
ความสำคัญของประวัติการรักษา
ประกันสุขภาพกับโรคร้ายแรง เป็นเครื่องมือการเงินที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามประกันสุขภาพกับโรคร้ายแรงจะไม่ได้ให้ความคุ้มครองในโรคหรืออาการที่เป็นมาก่อนทำประกัน หรือเคยเป็นแต่ยังไม่หายขาดได้นานพอ
โดยการพิจารณาเพื่อรับคนเข้าทำประกันนั้น บริษัทประกันจะเน้น "คัดผู้ที่มีผลตรวจสุขภาพ/ประวัติการรักษาทั้งผู้ป่วยในและนอก ที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เกินเกณฑ์ออก โดยเฉพาะผู้ที่บริษัทพบว่ามีความเสี่ยงแต่ปกปิดประวัติการรักษา" ด้วยเพราะค่ารักษาที่พุ่งสูงขึ้นในทุก ๆ ปี เมื่อเทียบกับเบี้ยประกันต่อบุคคลที่น้อยกว่ามาก
ทำให้การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนยื่นสมัครทำประกันด้วย "การขอประวัติรักษาทั้งหมดในรูปแบบไฟล์ pdf โดยเฉพาะประวัติการรักษาที่เกี่ยวข้องกับสาระสำคัญในการแถลงสุขภาพ" เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก (ไม่ว่าประวัติที่มีจะเป็นเพียงผู้ป่วยนอกก็ตาม)
หมายเหตุ : บางแบบประกันสุขภาพเหมาจ่ายอย่าง Prestige Health ปลดล็อค จะมีเงื่อนไขปลีกย่อยด้านสุขภาพบางอย่างที่เป็นสาระสำคัญอย่างคาดไม่ถึง เช่น หากมีการรักษาเกี่ยวกับ ออฟฟิศซินโดรม หรือ อาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืดเรื้อรัง จะไม่สามารถทำประกัน Prestige Health ปลดล็อค ได้อีกแล้ว
(ซึ่งหากไม่ได้ส่งประวัติการรักษาเข้าไปก่อน เพราะมองว่าเป็นเพียงการรักษาแบบ OPD ผู้ป่วยนอก ก็จะส่งผลให้มีเจตนาปกปิดสาระสำคัญในทันที และกลายเป็นระเบิดเวลาที่รอส่งผลให้ถูกบอกล้างสัญญา/ไม่ต่ออายุสัญญา เมื่อถูกสืบประวัติภายหลังมีการเคลมประกันได้)
ดังนั้นการขอประวัติมาให้เรียบร้อย จะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดระเบิดเวลา จากการปกปิดประวัติการรักษาขึ้นในตอนเคลมประกันสุขภาพ/โรคร้ายแรง ที่ระเบิดแล้วจะทำให้ไม่สามารถเคลมประกันได้ และยังต้องถูกคัดออกด้วยการบอกล้างสัญญา หรือ ไม่ให้ต่ออายุสัญญา นี้ได้
ซึ่งการเตรียมตัวขอประวัติการรักษาแบบไฟล์ pdf มาครบเรียบร้อยนั้น ยังทำให้สามารถยื่นประวัติการรักษาพร้อมสมัครทำประกันได้หลายบริษัทประกัน และสามารถเลือกบริษัทประกันที่มีข้อเสนอความคุ้มครองที่ดีที่สุดได้อีกด้วย
โดยนอกจากระเบิดเวลาจากการปกปิดประวัติการรักษาแล้ว ยังมีระเบิดเวลาที่เกี่ยวข้องกับประกันสุขภาพอีกหลายอย่างดังต่อไปนี้
ทำไมทำประกันสุขภาพกับทางเรา จึงต้องขอประวัติการรักษาให้เรียบร้อย ก่อนยื่นสมัครทำประกันสุขภาพ/โรคร้ายแรง
- ถ้าได้มีการตรวจสุขภาพเป็นประจำ ใช้บริการผู้ป่วยนอกบ่อยครั้ง หรือตรวจคัดกรองต่าง ๆ โอกาสได้รับข้อเสนอยกเว้นความคุ้มครอง หรือเพิ่มเบี้ยประกันในการรับทำประกันจะค่อนข้างสูง การยื่นหลายบริษัทจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อไม่ให้เหมือนโดนมัดมือชกให้เลือกได้เพียงข้อเสนอจากบริษัทเดียว
- การขอประวัติการรักษาในปัจจุบันไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน และอาจไม่ต้องเดินทางโดยสามารถให้จัดส่งมาที่บ้านได้ หรือ จัดส่งเป็นไฟล์ pdf เข้าอีเมลได้ (ยกเว้นบาง รพ. โดยเฉพาะ รพ.รัฐ อาจยังต้องมีการเดินทางไปขอประวัติที่เวชระเบียนของ รพ. โดยตรง)
- การมีสำเนาประวัติการรักษาอยู่กับตัว จะช่วยให้สามารถทำการตรวจสอบข้อมูลว่าเป็นตามจริงอย่างที่ฝ่ายพิจารณาแจ้งข้อเสนอยกเว้นความคุ้มครองมาหรือไม่ เพราะหลายครั้งหลังที่ผู้สมัครทำประกันได้รับข้อเสนอในการรับประกันมา จะรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม และมักต้องการตรวจสอบประวัติการรักษาตนเองอีกครั้ง
- เมื่อได้รับข้อเสนอยกเว้นความคุ้มครองหรือเพิ่มเบี้ย จะมีเวลา 15 วันในการตอบรับ หรือ ตอบปฏิเสธ ซึ่งเวลาเพียงพอที่จะลองยื่นประวัติที่มีอยู่กับตัวไปยังบริษัทประกันอื่น ๆ เพื่อสามารถเปรียบเทียบข้อเสนอได้ทันใน 15 วันนี้
- ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับตัวแทนหากสุดท้ายต้องปฏิเสธข้อเสนอ เพราะได้ทำการจัดเตรียมเอกสารและประวัติการรักษามาเรียบร้อยตั้งแต่แรกแล้ว โดยไม่ต้องรอให้บริษัทประกันร้องขอแล้วมอบหมายให้ตัวแทนดำเนินการให้
- หากมีประวัติการรักษาอยู่กับหลาย ๆ รพ. จำนวน 5-7 รพ. ขึ้นไป แล้วไม่ได้เตรียมประวัติการรักษามาทั้งหมดก่อนยื่นสมัครทำประกัน มีโอกาสที่จะถูกขอให้เลื่อนการรับประกันออกไปก่อนได้ ด้วยเพราะมีประวัติการรักษาอยู่ในหลาย รพ. มากเกินกว่าปกติ และเกินงบค่าประวัติการรักษาต่อ 1 ผู้สมัครได้
- ด้วยประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านี้ รวมถึงป้องกันความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการพิจารณา ทางเราจึงจำเป็นต้องขอรบกวนให้ผู้ที่จะสมัครทำประกันสุขภาพกับทางเรา จะต้องมีประวัติการรักษาที่ครบถ้วนก่อนจะยื่นสมัครทำประกันเท่านั้น
ขอประวัติการรักษาด้วยตนเอง VS.
มอบอำนาจให้ตัวแทนประกันดำเนินการแทน
การขอประวัติด้วยตนเอง
ข้อดี
- มีโอกาสได้รับประวัติการรักษาในรูปแบบไฟล์ pdf ได้ง่าย รวมถึงหากแจ้งทาง รพ. ว่า เพื่อนำไปใช้รักษาต่อใน รพ. อื่นๆ จะมีโอกาสได้รับประวัติโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมการขอประวัติได้
- ในกรณีที่ประวัติอยู่ในรูปแบบเอกสาร จะสามารถนำมาจ้างทำสแกนสี หรือสแกนสีเอง ให้ออกมาเป็นไฟล์ PDF เพื่อใช้ส่งหลายยริษัทประกันได้ง่าย
ข้อจำกัด
- การขอประวัติจะมีค่าธรรมเนียม 300 บ. ต่อชุดประวัติ โดยการขอประวัติก่อนที่บริษัทจะร้องขอ จะไม่สามารถเบิกค่าขอประวัตินี้กับทางบริษัทได้
- เว้นแต่หากตัดสินทำประกันกับทางเราโดยยอมรับในข้อเสนอที่ฝ่ายพิจารณายื่นมาจนกรมธรรม์อนุมัติเรียบร้อย ทางเราจะเบิกค่าขอประวัตินี้กับทางหน่วยต้นสังกัดให้ได้ โดยไม่เกิน 3 รพ. และ ไม่เกิน 5% ของเบี้ยประกัน
การมอบอำนาจให้ตัวแทนดำเนินการแทน
ข้อดี
- ลดระยะเวลาที่ต้องดำเนินการเอง
- ไม่ต้องสำรองค่าขอประวัติไปก่อน
ข้อจำกัด
- ต้องยื่นสมัครทำประกันพร้อมแถลงสุขภาพให้เรียบร้อยก่อน เพื่อรอให้ทางฝ่ายพิจารณาร้องขอประวัติการรักษามา ตัวแทนจึงจะสามารถดำเนินการขอประวัติแทนให้ได้
- วิธีนี้จะต้องรับในรูปแบบเอกสารเท่านั้น และ จะไม่สามารถทำสำเนาได้ โดยตัวแทนต้องส่งตรงเข้าบริษัทแบบปิดผนึก ด้วยเพราะ พรบ.ข้อมูลส่วนบุคคล
- ทำให้ผู้สมัครทำประกันไม่มีสำเนาประวัติในการยืนยันข้อเสนอยกเว้นความคุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนทำประกันที่ได้รับ
- เวลาคุยกับแพทย์เพื่อจะขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทบทวนผลการพิจารณาจะค่อนข้างยุ่งยากเพราะไม่มีประวัติส่วนที่เป็นปัญหาอยู่มือ และสุดท้ายอาจต้องขอประวัติการรักษาด้วยตนเองใหม่อยู่ดี
วิธีการขอประวัติการรักษาด้วยตนเอง
ท่านสามารถดำเนินการขอประวัติรักษาด้วยตนเองได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ท่านอยู่ต่างจังหวัด หรือ ท่านต้องการประวัติการรักษาในรูปแบบไฟล์ pdf หรือ ท่านต้องการทำสำเนาประวัติการรักษา เพื่อใช้ในการตรวจสอบข้อเสนอยกเว้นความคุ้มครองในอาการหรือโรคหรือความเสี่ยงที่เป็นมาก่อนทำประกันที่ถูกระบุไว้ในประวัตการรักษา ตามที่ทางฝ่ายพิจารณาได้แจ้งมาได้
โดยขั้นตอนการขอประวัตินั้นไม่ยุ่งยาก โดยสามารถเลือกปฏิบัติได้ 3 วิธี คือ การติดต่อขอประวัติที่โรงพยาบาลโดยตรง การขอประวัติทางไปรษณีย์ (เฉพาะบาง รพ.) และ การขอประวัติทางอีเมล (เฉพาะบาง รพ.)
ซึ่งก่อนจะเลือกดำเนินการใน 3 วิธีนี้ ท่านจะสามารถโทรสอบถามกับทาง รพ. ก่อนได้ว่า รพ. จะสามารถให้ทำวิธีใดได้บ้าง และสามารถเลือกวิธีที่สะดวกกับท่านมากที่สุดได้ต่อไป
รูปแบบช่องทางการขอประวัติการรักษา
1. การติดต่อขอประวัติทาง E-mail (ส่วนใหญ่จะเป็น รพ.เอกชน)
โทรติดต่อโรงพยาบาลที่มีประวัติก่อนว่า สามารถขอประวัติทาง E-mail ได้หรือไม่? พร้อมกับสอบถาม E-mail address และ ขั้นตอนดำเนินการอีกครั้ง ทั้งนี้การขอประวัติทาง E-mail ปกติ มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- แจ้งความประสงค์เรื่องการขอประวัติทาง E-mail ตามที่เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลวิธีการขอประวัติ ซึ่งอาจมีแบบฟอร์มให้ระบุ ชื่อ-นามสกุล ของเจ้าของประวัติ และสิ่งที่ต้องการร้องขอ หรือ ประวัติการรักษาทั้งหมด
- แนบไฟล์สำเนาบัตรประชาชนของผู้ขอ พร้อมลายเซ็นรับรองเพื่อขอประวัติ จากนั้นส่ง E-Mail เอกสารทั้งหมดให้ทาง รพ.
- รอทางโรงพยาบาลตรวจสอบความถูกต้องหลังจากได้รับ E-mail (บาง รพ. จะตรวจอีเมลเฉพาะวันและเวลาทำการเท่านั้น)
- จากนั้นทาง รพ. จะแจ้งวิธีการชำระค่าธรรมเนียมการขอประวัติ (บาง รพ. หากขอประวัติ จะไม่มีค่าธรรมการขอ)
- เมื่อชำระค่าธรรมเนียมขอประวัติเรียบร้อย ทาง รพ. จะส่งประวัติตามช่องทางที่แจ้งไว้ โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 7 วันทำการ
- โดยปกติการขอประวัติผ่านทางอีเมลได้ มักจะสามารถขอรับประวัติเป็นไฟล์ pdf ได้
ตัวอย่างอีเมลขอประวัติ
เรื่อง : ขอประวัติการรักษา
เรียน เจ้าหน้าที่
ขอประวัติการรักษา [ชื่อ-นามสกุล] [วันเดือนปีเกิด] [เบอร์ติดต่อ]
โดยขอให้ส่งประวัติการรักษาทั้งหมด เข้าที่ email นี้
ทั้งนี้ ได้ทำการแนบสำเนาบัตรประชาชนพร้อมรับรองสำเนามาเรียบร้อย
ด้วยความเคารพ
2. การติดต่อขอประวัติทางไปรษณีย์ (เฉพาะบาง รพ.)
โทรติดต่อโรงพยาบาลที่มีประวัติก่อนว่า หากไม่สามารถขอประวัติทางอีเมลได้ จะสามารถขอประวัติทางไปรษณีย์ได้หรือไม่? พร้อมกับสอบถามขั้นตอนดำเนินการอีกครั้ง ทั้งนี้การขอประวัติทางไปรษณีย์ปกติจะได้รับประวัติมาในรูปแบบเอกสาร และมีขั้นตอนดำเนินการลักษณะดังต่อไปนี้
- สำเนาบัตรประชาชน 1 ฉบับ (พร้อมเซ็นกำกับ)
- จดหมายเรียนถึง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลฯ 1 ฉบับ (เขียนคำพูดได้เอง) พร้อมระบุ "ที่อยู่" ให้โรงพยาบาลส่งสำเนาประวัติถึงท่าน หรือ ถึงทางตัวแทน
- เงินสดจำนวน 300 บาทใส่ในซองเอกสาร หรือตามขั้นตอนชำระค่าธรรมเนียมที่ได้สอบถามทางโทรศัพท์ (ทาง รพ.จะแนบใบเสร็จตัวจริงมาในซองเอกสารพร้อมกับสำเนาประวัติ)
เมื่อเตรียมเอกสารเรียบร้อย จ่าหน้าซองถึง ผู้อำนวยการโรงพยาบาล... (แผนกเวชระเบียน) พร้อมระบุที่อยู่ รพ. และนำไปจัดส่งไปรษณีย์ EMS หรือบริษัทขนส่งเอกชนที่สามารถติดตามเอกสารได้ และโทรติดตามเอกสารหลังวันที่ รพ. ได้รับประมาณ 1 วัน เนื่องจากเมื่อ รพ. ได้รับจดหมายแล้ว จำเป็นต้องใช้เวลาในการกระจายจดหมาย หรือ ให้แต่ละฝ่ายเข้าไปรับจดหมายที่ศูนย์รับจดหมายเองอีกที
3. การติดต่อขอประวัติโดยเดินทางไปที่โรงพยาบาล (มักเกิดขึ้นกับ รพ.รัฐ)
ภายหลังโทรติดต่อทาง รพ. และ รพ. แจ้งว่าจำเป็นต้องเดินทางมาขอประวัติที่ รพ. เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วประวัติที่ได้จะเป็นในรูปแบบเอกสาร โดยมีขั้นตอนดำเนินการดังต่อไปนี้
- เอกสารที่ต้องเตรียม
- ขอด้วยตนเอง : บัตรประชาชนตัวจริง และ สำเนาบัตรประชาชนพร้อมรับรองสำเนา
- สามี-ภรรยา-บุตรธิดา ขอให้ : สำเนาบัตรประชาชนพร้อมรับรองสำเนาของผู้ขอและผู้ขอให้ และ สำเนาทะเบียนบ้านยืนยันความสัมพันธ์ (หากอยู่คนละบ้าน อาจจำเป็นต้องใช้หนังสือมอบอำนาจแทน)
- เดินทางไปโรงพยาบาลที่มีประวัติ (บาง รพ.ขอประวัติได้ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บาง รพ.ต้องไปที่แผนกเวชระเบียนโดยตรง)
- แจ้งเจ้าหน้าที่ว่า มาขอสำเนาประวัติการรักษา/การเจ็บป่วย ทั้งหมด เพื่อยื่นทำประกัน
- ชำระค่าขอประวัติ 300 บาท หรือตามที่โรงพยาบาลเรียกเก็บ
- รอทางเจ้าหน้าที่แจ้งนัดหมายวันที่จะได้รับประวัติ เนื่องจากบาง รพ. การเปิดเผยประวัติจะต้องได้รับการเซ็นยินยอมจากผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมด้วย (รพ.เอกชน ใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน ส่วน รพ.รัฐ ประมาณ 15-30 วัน)
- หากไม่ต้องการเข้ามารับประวัติด้วยตนเอง จะสามารถแจ้งทาง รพ. ให้จัดส่งประวัติไปที่บ้าน หรือถึงตัวแทน (แต่ละ รพ. จะมีรอบการส่งประวัติผ่านไปรษณีย์ที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่มักจะมีรอบการส่งสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น)
ตัวอย่างใบคำร้องขอเอกสารประวัติการรักษา ( รพ.รัฐ )

หมายเหตุ : แบบฟอร์มการขอประวัติจะแตกต่างกันไปตามแต่ละโรงพยาบาล
วิธีทำเอกสารประวัติการรักษาเป็นไฟล์ pdf
ในกรณีที่ทาง รพ. ส่งประวัติการรักษามาในรูปแบบเอกสารได้เท่านั้น จะสามารถทำการสแกนสีเป็นไฟล์ pdf เพื่อใช้ยื่นสมัครทำประกันได้หลายบริษัทได้ โดยวิธีดังต่อไปนี้
1. ผ่านทางร้านถ่ายเอกสาร (กรณีประวัติมากกว่า 30 หน้า)
สามารถทำการสแกนสีเป็นไฟล์ pdf โดยเฉพาะกับผู้ที่มีประวัติจำนวนหลายหน้า 30-100 หน้าขึ้นไป โดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือ
การนำ USB Drive และ เอกสารประวัติ ไปที่ร้านถ่ายเอกสาร และแจ้งว่ามาทำการสแกนสีเป็นไฟล์ pdf เข้า USB Drive ที่นำมา เป็นประวัติการรักษาระวังการฉีกขาด
คลิกดูวิดีโอการสแกนสีด้วยเครื่องจากร้านถ่ายเอกสาร (เน้นร้านที่มีเครื่องถ่ายเอกสารขนาดใหญ่)
2. ผ่านทางเครื่อง Printer ที่มี Scanner
วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่สามารถตั้งค่า Printer/Scanner ให้สแกนสีด้วยความละเอียดที่เหมาะสมได้เอง และ ตัว Printer มีถาด Feeder ในการดูดกระดาษเข้าไปสแกนสีอัตโนมัติได้
(ระวังอย่าใส่กระดาษประวัติจำนวนมากในทีเดียว เพราะอาจทำให้เกิด Paper Jam และเอกสารประวัติฉีกขาดได้ ควรกรีดกระดาษก่อนเสมอ)
รวมถึงสามารถดาวโหลด ติดตั้ง และตั้งค่า แอพ Scan to PDF เองได้ (ตั้งค่าเป็นสแกนสี ความละเอียดขั้นต่ำ 150 dpi)
3. ผ่านทางแอพมือถือถ่ายรูป Scan ต่างๆ (กรณีประวัติมีไม่เกิน 10-15 หน้า)
วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่สามารถตั้งค่าแอพให้สแกนสีด้วยความละเอียดที่เหมาะสมได้เอง รวมถึงสามารถถ่ายรูปเพื่อสแกนสีออกมา โดยรายละเอียดของประวัติต้องคมชัดไม่ตกหล่น
ซึ่งแอพ Scanner ที่สามารถใช้ได้ฟรี ไม่ติดลายน้ำ มีทั้ง Android และ iOS ที่แนะนำจะเป็น แอพ Microsoft Lens
1. โดยถ่ายรูป หรือ เลือกรูปถ่าย ที่ต้องการ ในโหมด Document

2. เลือก Filter เป็น Document

3. ทำการ Crop กรอบแต่ละรูปถ่ายให้เหมาะสม พร้อมตรวจสอบว่าตัวอักษรชัดเจนไม่ตกหล่น ถ้าหากตัวอักษรไม่ชัดเจนหรือตกหล่นให้ทำการถ่ายรูปใหม่อีกครั้ง (*ส่งผลต่อการพิจารณาและอาจถูกให้ขอประวัติการรักษาใหม่ได้)
4. เมื่อเสร็จเรียบร้อยทำการเลือกบันทึกเป็นไฟล์ pdf และทำการตรวจสอบอีกครั้ง
วิธีการทำให้ไฟล์ pdf ไม่ติดรหัสผ่าน และการแบ่งไฟล์ออกเป็นหลายไฟล์ เพื่อให้แต่ละไฟล์มีขนาดไม่เกิน 5 MB (สำหรับแนบในระบบ BLA)
เนื่องกจากระบบยืนยันทำประกันของ BLA จะรองรับการอัพโหลดไฟล์รูปและ PDF ได่ไฟล์ละไม่เกิน 5 MB เท่านั้น
โดยหากไฟล์ประวัติมีขนาดใหญ่เกินกว่า 5 MB จะสามารถดำเนินการได้ดังต่อไปนี้
1. หากไฟล์ติดรหัสผ่าน จะต้องเปลี่ยนเป็นไฟล์ PDF ที่ไม่ติดรหัสผ่านก่อน โดยใช้ >> เว็บ smallpdf (คลิกลิงก์) อัพโหลดPDF กรอกรหัสผ่าน แล้วดาวโหลด PDF ที่ไม่มีรหัสผ่าน


2. ทำการแบ่งไฟล์ PDF ออกเป็นหลายไฟล์ ไฟล์ละไม่เกิน 5MB >> เว็บ splitapdf (คลิกลิงก์) โดยเลือก Split based on a file size limit...และกำหนดขนาดของไฟล์ขนาดมากสุดที่ 4.7MB แล้วทยอยดาวโหลดไฟล์ pdf ที่มีการแบ่งเป็นไฟล์ย่อย ๆ เพื่อเตรียมสำหรับการแนบในระบบ BLA ต่อไป


3. นำไฟล์ประวัติทั้งหมดมาเก็บไว้ในมือถือ พร้อมสำหรับใช้แนบในขั้นตอนยืนยันตน >> เนื่องจากลิงก์ยืนยันทำประกันจะเปิดและดำเนินการยืนยันได้เฉพาะกับมือถือที่มีกล้องถ่ายรูป เพื่อใช้ Selfie ยืนยันตนเท่านั้น
หมายเหตุ : หากไม่สะดวกในการเตรียมไฟล์ pdf จะสามารถแจ้งทางเราให้ดำเนินการเตรียมไฟล์ pdf สำหรับใช้ในการแนบเข้าระบบ BLA แทนได้ค่ะ
วิธีการขอประวัติการรักษาโดยมอบอำนาจให้ทางเราดำเนินการแทน
(เมื่อสมัครทำประกันกับทางเรา และบริษัทร้องขอประวัติเพิ่มเติมอีก จากที่ส่งเข้าในมาตอนแรก)
เนื่องจาก ไฟล์ pdf อาจไม่ชัด หรือ ขาดผลตรวจชิ้นเนื้อ หรือ ทางบริษัทมีฐานข้อมูลกับทาง รพ. คู่สัญญา จึงสามารถมีโอกาสทราบได้ว่าท่านเคยแอดมิตเป็นผู้ป่วยใน รพ. ใดบ้าง ซึ่งถ้าหากตอนสมัครทำประกันท่านไม่ได้แถลงประวัติส่วนนี้ หรือไม่ได้ส่งประวัติการรักษาของ รพ. ที่ท่านเคยมีการแอดมิตนี้ ก็จะส่งผลให้มีโอกาสที่ทางฝ่ายพิจารณาจะร้องขอประวัติการรักษาเพิ่มเติมอีกได้
โดยการร้องขอประวัติการรักษาเพิ่มนี้ ท่านสามารถที่จะขอประวัติเองเพื่อที่จะสามารถเก็บสำเนาหรือไฟล์ประวัติการรักษาไว้เป็นของท่านเองได้ หรือจะสามารถมอบอำนาจให้ทาง Release Your Risk เป็นผู้ดำเนินการขอประวัติการรักษากับทางโรงพยาบาลแล้วส่งตรงเข้าบริษัทแทนได้เช่นกัน โดยจะมีเอกสารที่ต้องใช้ในการมอบอำนาจดังต่อไปนี้
- จดหมายการขอประวัติการรักษาจากบริษัท
- หนังสือมอบอำนาจ (Download) 1 ฉบับต่อ 1 รพ. (เซ็นมอบอำนาจ)
- หนังสือยินยอมให้เปิดเผยประวัติการรักษา (Download) 1 ฉบับต่อ 1 รพ. (เซ็นเปิดเผย)
- สำเนาบัตรประชาชน 1 ฉบับ พร้อมเซ็นกำกับ 1 ฉบับต่อ 1 รพ. (สำหรับขอประวัติการรักษาเท่านั้น)
- หากเป็น รพ.รัฐ อาจต้องมีอากรแสตมป์จำนวน 10 บาทต่อ 1 รพ. แนบมา (ทางตัวแทนจะจัดหามาภายหลัง)
เมื่อท่านพิมพ์หนังสือมอบอำนาจ และ หนังสือยิมยอมให้เปิดเผยประวัติการรักษา พร้อมกรอกรายละเอียดเรียบร้อย รบกวนท่านส่งเอกสารทั้งหมดมาให้ทางเราตามที่อยู่ดังต่อไปนี้
ส่งถึง
รุจิรา ต๊ะบุญเรือง
ตัวแทนกรุงเทพประกันชีวิต
389/281 ซ.สวนพลู8 ถ.สาทร แขวงทุ่งมหาเมฆ
เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
หลังจากที่ทางเราได้รับเอกสารเรียบร้อย จะรีบดำเนินการขอประวัติให้กับท่านโดยเร็วที่สุด ซึ่งหากเป็น รพ. ภายนอก กรุงเทพ ทางเราจะพยายามใช้ไปรษณีย์เป็นหลัก แต่หากเป็น รพ.รัฐ ที่บังคับให้ต้องเดินทางไปขอที่ รพ. และ ผู้สมัครทำประกันอยู่ในจังหวัดเดียวกัน ทางเราอาจต้องขอรบกวนให้ผู้สมัครทำประกันช่วยดำเนินการขอประวัติแทนต่อไป
ประกันมะเร็ง
และโรคร้ายแรงเสี่ยงเป็นสูง
"เบี้ยคงที่"
BLA อุ่นใจโรคร้าย
"คุ้มครองถึงอายุ 90 ปี ไม่เป็นมะเร็งมีเงินคืน"