นใจโรคร้าย จะไม่มีข้อความขอสงวนสิทธินี้ และจะต่ออายุอัตโนมัติหากชำระเบี้ยไม่เกินระยะเวลาผ่อนผัน 60 วัน เท่านั้น
รวมถึงคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของ BLA อุ่นใจโรคร้าย ที่ฝั่งประกันภัยไม่มี คือ หากผู้ทำประกันเลือกที่จะไม่ต่ออายุสัญญาเอง ผู้ทำประกันจะได้เงินมูลค่าเวนคืนที่สะสมไว้ในสัญญา (ที่สะสมไว้ช่วยจ่ายค่าประกันภัยตอนสูงอายุ) คืนกลับไปด้วย
หรือ หากต้องการเข้าถึงเงินมูลค่าเวนคืนที่สะสมในสัญญาโดยไม่ต้องการยกเลิกการต่ออายุ จะสามารถกู้กรมธรรม์เพื่อนำมูลค่าเวนคืนออกมาใช้ในยามฉุกเฉินได้ ด้วยดอกเบี้ยเพียง 4% ต่อปีเท่านั้น (ฝั่งประกันภัยไม่สามารถทำแบบนี้ได้)
อย่างไรก็ตาม มูลค่าเวนคืนของ BLA อุ่นใจโรคร้าย จะเริ่มลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเลยอายุ 80-82 ปีไปแล้ว จนสุดท้ายจะเหลือเฉพาะทุนประกันชีวิต 50,000 บ. เท่านั้น หากอยู่ครบสัญญาอายุ 90 ปี
จากคุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เอง จึงสามารถสรุปเป็นตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของประกันมะเร็งเบี้ยคงที่ทั้งฝั่งประกันชีวิตและฝั่งประกันภัยได้ดังต่อไปนนี้

และด้วยการที่ BLA อุ่นใจโรคร้าย มีมูลค่าเวนคืนสะสมไว้ในสัญญาด้วยนี่เอง จึงทำให้หากรวมเฉพาะเบี้ยส่วนโรคร้ายแรงของ BLA อุ่นใจโรคร้าย ตั้งแต่เริ่มทำจนถึงอายุ 60 ปี หักด้วยมูลค่าเวนคืนที่จะได้ตอนยกเลิกสัญญาส่วนโรคร้ายแรงนี้
จะทำให้ BLA อุ่นใจโรคร้าย กลายเป็นแบบประกันที่มีเบี้ยส่วนโรคร้ายแรงน้อยกว่าทุกแบบประกันมะเร็งของฝั่งประกันภัยทั้งหมด ดังกราฟต่อไปนี้

จากกราฟจะเห็นว่า ฝั่งประกันภัยที่ไม่ได้แยกเบี้ยระหว่างเพศชายกับเพศหญิงนั้น หากเริ่มทำประกันมะเร็งตั้งแต่อายุ 20 ปี และต่ออายุสัญญาจนถึงอายุ 60 ปี เบี้ยสะสมรวมจะสูงถึง 180,000-280,000 บาท
ในขณะที่ ของ BLA อุ่นใจโรคร้าย เบี้ยส่วนโรคร้ายจริง ๆ (ไม่นับเบี้ยส่วนประกันชีวิต) ที่หักมูลค่าเวนคืนที่ได้ตอนอายุ 60 ปีออกไปแล้ว (สมมติว่ายกเลิกไม่ต่ออายุ) เบี้ยรวมจะอยู่ที่เพียง 70,000-80,000 บาทเท่านั้น
หรือก็คือ ในกรณีที่ไม่ได้เป็นมะเร็ง BLA อุ่นใจโรคร้าย จะมีเบี้ยส่วนโรคร้ายจริงๆ ที่ประหยัดกว่าประกันมะเร็งฝั่งประกันภัยอย่างมากในเกือบทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะหากเริ่มทำ BLA อุ่นใจโรคร้าย ตั้งแต่อายุ 20-30 ปี
จึงทำให้ BLA อุ่นใจโรคร้ายเบี้ยรวมจะยิ่งน้อยลงหากทำตอนอายุน้อย ในขณะที่ฝั่งประกันภัยจะต้องเน้นทำประกันตอนอายุก่อนที่จะปรับเบี้ยขึ้น ซึ่งจะทำให้ได้เบี้ยรวมที่ประหยัดมากกว่า ส่งผลให้ BLA อุ่นใจโรคร้าย เหมาะกับการรีบโอนความเสี่ยงมะเร็งตั้งอายุน้อยมากกว่าของทางฝั่งประกันภัย
ทั้งหมดนี้เอง จึงทำให้ BLA อุ่นใจโรคร้าย กลายเป็นประกันมะเร็งเบี้ยคงที่ที่ตอบโจทย์ ทั้งเรื่อง
- เบี้ยประกันทั้งคงที่ และ มีราคาถูก
- ให้ความคุ้มครองระยะยาวได้ถึงอายุ 90 ปี ด้วยมีการเก็บสะสมเงินมูลค่าเวนคืนไว้ในสัญญา
- เงื่อนไขการเคลมที่ปลอดภัยต่อการถูกบอกล้างสัญญาหากเลย 2 ปีแล้ว
- เงื่อนไขการเคลมที่ปลอดภัยต่อการถูกไม่ต่ออายุสัญญา หากพบว่ามีการปกปิดหลัง 2 ปี
- หากไม่เป็นมะเร็ง แล้วเลือกไม่ต่ออายุหรือยกเลิกสัญญาจะมีเงินมูลค่าเวนคืนให้ จึงทำให้เบี้ยที่จ่ายทิ้งเป็นค่าประกันภัยน้อยลงกว่าฝั่งประกันภัยอย่างมาก โดยเฉพาะหากเริ่มทำประกันตอนอายุยังน้อย
- สามารถกู้เงินมูลค่าเวนคืนมาหมุนเงินยามฉุกเฉินได้ด้วยดอกเบี้ยที่ต่ำ เพียงร้อยละ 4 ต่อปีเท่านั้น
จึงทำให้มูลค่าเวนคืนที่เป็นจุดเด่นของ BLA อุ่นใจโรคร้ายนี้ นอกจากจะช่วยให้ได้ประกันมะเร็งที่คุ้มครองยาวถึงอายุ 90 ปี กับ ได้ค่าประกันภัยที่น้อยที่สุดหากไม่เป็นมะเร็งแล้ว ยังช่วยเรื่องการหมุนเงินในยามฉุกเฉินขาดสภาพคล่องได้อีกด้วย
เพียงแต่ข้อดีเหล่านี้ จะต้องแลกมาด้วยกับการต้องมีสัญญาหลักประกันชีวิตทุน 50,000 บ. แต่ก็ถือเป็นทุนชีวิตขั้นต่ำสุด จึงทำให้เบี้ยสูงขึ้นมาอีกไม่มากจากเบี้ยส่วนของประกันมะเร็ง ซึ่งถ้าหากยกเลิกสัญญาก็จะมีเงินเวนคืนส่วนประกันชีวิตนี้ให้ด้วยเช่นกัน
และจากข้อมูลทั้งหมดนี้เอง จึงทำให้ BLA อุ่นใจโรคร้าย ได้ตอบโจทย์แอนนี่มากที่สุด โดยที่ฝั่งประกันชีวิตเองก็ไม่สามารถหาประกันมะเร็งเบี้ยคงที่ที่เบี้ยน้อยแต่ได้ทุนสูงคุ้มครองยาวถึงอายุ 90 ปีแบบอื่น ๆ ได้อีก เพราะส่วนใหญ่หากคุ้มครองยาวจะไปเน้นกันที่ประกันชีวิตควบโรคร้ายแรงที่เบี้ยสูงมากกว่า
ในขณะที่ ฝั่งประกันภัยแม้เบี้ยจะเหมือนน้อยกว่า แต่เมื่อคำนวณทั้งเรื่องระยะเวลาคุ้มครอง เงื่อนไขสัญญา และ มูลค่าเวนคืนแล้ว ก็ยังมีเพียงแต่ BLA อุ่นใจโรคร้าย ที่สามารถตอบโจทย์แอนนี่ได้มากกว่า
เรียกว่าคำตอบอยู่ตรงหน้ามาตลอด แต่กว่าจะรู้ว่าเป็นคำตอบ ก็ต้องใช้เวลาออกไปหาคำตอบจากที่อื่น ๆ มามากมาย ถึงได้มารู้ภายหลังว่า คำตอบตรงหน้านั้น คือ คำตอบที่ตอบโจทย์ได้มากที่สุด
BLA อุ่นใจโรคร้าย ประกันมะเร็งเบี้ยคงที่ที่ตอบโจทย์
แม้ BLA อุ่นใจโรคร้าย จะเป็นประกันมะเร็งเบี้ยคงที่ที่ตอบโจทย์แอนนี่ โดยเฉพาะในส่วนความคุ้มครองที่ได้ทั้งก่อนและหลังเกษียณ รวมถึงหากไม่เป็นมะเร็งโรคร้ายแรงจะมีมูลค่าเงินเวนคืนที่สูงในระดับหนึ่งให้
แต่แอนนี่ก็ยังขอเน้นย้ำว่าควรทำความเข้าใจถึงความคุ้มครองอย่างละเอียด เงื่อนไขการทำประกัน และการแถลงสุขภาพ ก่อนการตัดสินใจเลือกใช้งาน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

BLA อุ่นใจโรคร้าย
คุ้มครองจนถึงอายุ 90 ปี
(เริ่มคุ้มครองหลังสัญญามีผลบังคับ 90 วัน)
กรณีเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง 11 โรคตามเงื่อนไขสัญญา
กรณีเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง (ยกเว้น มะเร็งระยะ 0 ที่ยังไม่ลุกลามไปเนื้อเยื่อข้างเคียง มะเร็งผิวหนังทั่วไป และ มะเร็งชนิดที่รุนแรงใกล้เคียงกัน)
- รับเงิน 100% ของทุนประกันโรคร้ายแรง หรือ % ที่เหลือหากมีการจ่ายผลประโยชน์ในกรณีมะเร็งระยะ 0 ไม่ลุกลามไปเนื้อเยื่อข้างเคียงแล้ว
- ทั้งนี้หากผู้ทำประกันเสียชีวิต ในระหว่างที่บริษัทพิจารณาการจ่ายเงินผลประโยชน์ที่คุ้มครอง บริษัทจะจ่ายเงินผลประโยชน์ทั้งทุนชีวิต 50,000 บ. และทุนประกันโรคร้ายแรง ให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์หรือทายาทแล้วแต่กรณี
กรณีเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะ 0 (ที่ยังไม่ลุกลามไปเนื้อเยื่อข้างเคียง) รวมถึงมะเร็งชนิดที่รุนแรงใกล้เคียงกันต่อไปนี้
- ระยะที่ 0-1 มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- ระยะที่ 0-2 มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Chronic Lymphocytic Leukemia
- ระยะที่ 0-1 มะเร็งผิวหนัง เฉพาะชนิด Malignant Melanoma
- ระยะที่ 0 ของกลุ่มเนื้องอกรังไข่ชนิด Borderline Tumor
- รับเงิน 20% ของทุนประกันโรคร้ายแรง ต่อมะเร็งที่เจ็บป่วย (แต่ละมะเร็งต้องไม่เกี่ยวข้องกัน) โดยรวมทุกการเคลมต้องไม่เกิน 100% ของทุนประกันโรคร้ายแรง
- *มะเร็งระยะไม่ลุกลามไปเนื้อเยื้อข้างเคียง เป็นระยะมะเร็งที่มักจะยังไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ ออกมา ทำให้ส่วนใหญ่แล้วจะตรวจเจอเฉพาะจากการขอตรวจสุขภาพแบบตรวจคัดกรองมะเร็งเท่านั้น (หลักพันจนถึงหลักหมื่นบาท) โดยหากตรวจเจอเพราะเริ่มมีอาการผิดปกติ มะเร็งมักจะเติบโตเลยระยะนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นการเคลมมะเร็งในระยะนี้จึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ค่อนข้างน้อยมาก
กรณีไม่เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง
กรณีมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา
- รับเงิน 50,000 บาท ในส่วนของทุนสัญญาหลักประกันชีวิต
กรณีมีชีวิตโดยไม่ป่วย และยกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดสัญญา
- รับเงินเท่ากับมูลค่าเวนคืนสูงสุดที่สะสมไว้ในสัญญาทั้งฝั่งประกันชีวิตและประกันโรคร้ายแรง โดยมูลค่าเวนคืนจะเพิ่มขึ้นตามปีกรมธรรม์ เว้นแต่มูลค่าเวนคืนฝั่งโรคร้ายแรง ที่หลังอายุ 80-82 ปี จะทยอยลดลงจนเหลือเฉพาะมูลค่าเวนคืนประกันชีวิตที่ 50,000 บ. ตอนอายุ 90 ปี
กรณีเสียชีวิตก่อนครบกำหนดสัญญา
- รับเงิน 50,000 บาท ในส่วนของทุนสัญญาหลักประกันชีวิต และรับเงินส่วนมูลค่าเวนคืนที่สะสมไว้ในสัญญาโรคร้ายแรง

กลุ่มโรค
โรคร้ายแรง
1. โรคมะเร็งและเนื้องอก
- โรคมะเร็งระยะ 0 ที่ยังไม่ลุกลามไปเนื้อเยื่อข้างเคียง รวมถึงมะเร็งที่รุนแรงใกล้เคียงกัน
- โรคมะเร็งระยะ 1-4 ที่ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียงแล้ว
- เนื้องอกในสมองชนิดที่ไม่ใช่มะเร็ง
2. โรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจ
- การผ่าตัดเส้นเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่รักษาด้วยการสวนหลอดเลือดหัวใจ
- กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด
3. โรคที่เกี่ยวกับเส้นเลือดสมองและระบบประสาท
- โรคระบบประสาท มัลติเพิล สะเคลอโรสิส
- โรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน
- โรคหลอดเลือดสมองโป่งพองที่ต้องรักษาโดยการผ่าตัด
4. โรคที่เกี่ยวกับการติดเชื้ออย่างรุนแรง
- สมองอักเสบจากเชื้อไวรัส
โดยการเคลมประกันโรคร้ายแรงต่าง ๆ นั้น จะจำเป็นต้องพิจารณาถึงคำวินิจฉัยโรคของแพทย์ด้วยว่าโรคร้ายแรงที่เป็นนั้นได้เข้าสู่ระยะโรคในคำนิยามของโรคร้ายแรงที่ประกันโรคร้ายแรงนั้น ๆ คุ้มครองแล้วหรือยัง
แอนนี่แนะนำว่าในการตรวจวินิจฉัยกับแพทย์ การแจ้งแพทย์ว่ามีประกันโรคร้ายแรง และนำกรมธรรม์ทั้งแบบเล่มหรือแบบไฟล์ ให้ทางแพทย์ได้ร่วมพิจารณาคำนิยามด้วย
จะช่วยลดระยะเวลาการที่ต้องเดินทางกลับมาเพื่อขอคำขยายความจากแพทย์เพิ่มเติม เพื่อให้คำวินิจฉัยสามารถสอดคล้องกับคำนิยามของระยะโรคร้ายแรงที่ประกันโรคร้ายแรงคุ้มครองนั้น ๆ ได้

ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดที่ต้องเข้าใจก่อนสมัครทำประกันต่าง ๆ รวมถึง BLA อุ่นใจโรคร้ายแรง เพราะไม่ได้เพียงส่งผลต่อการพิจารณารับทำประกันเท่านั้น แต่จะส่งผลต่อการพิจารณาเคลมประกันโดยตรงร่วมด้วย
BLA อุ่นใจโรคร้ายแรง จะมีคำถามที่ประกอบการสมัครที่ควรต้องแถลงตามจริง เพื่อป้องกันการถูกบอกล้างสัญญาภายใน 2 ปี ดังต่อไปนี้ (จำนวนคำถามจะมีน้อยกว่าการทำประกันชีวิตและการทำประกันชีวิตควบโรคร้ายแรง)
1. ท่านมีประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ หรือกำลังขอเอาประกันภัยดังกล่าวไว้กับบริษัทนี้หรือบริษัทอื่นหรือไม่ *ไม่มีผลต่อการพิจารณาโดยตรง สอบถามเพียงป้องกันการฟอกเงิน
2. ท่านเคยถูกปฏิเสธ เลื่อนการรับประกันภัย เพิ่มอัตราเบี้ยประกันภัย เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสำหรับการขอเอาประกันภัย หรือการขอกลับคืนสู่สถานะเดิม หรือการขอต่ออายุของกรมธรรม์ จากบริษัทนี้หรือบริษัทอื่นหรือไม่ *เพื่อพิจารณาว่าจะต้องขอประวัติการรักษาประกอบการพิจารณาหรือไม่
3. ท่านดื่มหรือเคยดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำหรือไม่ *เพื่อพิจารณาว่าจะต้องขอตรวจสุขภาพหรือไม่ โดยเฉพาะหากมีการดื่มเป็นประจำทุกสัปดาห์ในปริมาณมาก โดยตอบตามที่เคยตอบแพทย์พยาบาลตอนเข้า รพ. หรือตอนตรวจสุขภาพ(ถ้ามี)
4. ท่านสูบหรือเคยสูบบุหรี่ หรือยาสูบชนิดอื่นหรือไม่ *เพื่อพิจารณาว่าจะต้องขอตรวจสุขภาพหรือไม่ โดยเฉพาะหากมีการสูบเป็นประจำและนานหลายปี โดยตอบตามที่เคยตอบแพทย์พยาบาลตอนเข้า รพ. หรือตอนตรวจสุขภาพ(ถ้ามี)
5. สอบถามเกี่ยวน้ำหนักส่วนสูง (ค่าดัชนีมวลกายที่รับทำประกันได้จะอยู่นอกเส้นสีแดง) และสอบถามในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา น้ำหนักตัวของท่านเปลี่ยนแปลงหรือไม่ *เพื่อพิจารณาว่าจะต้องขอตรวจสุขภาพหรือไม่ หากน้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงมากกว่า 5 kg ในรอบ 6 เดือน โดยตอบตามที่เคยมีผลบันทึกของแพทย์พยาบาลตอนเข้า รพ. หรือตอนตรวจสุขภาพ (ถ้ามี)
6. ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ท่านเคยมีประวัติเกี่ยวกับโรคหรืออาการอื่นๆ ต่อไปนี้หรือไม่ (หากเคยมีจะต้องระบุรักษาอะไร ตรวจอะไร เมื่อใด ผลเป็นอย่างไร และสถานพยาบาลที่รักษา เพื่อประกอบการพิจารณาว่าจะต้องขอประวัติการรักษาหรือไม่)
- ได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทั้ง "ผู้ป่วยในและนอก" *โดยเฉพาะที่อาจมีความเสี่ยงสืบเนื่องกลายเป็นโรคร้ายแรงที่ BLA อุ่นใจโรคร้าย คุ้มครอง
- ได้พบแพทย์ และรับคำแนะนําจากแพทย์แผนปัจจุบันหรือแพทย์ทางเลือก เพื่อรับการรักษาใด ๆ *โดยเฉพาะที่อาจมีความเสี่ยงให้สืบเนื่องกลายเป็นโรคร้ายแรงที่ BLA อุ่นใจโรคร้าย คุ้มครอง
- ได้รับการตรวจสุขภาพ หรือ การตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค เช่น ความดันโลหิต การตรวจปัสสาวะ การตรวจเอ็กซเรย์ การตรวจเลือด การตรวจเอ็มอาร์ไอ (MRI) การตรวจอัลตราซาวด์ การตรวจโดยการส่องกล้อง การตรวจเมมโมแกรม การตรวจคลื่น ไฟฟ้าหัวใจ การตรวจชิ้นเนื้อ การตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ การตรวจแบบอื่น ๆ *โดยเฉพาะ อัลตราซาวด์ เมมโมแกรม MRI CT-Scan การส่องกล้อง ที่มีโอกาสพบการอักเสบเรื้อรัง ติ่งเนื้อ เนื้องอก ต่าง ๆ ได้
- ได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีเบื้องต้น เช่น วัดความดัน การตรวจเอ็กซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ" *โดยเฉพาะผลล่าสุดมีบางค่าเกินเกณฑ์อ้างอิง หรือมีการตั้งข้อสังเกตุจากแพทย์ที่อาจมีความเสี่ยงให้สืบเนื่องกลายเป็นโรคร้ายแรงที่ BLA อุ่นใจโรคร้าย คุ้มครอง
- ได้เข้ารับการ "ผ่าตัด" ใด ๆ *โดยเฉพาะได้ผล Lab ต่าง ๆ ที่มีค่าเกินเกณฑ์อ้างอิงมาจากขบวนการผ่าตัด
7. ท่านเคยมี หรือกำลังมีอาการ ดังต่อไปนี้หรือไม่ (หากเคยมีให้ระบุ วันเดือนปีที่เริ่มมีอาการ และอาการในปัจจุบัน) *แถลงเมื่อมีประวัติพบแพทย์ด้วยอาการด้านล่างนี้ หรือแถลงเมื่อคิดว่าต้องไปพบแพทย์เพราะอาการเหล่านี้ภายใน 2 ปีหลังทำประกันอย่างแน่อน *โดยเป็นอาการที่จะถูกเลื่อนการพิจารณาทำประกันได้ หากยังไม่มีผลการวินิจฉัยที่ชัดเจน
- การมองเห็นผิดปกติ
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ร่างกายสูญเสียประสาทรับความรู้สึก
- ปวดศีรษะรุนแรงเรื้อรัง
- ไอเรื้อรัง
- ไอเป็นเลือด
- เหนื่อยง่ายผิดปกติ
- เจ็บหรือแน่นหน้าอก
- ปวดท้องเรื้อรัง
- อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด
- ท้องมาน
- มีเลือดปนในปัสสาวะ
- คลำพบก้อนเนื้อ
- การเคลื่อนไหวของร่างกายผิดปกติ
- ใจสั่น
- ท้องเสียเรื้อรัง
- น้ำหนักลด
- ไข้เรื้อรัง
- โรคผิวหนังเรื้อรัง
- ท้องผูกเรื้อรัง
- การพูดผิดปกติ
- ตัวเหลือง ตาเหลือง
- ภาวะการมีโปรตีนปนในปัสสาวะ
- ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หรือมีน้ำตาลในปัสสาวะ
- ประจำเดือนมามากผิดปกติ
- เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
- พิการทางร่างกาย
การยื่นประวัติและผลการตรวจสุขภาพพร้อมทำประกันนั้น แม้อาจต้องใช้เวลาใน การขอประวัติการรักษา แต่ก็จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะเคลมประกันได้แน่นอน เมื่อฝ่ายพิจารณาได้เห็นประวัติการรักษาที่เกี่ยวข้องกับคำถามสุขภาพข้อ 6 กับข้อ 7 เรียบร้อยแล้ว และพิจารณาอนุมัติรับทำประกัน
อย่างไรก็ตามหากยังไม่สะดวกขอประวัติ และต้องการทำประกันเร็วที่สุด จะต้อง..
- มั่นใจว่าไม่มีประวัติที่เกี่ยวข้องกับคำถามข้อ 7 ทั้งหมด
- มั่นใจว่าในประวัติที่เกี่ยวข้องกับคำถามข้อ 6 ไม่ได้มีอาการผิดปกติหรือความเสี่ยงใด ๆ ที่อาจจะพัฒนาเป็นโรคร้ายแรงได้ เช่น ติ่งเนื้อ, เนื้องอก, ก้อนเนื้อ, ตุ่มเนื้อ, ซีสต์, ไวรัสตับอักเสบบี, ตับแข็ง, ริดสีดวงทวารหนัก, การอักเสบเรื้อรังของ ปากมดลูก ช่องคลอด ปอด ตับ กระเพาะอาหาร ลำไส้ เป็นต้น
- มีสุขภาพที่แข็งแรง ประวัติของผลตรวจสุขภาพค่าต่าง ๆ อยู่ในเกณฑ์อ้างอิงทั้งหมด
- มั่นใจว่ายากที่จะเป็นโรคร้ายแรงในช่วง 2 ปีหลังทำประกัน
จะสามารถไม่ต้องขอประวัติได้ โดยเพียงตอบคำถามสุขภาพแบบไม่มีความเสี่ยงเท่านั้น
หากเกิดการเคลมขึ้นและการสืบประวัติภายใน 2 ปีหลังกรมธรรม์อนุมัติ แล้วพบว่าไม่ได้แถลงตามจริงและสิ่งที่ไม่แถลงเป็นสาระสำคัญต่อการพิจารณารับทำประกัน จะส่งผลให้บริษัทสามารถบอกล้างสัญญาและคืนเบี้ยประกันทั้งหมดได้
แต่หากเกิดการเคลมและการสืบประวัติภายหลังอายุกรมธรรม์มากกว่า 2 ปี แล้วพบว่าไม่ได้แถลงตามจริงและสิ่งที่ไม่แถลงเป็นสาระสำคัญต่อการพิจารณารับทำประกัน รวมถึงเป็นอาการที่สืบเนื่องหรือเกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรงที่จะเคลม จะส่งผลให้บริษัทสามารถยกเว้นความคุ้มครองในโรคร้ายแรงที่จะเคลมได้ แต่ยังคงให้ความคุ้มครองโรคร้ายแรงอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นก่อนทำประกันต่อไปภายหลังจบการสืบประวัติ
เว้นแต่อาการผิดปกติที่สืบเนื่องให้เป็นโรคร้ายแรงที่ไม่ได้แถลงนั้น ภายหลังทำประกันได้รับการตรวจรักษาจนอาการหายเป็นปกติอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป โดยมีประวัติการรักษายืนยัน
- ถ้าต่อมาเกิดเป็นโรคร้ายแรง จะมีโอกาสโต้แย้งได้ว่า ไม่ได้สืบเนื่องจากอาการผิดปกติที่ไม่ได้แถลงนั้น เนื่องจากได้ทำการรักษาหายขาดเรียบร้อยแล้ว
ผลการพิจารณาของ BLA อุ่นใจโรคร้าย นั้น จะไม่มีผลการพิจารณาแบบถูกขอให้เพิ่มเบี้ยรับความเสี่ยงด้วยปัญหาสุขภาพ เนื่องจากเป็นประกันแบบแพ็คเกจสำเร็จรูปที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเบี้ยประกันได้ จึงทำให้จะมีเพียง แจ้งว่าจะไม่คุ้มครองโรคหรืออาการผิดปกติที่มีในประวัติก่อนทำประกันอะไรบ้างเท่านั้น
ทำให้ในกรณีที่ฝ่ายพิจารณาพบว่า มีปัญหาสุขภาพหรืออาการผิดปกติในประวัติที่ไม่สามารถระบุข้อยกเว้นความคุ้มครองแบบเจาะจงอวัยวะหรือโรคได้ เพราะส่งผลต่อสุขภาพในภาพรวม เช่น ความดันสูง เบาหวาน ดัชนีมวลกายเกินเกณฑ์ ค่าไตเสื่อม เป็นต้น
และด้วยที่ไม่สามารถเพิ่มเบี้ยรับความเสี่ยงทั้งหมดขึ้นมาชดเชยเกณฑ์สุขภาพที่ต่ำกว่ามาตรฐานได้ ก็จะส่งผลให้ฝ่ายพิจารณาเหลือเพียงทางเลือกเดียว คือ จำเป็นต้องขอเลื่อนการรับทำประกันออกไปก่อนเท่านั้น
สรุปจุดเด่น BLA อุ่นใจโรคร้าย
จากข้อมูลที่ค่อนข้างเยอะมากทั้งหมดนี่เอง ทำให้ก่อนที่แอนนี่จะตัดสินใจจึงได้ทำการสรุปเปรียบเทียบทั้งหมดทั้งการเปรียบเทียบกับประกันฝั่งบริษัทประกันชีวิต และฝั่งบริษัทประกันภัยดังต่อไปนี้อีกครั้งหนึ่ง

BLA อุ่นใจโรคร้าย "เฉลี่ยความเสี่ยงได้นานกว่า"
- คุ้มครองยาวถึงอายุ 90 ปี ทยอยจ่ายเท่ากันทุกปี ที่เบี้ยคงที่ไม่สูงมาก (เฉลี่ยความเสี่ยงได้นาน)
บริษัทประกันชีวิต "เฉลี่ยความเสี่ยงได้สั้นกว่า"
- เนื่องจากเป็นประกันชีวิตควบโรคร้ายแรง เบี้ยคงที่ค่อนข้างสูง จ่ายเบี้ยสั้น 10-20 ปี (เฉลี่ยความเสี่ยงได้สั้น เสมือนใช้เงินตนเองคุ้มครองตนเอง) คุ้มครองได้นานถึง 99 ปี
BLA อุ่นใจโรคร้าย "เกณฑ์พิจารณาเข้มน้อยกว่า"
- เน้นคุ้มครองที่มะเร็งและโรคร้ายแรงเสี่ยงเป็นสูง 9 โรค การรับทำประกันจึงมีเกณฑ์และจำนวนคำถามด้านสุขภาพที่ลดลงกว่าโรคร้ายแรงจำนวนมาก
บริษัทประกันชีวิต "เกณฑ์พิจารณาเข้มมากกว่า"
- เน้นคุ้มครองทั้งชีวิตและหลายโรคร้ายแรงทั้งเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำจำนวนมาก การรับทำประกันจึงมีเกณฑ์และคำถามด้านสุขภาพที่เข้มงวดสูง ตามความคุ้มครองจำนวนมาก
BLA อุ่นใจโรคร้าย "เบี้ยรวมน้อยกว่าทุนประกันที่ได้ทุกอายุ"
- เบี้ยรวมทุกอายุที่เริ่มทำประกัน 20-75 ปี จะน้อยกว่าทุนประกันที่ได้เสมอ โดยหากทำประกันตั้งแต่อายุยังน้อยมูลค่าเวนคืนก่อนอายุ 80-82 ปี จะสูงสุดถึง 77% ของเบี้ยรวมที่จ่ายไปได้
บริษัทประกันชีวิต "เบี้ยรวมสูงกว่าทุนประกันที่ได้หากทำตอนอายุมาก"
- ควรรีบทำตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะหากทำตอนอายุมากกว่า 40-45 ปี เบี้ยรวมที่จ่ายไปจะมากกว่าทุนประกันที่ได้ ซึ่งมูลค่าเวนคืนสูงสุดจะได้เพียงเท่าทุนประกันเท่านั้น จะไม่ได้เบี้ยที่จ่ายเกินไปคืน
BLA อุ่นใจโรคร้าย "รับความเสี่ยงระยะยาวสูงกว่า ทุนประกันรวมทุกกรมธรรม์ไม่เกิน 3 ล้านบาท"
- เนื่องจาก เบี้ยต่อปีไม่สูง เบี้ยรวมไม่เกินทุนประกัน จึงมีส่วนต่างที่บริษัทต้องรับความเสี่ยงไว้เองจำนวนหลายปี ทำให้ 1 กรมธรรม์ ทำทุนประกันได้เพียง 1 ล้านบาท และรวมทุกกรมธรรม์ไม่เกิน 3 ล้านบาท
บริษัทประกันชีวิต "รับความเสี่ยงระยะสั้นกว่า ทุนประกันรวมมากกว่า 3 ล้านบาทได้"
- เนื่องจาก เบี้ยต่อปีสูง ชำระเบี้ย 20 ปี เบี้ยใกล้เคียงกับทุนประกันหรือเกินกว่าทุนประกัน จึงมีส่วนต่างที่บริษัทต้องรับความเสี่ยงไว้เองไม่นาน ทำให้ 1 กรมธรรม์ ทำทุนประกันได้มากกว่า 10 ล้านบาท

BLA อุ่นใจโรคร้าย "คุ้มครองนาน"
- คุ้มครองถึงอายุ 90 ปี ด้วยเบี้ยคงที่ (สมัครทำประกันผ่านตัวแทน ที่มีช่องทางการสื่อสารและประสานงานกับฝ่ายสินไหมได้โดยตรง)
บริษัทประกันภัย "คุ้มครองก่อนเกษียณ"
- ส่วนใหญ่คุ้มครองได้ถึงอายุ 65 ปี มีบางแบบถึงอายุ 70 ปี (ทำผ่านระบบออนไลน์บริษัท หรือนายหน้า) และ บางแบบได้ถึงตลอดชีพ (แต่ต้องทำผ่านธนาคารเท่านั้น การประสานงานมักต้องทำผ่าน Call Center บริษัทประกัน)
BLA อุ่นใจโรคร้าย "มีเงินเวนคืนหากไม่เป็นมะเร็ง"
- เนื่องจากค่าการตลาดของตัวแทนจะลดลงทุกปี เพื่อเน้นให้กรมธรรม์มีมูลเวนคืนสะสม ไว้คืนหากไม่เป็นมะเร็งและยกเลิกสัญญา
บริษัทประกันภัย "เบี้ยจ่ายทิ้งหากไม่เป็นมะเร็ง"
- เนื่องจากค่าการตลาดของนายหน้าจะคงที่ทุกปี และไม่ได้เก็บเบี้ยเผื่อคุ้มครองนาน จึงไม่มีมูลค่าเวนคืน เพียงแต่หากยกเลิกจะคืนเบี้ยตามจำนวนวันที่ยังไม่คุ้มครองในปีนั้น
BLA อุ่นใจโรคร้าย "เบี้ยรวมน้อยหากไม่เป็นมะเร็ง"
- ด้วยเพราะมีมูลค่าเวนคืน มาหักกับเบี้ยที่จ่ายแล้วได้
บริษัทประกันภัย "เบี้ยรวมสูงหากไม่เป็นมะเร็ง"
- ด้วยเพราะไม่มีมูลค่าเวนคืน และค่าการตลาดของนายหน้าที่คงที่ทุกปี
BLA อุ่นใจโรคร้าย "กู้มูลค่าเวนคืนมาหมุนได้"
- ด้วยเพราะมีมูลค่าเวนคืน สามารถนำออกมาหมุนยามฉุกเฉินได้ ด้วยการกู้กรมธรรม์ด้วยดอกเบี้ยเพียง 4% ต่อปี
บริษัทประกันภัย "เบี้ยที่จ่ายเฉพาะโอนความเสี่ยง"
- ด้วยเพราะไม่มีมูลค่าเวนคืน เบี้ยทั้งหมดจึงใช้เพื่อจ่ายค่าประกันภัยโอนความเสี่ยงโรคมะเร็งเท่านั้น
BLA อุ่นใจโรคร้าย "บอกล้างสัญญา 2 ปีแรก"
- หากพบว่าปกปิดสาระสำคัญ บริษัทสามารถบอกล้างสัญญา เสมือนว่าไม่มีสัญญาเกิดขึ้นมาก่อนภายใน 2 ปี แต่หากเกินว่านี้จะบอกล้างไม่ได้แล้ว
บริษัทประกันภัย "บอกล้างสัญญาได้ตลอด"
- หากพบว่าปกปิดสาระสำคัญ บางบริษัทสามารถบอกล้างสัญญา เสมือนว่าไม่มีสัญญาเกิดขึ้นมาได้ตลอดไป
BLA อุ่นใจโรคร้าย "ต่ออายุอัตโนมัติ"
- เพียงชำระเบี้ยตามกำหนด หรือ ไม่เกิน 60 วันหลังครบกำหนดชำระเบี้ย กรมธรรม์จะต่ออายุอัตโนมัติแบบไม่มีเงื่อนไขใด ๆ
บริษัทประกันภัย "ต่ออายุแบบมีเงื่อนไข"
- แม้ชำระเบี้ยตามกำหนด กรมธรรม์อาจมีเงื่อนไขสงวนการต่ออายุ หรือ เพิ่มเงื่อนไขความคุ้มครอง หรือ เพิ่มเบี้ยประกัน หากพบว่ามีความเสี่ยงสูงขึ้น หรือ พบว่ามีการปกปิดสาระสำคัญ
BLA อุ่นใจโรคร้าย "มีโอกาสได้ตรวจสุขภาพพิสูจน์"
- หากแถลงสุขภาพที่อาจมีความเสี่ยงสูง (ไม่รวมคนในครอบครัว) พร้อมส่งประวัติการรักษา บริษัทสามารถออกค่าตรวจสุขภาพให้ได้ตามรายการตรวจสุขภาพที่บริษัทกำหนด หากจำเป็นต่อการพิจารณา
บริษัทประกันภัย "หากไม่เข้าเกณฑ์ไม่รับทันที"
- หากแถลงสุขภาพมีไม่เข้าเกณฑ์ความเสี่ยงแบบปกติ ส่วนใหญ่บริษัทจะปฏิเสธการรับทำประกันในทันที แม้ว่าจะเป็นสุขภาพหรือประวัติการเป็นมะเร็งของครอบครัวก็ตาม ด้วยเพราะคุ้มครองมะเร็งทุกระยะเท่ากันรวมถึงมะเร็งผิวหนัง
BLA อุ่นใจโรคร้าย "สมัครทำประกันยาก"
- คำถามสุขภาพจะกว้างมากกว่า ต้องทำประกันผ่านตัวแทน และฝ่ายพิจารณามีโอกาสขอข้อมูลเพิ่มได้สูง เพื่อให้มั่นใจตอนเคลมจะไม่มีปัญหา
บริษัทประกันภัย "สมัครทำประกันง่าย"
- คำถามสุขภาพเฉพาะเจาะจงที่มะเร็ง สามารถสมัครทำประกันผ่านระบบออนไลน์ของบริษัทประกันได้ทันที หรือ เพียงติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร
ตารางเบี้ยประกัน BLA อุ่นใจโรคร้าย และการเลือกทุนประกัน
และด้วยข้อสรุปการเปรียบเทียบด้านบน จึงเป็นการย้ำถึงสาเหตุที่สุดท้าย BLA อุ่นใจโรคร้าย จึงกลายเป็นแบบประกันที่แอนนี่เลือก
แต่เพียงการเลือกแบบประกันได้นั้นจะยังไม่จบขบวนการ เพราะยังจำเป็นต้องเลือกแผนความคุ้มครองภายในแบบประกันอีกครั้ง ว่าจะเลือกแผนที่มีทุนความคุ้มครองที่เท่าใดดี ซึ่งต้องพิจารณาจากตารางเบี้ยแผนต่าง ๆ ของ BLA อุ่นใจโรคร้าย ตามอายุที่เริ่มทำประกันด้านล่างนี้ร่วมด้วย

ทั้งนี้ในตารางเบี้ย BLA อุ่นใจโรคร้าย ทุกแผนจะมีการรวมค่าเบี้ยสัญญาหลักประกันชีวิตทุน 50,000 บ. ไว้เรียบร้อย โดยจะสามารถทำ BLA อุ่นใจโรคร้าย ได้มากกว่า 1 กรมธรรม์ เพียงแต่เมื่อรวมทุกกรมธรรม์แล้ว ทุนประกันมะเร็งโรคร้ายจะต้องไม่เกิน 3,000,000 บ.
หากแอนนี่ตัดสินใจเลือกแผนทุนประกัน 1,000,000 บ. ตั้งแต่แรก จะทำให้ได้เบี้ยที่ประหยัดกว่า การเลือกแผน ทุนประกันที่น้อยกว่า 1,000,000 บ. แล้วค่อยทำหลายกรมธรรม์จนได้ทุนรวมกันที่ 1,000,000 บ. (เกิดจากการทำกรมธรรม์ฉบับแรกแรกก่อน จากนั้นปีต่อ ๆ มา ค่อยทยอยทำกรมธรรม์เพิ่ม)
เพราะแบบหลายกรมธรรม์ จะต้องมีประกันชีวิตกรมธรรม์ละ 50,000 บ. เข้ามาด้วย ในขณะที่แผน 1,000,000 บ. จะมีประกันชีวิตที่ทุน 50,000 บ. เท่านั้น รวมถึงหากยิ่งทำตอนอายุมากขึ้นเบี้ยก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย ทั้งเบี้ยส่วนชีวิตและเบี้ยส่วนมะเร็งโรคร้าย
ด้วยเหตุนี้เอง แอนนี่จึงได้เลือกทำที่แผน 1,000,000 บ. ในที่สุด เพราะวางแผนไว้แล้วว่าในส่วนของประกันชีวิตนั้น จะพิจารณาไปที่แบบประกันชีวิตโดยตรง ซึ่งจะทำให้ได้อัตราเบี้ยที่น้อยกว่าและเหมาะสมกับการโอนความเสี่ยงส่วนชีวิตเป็นหลักจริง ๆ (ทุนชีวิต 5,000,000 บ. เพศหญิงเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 1.7 - 2 หมื่นบาทเท่านั้น )
นอกจากนี้ในการพิจารณาว่าควรทำทุนเท่าใดดีนั้น จะสามารถขึ้นอยู่กับว่าต้องการขดเชยรายได้ที่จะขาดหายไประหว่างการรักษาตัวด้วยโรคมะเร็งกี่ปีค่ะ
เช่น เผื่อไว้ว่ารักษา 3 ปี มีรายจ่ายที่จำเป็น 3 แสนบาทต่อปี ก็จะทำให้ทุนประกันโรคมะเร็งจะอยู่ที่ 9 แสนบาท - 1 ล้านบาท หรือ หากเผื่อว่าต้องมีคนในครอบครัว 1 คน ที่ได้หยุดทำงานเพื่อมาดูแลร่วมด้วย ก็อาจเพิ่มเป็น 2 เท่า หรือ 2 ล้านบาทได้ค่ะ
อย่างไรก็ตามนอกจากเบี้ยประกันแล้ว ก็ยังมีในส่วนของมูลค่าเงินเวนคืนหากยกเลิกสัญญาในแต่ละอายุที่ต้องพิจารณาร่วมด้วย ซึ่งจะสามารถเห็นข้อมูลส่วนนี้ได้ง่ายขึ้นมาก โดยใช้เครื่องมือคำนวณด้านล่างนี้
โดยเครื่องมือคำนวณนี้จัดทำขึ้นมาเพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาเลือกแผนทุนประกันของอุ่นโจโรคร้ายได้ง่ายขึ้น เพราะมีทั้งมูลค่าเวนคืนที่เห็นได้ชัดเจนทั้งแบบรวมทั้งกรมธรรม์ หรือ แบบแยกส่วนระหว่างชีวิตกับมะเร็งโรคร้ายแรง และยังมี % สัดส่วนเทียบให้ได้เห็นชัดเจนว่ามูลค่าเวนคืนเพิ่มขึ้นมาเท่าใดเมื่อเทียบกับเบี้ยสะสมที่จ่ายไป รวมถึงมีการสรุปค่าประกันจริง ๆ ภายหลังหักมูลค่าเวนคืนแล้วว่าเป็นเท่าไร
ซึ่งตอนสมัยแอนนี่เลือกแผนของ BLA อุ่นใจโรคร้าย การเปรียบเทียบลักษณะนี้จะค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลามาก จึงได้พัฒนาเครื่องมือนี้ขึ้นมา โดยเพียงกรอก อายุ เพศ ทุนประกัน และงวดการชำระที่ต้องการ เท่านั้น ตัวเครื่องมือก็จะพล็อตกราฟให้เห็นภาพตามได้ง่าย โดยเฉพาะเบี้ยสะสมที่ต่างกันพอสมควรระหว่างการเลือกชำระเบี้ย แบบรายปี กับ แบบราย 6 เดือน ราย 3 เดือน และ ราย 1 เดือน

โดยเครื่องมือคำนวณนี้จะพัฒนาบน Google Sheet จึงสามารถเข้าใช้งานได้ไม่ยากนัก ขอเพียงมี Gmail และกรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้ ตัวระบบจะทำการส่งลิงก์ของเครื่องมือคำนวณ ให้สามารถนำไปคำนวณเบี้ยของแบบประกัน BLA อุ่นใจโรคร้าย ในแผนต่าง ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ในทันที
ซึ่งจะทำให้ได้พบกับความจริงที่ว่า ในช่วงอายุใดบ้างที่มูลค่าเวนคืนจะได้สูงสุดเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันทั้งหมดที่จ่ายไป ทำให้สามารถวางแผนในการยกเลิกกรมธรรม์ได้ง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะตอนช่วงสูงอายุที่ผ่านการตรวจคัดกรองมะเร็งมาอย่างดีแล้ว
โบนัสพิเศษจาก
Release your Risk
เนื่องจากทาง Release your Risk จะเน้นการบริการไปที่การวางแผนเกษียณผ่านการบูรณาการเครื่องมือการเงินต่าง ๆ ทั้ง ประกันชีวิต ประกันโรคร้ายแรง ประกันสุขภาพ ประกันบำนาญ กองทุนรวม โดยให้ข้อมูลที่ครบถ้วนมากที่สุดในทุกขั้นตอน เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือนั้น ๆ โดยไม่มีปัญหาเกิดขี้นตามมาภายหลัง
ซึ่งแน่นอนว่าจะรวมไปถึงการวางแผนให้เครื่องมือที่จำเป็นอย่างเช่น ประกันโรคร้ายแรง ประกันสุขภาพ สามารถอยู่ดูแลได้ตลอดช่วงเกษียณ (ที่รายได้ลดลงแต่ราคาเครื่องมือสูงขึ้นมากตามอายุ) โดยการให้เฉพาะข้อมูลเครื่องมืออย่างเดียวจะไม่เพียงพออีกต่อไป แต่จำเป็นต้องมีการคำนวณสำหรับตอนเกษียณมาร่วมด้วย
ดังนั้นทาง Release your Risk จึงได้พัฒนาเครื่องมือคำนวณขึ้นมา เพื่อให้ท่านที่มีเครื่องมือการเงินเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้วางแผนไปถึงตอนเกษียณ ได้สามารถใช้บริการเครื่องมือคำนวณนี้เพื่อเตรียมการได้ทันกาล และใช้เงินน้อยลงจากเดิมอย่างมาก
**อย่างไรก็ตามหากท่านเลือกสมัครใช้เครื่องมือการเงินต่าง ๆ กับทาง Release your Risk ท่านจะได้โบนัสพิเศษเป็นสิทธิการเข้าใช้เครื่องมือคำนวณต่อไปนี้ ได้โดยไม่ต้องเสียค่าบริการใด ๆ เพิ่มเติม
โบนัสพิเศษ Level -1-
Release Your Risk
สิทธิเข้าใช้เครื่องมือคำนวณวางแผนประกันบำนาญมูลค่า 5,000 บ.

BONUS Level : 1.1
แบบประกัน
เบี้ยไม่น้อยกว่า
ชีวิต/โรคร้ายแรง/สุขภาพ
7,000 - 14,999 บาท (ต่อปีต่อคน)
เครื่องมือคำนวณหาแบบประกันบำนาญผลตอบสูงสำหรับไว้ชำระเบี้ยประกันแบบคงที่ หรือ เป็นเงินบำนาญ ตอนเกษียณ
ช่วยในการคำนวณหาแบบประกันบำนาญของแต่ละบริษัทที่จะใช้เงินน้อยที่สุด
- เพื่อใช้ชำระเบี้ยประกันแบบคงที่ตอนเกษียณได้ (เหมาะอย่างยิ่งกับ BLA อุ่นใจโรคร้าย) โดยประหยัดเงินมากกว่า 50% ขึ้นไป และไม่ต้องกังวลการหาเงินสำหรับชำระเบี้ยตอนเกษียณ
- เพื่อใช้เป็นเงินบำนาญส่วน NEEDs แบบคงที่ต่อเดือนหรือต่อปีในตอนเกษียณได้ โดยเตรียมเงินน้อยลงกว่า 50% ขึ้นไป โดยเป็นเงินที่ไม่ต้องเสียภาษี ไม่ต้องดูแลบริหาร หรือมีความเสี่ยงด้านการลงทุนใด ๆ
BONUS Level : 1.2
แบบประกัน
เบี้ยไม่น้อยกว่า
ชีวิต/โรคร้ายแรง/สุขภาพ
15,000 - 24,999 บาท (ต่อปีต่อคน)
เครื่องมือคำนวณหาประกันบำนาญผลตอบแทนสูงสำหรับไว้ชำระเบี้ยประกันสุขภาพที่เบี้ยเพิ่มตามอายุ ตอนเกษียณ
ช่วยในการคำนวณหาแบบประกันบำนาญของแต่ละบริษัทที่จะใช้เงินน้อยที่สุด
- เพื่อใช้ชำระเบี้ยประกันสุขภาพที่เพิ่มตามอายุตอนเกษียณได้ (เหมาะอย่างยิ่งกับประกันสุขภาพเหมาจ่าย) โดยประหยัดเงินมากกว่า 50% ขึ้นไป และไม่ต้องกังวลการหาเงินสำหรับชำระเบี้ยตอนเกษียณ
โบนัสพิเศษ Level -2-
Release Your Risk
สิทธิเข้าใช้เครื่องมือคำนวณวางแผนเกษียณมูลค่า 20,000 บ.

ช่วยในการคำนวณวางแผนเกษียณ ผ่านการลงทุนในกองทุนรวมลดหย่อนภาษีเป็นอันดับแรก โดยใช้กลยุทธ กองทุน Target Date + กองทุน Global Asset Allocation + Time Segmentation + ประกันบำนาญ + Monte Carlo Simulations + การคำนวณติดตามผล
- สำหรับคำนวณวางแผนเกษียณทั้งส่วนเบี้ยประกันสุขภาพและบำนาญ เพื่อมีโอกาสประหยัดเงินได้มากกว่า 60%-80% ขึ้นไป
- สามารถคำนวณอัตราความอยู่รอดของกองทุนเกษียณที่ต้องการในแต่ละอายุได้ ผ่านการทำ Monte Carlo Simulation
- สามารถคำนวณอัตราความอยู่รอดของกองทุนเกษียณที่เพิ่มขึ้น หากนำบำนาญจากประกันบำนาญมาคำนวณร่วมด้วยในสัดส่วนที่ต้องการได้
- สามารถนำผลการลงทุนจริงที่ได้ในแต่ละปี มาคำนวณติดตามผลคาดการณ์ปรับแผนการลงทุนได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเปลี่ยนแผนการลงทุน เช่น ไม่ได้ลงทุนเท่ากันทุกปีตามแผนที่วางไว้ตอนแรก
BONUS Level : 2.1
แบบประกัน
เบี้ยไม่น้อยกว่า
ชีวิต/โรคร้ายแรง/สุขภาพ
25,000 - 49,999 บาท (ต่อปีต่อคน)
เครื่องมือคำนวณ "กองทุนสุขภาพ" สำหรับเบี้ยประกันสุขภาพและค่ารับผิดส่วนแรก ตอนเกษียณ
- สำหรับใช้ชำระเบี้ยประกันสุขภาพเหมาจ่าย และ สำหรับเผื่อค่ารับผิดส่วนแรกในตอนเกษียณ เพื่อมีโอกาสประหยัดเงินได้มากกว่า 60%-80% ขึ้นไป พร้อมการคำนวณร่วมกับบำนาญที่ได้จากประกันบำนาญ หรือจากประกันสังคม
BONUS Level : 2.2
แบบประกัน
เบี้ยไม่น้อยกว่า
ชีวิต/โรคร้ายแรง/สุขภาพ/บำนาญ
50,000 บาท (ต่อปีต่อคน)
ฺเครื่องมือคำนวณ "กองทุนเกษียณ" สำหรับเป็นเงินบำนาญเสริมประกันบำนาญตอนเกษียณ
- สำหรับใช้เป็นบำนาญส่วน WANTs หรือ ส่วนเงินเฟ้อของ NEEDs ตอนเกษียณ เพื่อมีโอกาสประหยัดเงินได้มากกว่า 60%-80% ขึ้นไป พร้อมการคำนวณร่วมกับบำนาญที่ได้จากประกันบำนาญ หรือจากประกันสังคม
สิทธิพิเศษจาก
BLA กรุงเทพประกันชีวิต
กรุงเทพประกันชีวิต หรือ BLA เอง มีสิทธิพิเศษต่าง ๆ มอบให้กับท่านที่ตัดสินใจเข้าร่วมโอนและเฉลี่ยความเสี่ยงภัยกับทาง BLA ดังต่อไปนี้
PROMOTION เบี้ยปีแรก 0% 4 เดือน
เพื่อให้ท่านสามารถทำการโอนและเฉลี่ยความเสี่ยงได้ง่ายมากขึ้น ทาง BLA จึงมีโปร 0% 4 เดือน ของบัตรและแบบประกันที่เข้าร่วมรายการดังนี้

*ยกเว้นประกันชีวิตควบการลงทุน และ ประกันชีวิตแบบชำระเบี้ยครั้งเดียว และ บัตรเครดิตต้องเคยใช้ซื้อของออนไลน์มาก่อน
สมาชิก BLA HAPPY LIFE CLUB
และเมื่อท่านได้เข้าร่วมโอนและเฉลี่ยความเสี่ยงกับทาง BLA เรียบร้อย ท่านจะได้สิทธิพิเศษการใช้บริการฟรี หรือได้รับสินค้าฟรี รวมถึงส่วนลดพิเศษ จากทางบริษัท Partner ของทาง BLA มากมาย ที่ครอบคลุมทั้งสินค้าและบริการในทุกด้านดังต่อไปนี้



เข้าถึง BLA HEALTH SERVICES
นอกจากสิทธิพิเศษของบริษัท Partner ต่าง ๆ แล้ว ทางด้านที่เกี่ยวข้องกับการตรวจวินิจฉัยและการรักษา ทาง BLA จะมีบริการที่ดูแลและครอบคลุมเพิ่มเติมจากความคุ้มครองในกรมธรรม์ของท่าน ทั้งก่อนเข้ารับการรักษา ระหว่างการรักษา และ หลังเข้ารับการรักษา ดังต่อไปนี้ (*สิทธิพิเศษจะแตกต่างกันไปตามแบบประกันที่ท่านถืออยู่)

เงื่อนไขที่ต้องทำความเข้าใจก่อนทำประกัน
เขตพื้นที่สีแดง (Red Zone)
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ
ภาคเหนือ
▸ ผู้ขอทำประกันมีโอกาสสูงที่จะถูกขอให้ตรวจสุขภาพ
▸ ขอให้แสดงแหล่งที่มาของรายได้ และสินทรัพย์ที่มี (มีที่มาที่ไปว่าทำไมต้องทำประกัน)
เขตจังหวัดสีแดง (Red Province)
อุดรธานี
อุบลราชธานี
ขอนแก่น
หนองบัวลำภู
มหาสารคาม
นครราชสีมา
▸ ผู้ขอทำประกันมีโอกาสสูงที่จะถูกขอให้ตรวจสุขภาพ
▸ ขอให้แสดงแหล่งที่มาของรายได้ และสินทรัพย์ที่มี (มีที่มาที่ไปว่าทำไมต้องทำประกัน)
เงื่อนไขที่สำคัญ
1. ระยะเวลาผ่อนผันชำระเบี้ยประกันภัย 60 วัน
2. กรณีผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ผู้รับประโยชน์จะต้องรีบแจ้งให้บริษัททราบภายใน 14 วัน นับแต่วันที่เสียชีวิต
3. กรณีที่บริษัทจะไม่คุ้มครอง
(3.1) กรณีไม่เปิดเผยข้อความจริง หรือแถลงข้อความเท็จ บริษัทจะบอกล้างสัญญาภายใน 2 ปี นับแต่ วันเริ่มมีผลคุ้มครองตามกรมธรรม์ หรือตามการต่ออายุ หรือวันที่บริษัทอนุมัติให้เพิ่มจำนวนเงินเอา ประกันภัยในเฉพาะส่วนที่เพิ่ม
(3.2) ฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี นับแต่วันเริ่มมีผลคุ้มครองตามกรมธรรม์ หรือตามการต่ออายุ ตามกรมธรรม หรือตามการต่ออายุ หรือวันที่บริษัทอนุมัติให้เพิ่มจำนวนเงินเอาประกันภัยในเฉพาะส่วนที่เพิ่ม หรือถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตาย
เอกสารที่ใช้ประกอบการเรียกรองเงินตามกรมธรรมประกันภัย กรณีการเสียชีวิตจากโรค
(ก) กรมธรรม์ประกันภัยของผู้เอาประกันภัย และใบเรียกร้องสิทธิของผู้รับประโยชน์ทุกคน ตามแบบที่บริษัทกำหนด
(ข) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับประโยชน์ โดยต้องนำต้นฉบับมาแสดงด้วย
(ค) สำเนาใบมรณบัตร โดยต้องนำต้นฉบับมาแสดงด้วย
(ง) สำเนาทะเบียนบ้าน ที่มีการจำหน่ายการตายของผู้เอาประกันภัย โดยต้องนำต้นฉบับมาแสดงด้วย
(จ) ใบยินยอมของผู้รับประโยชน์ หรือ ทายาทในการเปิดเผยประวัติ
(ฉ) ใบรายงานแพทย์ กรณีเสียชีวิตที่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล
ถ้าเป็นการเรียกร้องเงินตามกรมธรรม์ประกันภัยกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ หรือเหตุอื่น ต้องมีเอกสารเพิ่ม เติม ดังต่อไปนี้
(ช) สำเนาบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีที่ได้รับรองสำเนาถูกต้องจากพนักงานสอบสวน
(ซ) สำเนารายงานการชันสูตรพลิกศพ
รับไฟล์คำนวณ "เบี้ย" และ "มูลค่าเวนคืน" BLA อุ่นใจโรคร้าย
เนื้อหาและข้อมูลทั้งหมดด้านบนที่ผ่านมา ได้เป็นการตอกย้ำว่า ทำไม BLA อุ่นใจโรคร้าย จึงเป็นประกันมะเร็งเบี้ยคงที่แบบชำระเบี้ยทุกปี ที่มีค่าประกันภัยประหยัดที่สุด และคุ้มครองได้นานที่สุดในตลาดปัจจุบัน
และเพื่อเป็นการให้ท่านได้เปรียบเทียบค่าประกันภัย (เบี้ย - มูลค่าเวนคืน) ของ BLA อุ่นใจโรคร้าย ที่ประหยัดกว่าเบี้ยประกันมะเร็งในตลาด ทางเราจึงจัดทำไฟล์คำนวณ Google Sheet ขึ้นมา
ซึ่งทำให้ท่านสามารถคำนวนและเห็นผลลัพธ์ตามจริง รวมถึงสามารถวางแผนได้ว่าหลังอายุ 65 ปีไปแล้ว จะเปลี่ยน BLA อุ่นใจโรคร้าย ด้วยการเวนคืนให้กลายมาเป็นเงินบำเหน็จไว้ใช้ยามเกษียณตอนไหนดี (ซึ่งไม่มีแบบประกันมะเร็งโดยตรงในตลาดที่สามารถทำแบบนี้ได้)
*ภายหลังการกรอกแบบฟอร์ม ระบบจะทำการส่งลิงก์ Google Sheet เข้า Gmail ของท่านโดยอัตโนมัติ ภายใน 1-3 นาที หากท่านยังไม่ได้รับสามารถติดต่อแจ้งแอนนี่ผ่านทางลิงก์ Line Official ด้านล่างของเว็บได้ค่ะ
**ยิ่งอายุทำประกันเพิ่มมากขึ้น เบี้ยและค่าประกันภัยจะยิ่งสูงมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นหากท่านตระหนักถึงความน่ากลัวของมะเร็งทั้งจากคนรอบตัว (โดยเฉพาะคนในครอบครัว) สภาพแวดล้อม และความเสี่ยงของวัคซีนโควิด การรีบตัดสินใจโอนความเสี่ยงโดยเร็วย่อมทำให้ท่านประหยัดได้มากกว่าแน่นอนค่ะ
***ดังนั้นก่อนที่มะเร็งจะสุ่มเลือกใครคนใดคนหนึ่งขึ้นมา อย่างน้อยตอนนี้ ท่านยังเลือกได้ว่าจะเตรียมการป้องกันรองรับไว้ก่อน ในขณะที่ผู้ที่ถูกมะเร็งเลือก ไม่มีโอกาสจะสามารถเลือกการป้องกันใด ๆ ได้อีกแล้วค่ะ (ที่สำคัญการป้องกันด้วย BLA อุ่นใจโรคร้ายนี้ หากไม่เป็นมะเร็ง ยังมีเงินคืนกลับมาได้ ไม่เป็นค่าประกันภัยไม่เสียหมด)