3 ปัญหาใหญ่ของประกันชีวิตควบโรคร้ายแรงเบี้ยคงที่
บทนำ ต้นตอของปัญหาทั้ง 3 ของประกันชีวิตควบโรคร้ายแรง
ประกันชีวิตควบโรคร้ายแรง มีพื้นฐานมาจากประกันชีวิตตลอดชีพ เพื่อให้สามารถเป็นเบี้ยคงที่ได้ และส่งผลให้ประกันแบบนี้ คือ ลูกรักของบริษัทประกัน ด้วยเบี้ยทั้งสัญญาที่สูงอย่างมากจนใกล้เคียงกับทุนประกันที่ได้
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประกันชีวิตตลอดชีพโดยตรงที่เป็นพื้นฐานก่อนการควบเพิ่มความคุ้มครองโรคร้ายแรง ดังตัวอย่างรูปด้านล่างนี้

ประกันชีวิตตลอดชีพ : เบี้ยประกันสะสมจะน้อยกว่าทุนประกัน 1 ล้านบาทพอสมควร *มูลค่าเวนคืนสะสมของประกันชีวิตตลอดชีพมักจะเท่ากับทุนประกันเมื่อครบอายุสัญญา

ประกันชีวิตตลอดชีพควบโรคร้าย : เบี้ยประกันสะสมจะเพิ่มขึ้นอย่างมากที่ทุน 1 ล้านเท่าเดิม *ช่วงเกษียณเงินคุ้มครองส่วนใหญ่มาจากมูลค่าเวนคืนของประกันชีวิตที่ควบอยู่
โดยบริษัทจะแบกรับความเสี่ยงอย่างมากที่สุดเพียงปีแรก ๆ ที่ผู้ทำประกันเริ่มทำประกันเท่านั้น จากนั้นความเสี่ยงที่บริษัทแบกรับจะทยอยลดลงเรื่อย ๆ ตามเบี้ยที่ได้รับเพิ่มเข้ามาจนใกล้เคียงกับทุนประกันที่ได้
และที่สำคัญช่วงอายุทำประกันที่ 'เบี้ยทั้งหมดที่จ่ายไป' จะยังไม่สูงเกินกว่า 'ทุนประกัน' ที่ได้ จะเป็นในช่วงอายุ 0-45 ปีเท่านั้น ซึ่งช่วงอายุนี้ความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคร้ายแรงและการเสียชีวิตจะค่อนข้างน้อย บริษัทประกันจึงแบกรับความเสี่ยงน้อยลงไปอีก
แต่ด้วยการตลาดที่ทำให้ผู้ทำประกันโรคร้ายแรงเชื่อว่า การมีความคุ้มครองหลายโรค หลายระยะ คุ้มครองชีวิตด้วย นั้นดีนั้นคุ้ม โดยไม่รู้แลยว่า หากยิ่งเพิ่มความคุ้มครองหลายอย่างเข้าไปเรื่อย ๆ โดยไม่แบ่งว่าอะไรเสี่ยงสูงอะไรเสี่ยงต่ำ อะไรจำเป็นอะไรไม่จำเป็น
ย่อมส่งผลให้ด้วยทุนประกันที่เท่าเดิม แต่เบี้ยประกันจะสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าใกล้ทุนประกัน เสมือนผู้ทำประกันเก็บเงินจ่ายให้ตนเอง เพราะการให้คุ้มครองทุกอย่างจนเฉลี่ยความเสี่ยงกับผู้อื่นได้ยาก สุดท้ายแล้วก็จะเหมือนการจ่ายเงินให้ตนเองคุ้มครองตนเองนั้นเอง
( ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเหมือนกัน คือ ประกันค่ารักษาผู้ป่วยนอก OPD ทั่วไป ที่ให้ความคุ้มครองกว้างอย่างมาก และไม่ได้มีเงื่อนไขคุ้มครองเฉพาะเจาะจงในเรื่องใดเป็นพิเศษ ทำให้ยากที่จะเฉลี่ยความเสี่ยงกับผู้อื่นได้ เบี้ยประกันจึงสูงมากไม่ต่างกับการรับความเสี่ยงและออกเงินค่ารักษาเอง )
และเพื่อให้เห็นปัญหาข้อจำกัดของประกันชีวิตควบโรคร้ายแรงเบี้ยคงที่ชัดขึ้น จะสามารถแบ่งแยกต้นตอของปัญหานี้ได้ดังต่อไปนี้
1. ปัญหา "เบี้ยทั้งสัญญาสูง" จากการคุ้มครองโรคร้ายแรง จำนวนมาก และ ทุกความเสี่ยง
ด้วยข้อมูลสถิติการเคลมจะพบว่าโรคร้ายแรงเสี่ยงสูงได้กินส่วนแบ่งการเคลมไปกว่า 94%-96% ของการเคลมโรคร้ายแรงทั้งหมด และล้วนเป็นโรคร้ายแรงที่หากเป็นแล้ว จำเป็นต้องหยุดพักรักษาตัวเป็นเวลานานและไม่สามารถทำงานมีรายได้ได้เหมือนเดิม

สถิติการเคลมประกันโรคร้ายแรง : สถิติการเคลมจะสอดคล้องกับข้อมูลการป่วยเป็นโรคร้ายแรง โดยมีการเคลมโรคร้ายแรง 'เสี่ยงสูง' รวมกันในแต่ละปีถึง 94%-96% ของโรคร้ายแรงทั้งหมด และเป็นของโรคมะเร็งไปมากถึง 73%-75% (ซึ่งมะเร็งมีแนวโน้มจะเป็นสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยปัญหา PM2.5 ปัญหาไมโครพลาสติก พันธุกรรม และปัญหาผลข้างเคียงของวัคซีนโควิด)
แต่ปัญหาของประกันชีวิตควบโรคร้ายแรง คือมีการ "อัพเซล" ความคุ้มครองโรคร้ายแรงเสี่ยงต่ำจำนวนมาก (อย่างโรคร้ายแรง 4%-6% ของการเคลมโรคร้ายแรงทั้งหมด) ทั้งยังอัพเซลเพิ่มความคุ้มครองทุพพลภาพและชีวิตเข้ามาด้วย
จึงทำให้เบี้ยทั้งสัญญาต้องสูงขึ้นจนใกล้เคียงกับทุนประกันที่ได้ เช่น บางแบบประกันที่คุ้มครองโรคร้ายแรงจำนวนมากและหลายระยะ เบี้ยทั้งสัญญาอาจสูงถึง 870,000 บ. แต่กลับได้ทุนประกันเพียง 1,000,000 บ. เท่านั้น นั่นหมายความว่า หากป่วยหลังจากชำระเบี้ยทั้งหมดแล้ว ก็แทบจะเป็นการใช้เงินตนเองเพื่อมาคุ้มครองตนเองเกือบทั้งหมด
หรือ บางแบบประกันชีวิตควบโรคร้ายแรงจะเป็นลักษณะเจอจ่ายหลายจบ โดยมีการเพิ่ม
- อัพเซลเคลมซ้ำในโรคร้ายแรงเสี่ยงสูงบางโรคได้
- อัพเซลเคลมแยกตามกลุ่มโรคร้ายได้ไม่ใช่เคลมโรคเดียวจบ (ทั้ง 2 อัพเซลต้องอยู่ในเงื่อนไขและกรอบเวลาที่กำหนดเพื่อลดโอกาสการเคลม)
- อัพเซลตรวจเจอโรคร้ายแรงแล้วหยุดจ่ายเบี้ยแต่ยังได้รับความคุ้มครอง (หรือ ก็คืออัพเซลหากตรวจเจอโรคร้ายแรงแล้ว จะมีทั้งให้เงินก้อนกับผู้ทำประกัน และให้เงินก้อนกับบริษัทประกัน เพื่อผู้ทำประกันจะได้ไม่ต้องจ่ายเบี้ยอีก)
- และด้วยการอัพเซลเหล่านี้ จึงทำให้เบี้ยทั้งสัญญาสูงขึ้นถึง 2,000,000 บ. ต่อทุนประกันเพียง 1,000,000 บ.
- ซึ่งทำให้กว่าที่บริษัทจะเป็นผู้ให้ความคุ้มครองจริง ๆ ก็ต่อเมื่อ ผู้ทำประกันต้องเป็นโรคร้ายแรงมากกว่า 2 กลุ่มโรคขึ้นไป หรือ เป็นโรคร้ายที่สามารถเคลมซ้ำได้ 2 ครั้ง
- หลังจากนั้นหากมีการเคลมอีก (โอกาสน้อยมาก) บริษัทจึงจะเพิ่งเริ่มเป็นผู้ออกเงินให้กับการเคลมนี้
ดังนั้นจะเห็นได้ชัดเจนว่า ยิ่งถูกอัพเซลมากเท่าไร เบี้ยจะยิ่งแพงสูงมากขึ้น และทำให้ผู้ทำประกันกลายเป็นผู้ออมเองแล้วรับความเสี่ยงเองมากขึ้นเท่านั้น จนบางทีการกระจายทำประกันโรคร้ายแรงมากกว่า 1 บริษัทประกัน สามารถได้ผลประโยชน์มากกว่าการถูกอัพเซลหนักขนาดนี้ในบริษัทเดียว
และนี้คือ ปัญหาที่เกิดจากการถูกอัพเซลขายความคุ้มครองต่าง ๆ รวมทั้งชีวิตโรคร้ายแรงจำนวนมาก โดยไม่แบ่งว่าเป็นโรคร้ายความเสี่ยงสูงหรือความเสี่ยงต่ำ ทั้ง ๆ ที่ถ้าหากเน้นคุ้มครองเฉพาะโรคร้ายแรงเสี่ยงสูงที่เป็น 94%-96% ของการเคลม ย่อมจะได้ทุนคุ้มครองที่สูงมากกว่าเบี้ยทั้งหมดได้หลายเท่า
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่ากังวลอีกอย่างของประกันชีวิตควบโรคร้ายแรง คือ เบี้ยทั้งสัญญาสามารถเกินทุนประกันที่ได้ได้ ถ้าหากเริ่มทำประกันหลังอายุ 45 ปีเป็นต้นไป แต่เงินที่จะได้หากตรวจเจอโรคร้ายหรือเสียชีวิตนั้น จะได้เพียงทุนประกันเท่านั้น โดยจะไม่ได้เบี้ยที่มากกว่าคืน (แบบประกันชีวิตควบโรคร้ายส่วนใหญ่จะยึดทุนประกันเป็นหลัก)
และทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมแบบประกันชีวิตควบโรคร้ายจึงเป็นลูกรักของบริษัทประกันอย่างมาก
หากเน้นเคลมเฉพาะโรคร้ายแรงเสี่ยงเป็นสูง 94%-96% ของการเคลม แล้วโรคร้ายแรงความเสี่ยงเป็นต่ำอีก 4%-6% ของการเคลม ควรทำอย่างไร

- หากต้องการกระจายความเสี่ยงของโรคร้ายแรงเสี่ยงต่ำจำนวนมากร่วมด้วย จะควรใช้แบบประกันโรคร้ายแรงเบี้ยเพิ่มตามอายุที่เบี้ยน้อยแต่ได้ทุนสูงกว่าเบี้ยหลายสิบเท่า มาเป็นทุนประกันเสริมให้กับประกันโรคร้ายแรงเบี้ยคงที่ที่เน้นคุ้มครองเฉพาะโรคร้ายแรงเสี่ยงสูงตลอดชีพ
- โดยจะเน้นทำประกันโรคร้ายเบี้ยเพิ่มอายุนี้เฉพาะในช่วงอายุก่อนเกษียณที่เป็นกำลังสำคัญในการหารายได้เท่านั้นดังกราฟด้านบน
- และจะไม่ได้ต่ออายุประกันโรคร้ายแรงเบี้ยเพิ่มตามอายุในตอนหลังเกษียณอีก เพราะสุดท้ายด้วยเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างมากตามอายุ จะส่งผลให้เบี้ยทั้งหมดมากกว่าทุนประกันโรคร้ายแรงที่ได้ และทำให้เหมือนใช้เงินตนเองดูแลตนเองอยู่ดี
- ดังนั้นในตอนที่จ่ายเบี้ยประกันโรคร้ายแรงเบี้ยเพิ่มตามอายุตอนก่อนเกษียณ ก็ควรจะทยอยเก็บเงินก้อนไว้รับความเสี่ยงโรคร้ายแรง 4%-6% ของการเคลม ไว้เองหลังเกษียณด้วย เพื่อให้ตอนเกษียณสามารถยกเลิกสัญญาโรคร้ายแรงเบี้ยเพิ่มตามอายุนี้ได้อย่างสบายใจ และมีเงินก้อนที่เก็บมาคอยคุ้มครองแทน
- หรือ หากไม่ได้เก็บเงินก้อนไว้รับความเสี่ยงโรคร้ายแรงเสี่ยงต่ำไว้เองหลังเกษียณ ก็ยังสามารถเวนคืน หรือ กู้มูลค่าเวนคืน จากประกันโรคร้ายแรงเสี่ยงสูงเบี้ยคงที่ ออกมาใช้ยามเป็นโรคร้ายแรงเสี่ยงต่ำ 4%-6% นี้ได้ เนื่องจากมูลค่าเวนคืนที่ได้จะเกินเบี้ยทั้งหมดที่จ่ายไปเรียบร้อยแล้วโดยเฉพาะเมื่อเริ่มทำประกันตอนอายุยังน้อย (จึงเสมือนเป็นการเก็บเงินก้อนไปในตัว)
2. ปัญหา "เบี้ยแต่ละปีสูงมาก" เมื่อเทียบกับแบบประกันอื่น ๆ ในทุนประกันที่เท่ากัน
สิ่งหนึ่งที่มักใช้เปรียบเทียบความคุ้มค่าของความคุ้มครองที่ได้ คือ ส่วนต่างระหว่างเบี้ยที่จ่ายไปกับความคุ้มครองที่ได้ว่าแบบประกันใดจะให้ได้มากกว่ากัน โดยในที่นี้จะเป็นการกำหนดให้ทุนประกันเท่ากันที่ 1 ล้านบาท
และเปรียบเทียบเบี้ยทุกอายุของแบบประกัน
- ประกันชีวิตควบโรคร้าย
- ประกันชีวิต
- ประกันโรคร้ายแรงเบี้ยคงที่ (BLA Happy CI)
- ประกันโรคร้ายแรงเบี้ยคงที่ถึงอายุ 90 (BLA อุ่นใจโรคร้าย+ทุนชีวิต 50,000 บ.)
- ประกันโรคร้ายเบี้ยเพิ่มตามอายุถึงอายุ 80
- ประกันชีวิต+ประกันโรคร้ายเบี้ยคงที่ (BLA Happy CI)
โดยประกันโรคร้ายเบี้ยคงที่ทั้ง 2 แบบ จะเน้นคุ้มครองเฉพาะโรคร้ายแรงเสี่ยงสูงจำนวน 11 (BLA อุ่นใจโรคร้าย) และ 14 โรค (BLA Happy CI) เท่านั้น
เพศชาย

จากกราฟหากพิจารณาที่อายุ 20 ปี : เบี้ยปีแรกที่มากกว่า 20,000 บ. จะมีเพียงประกันชีวิตควบโรคร้ายแรง กับ ประกันชีวิต + BLA Happy CI ที่ได้ทุนประกันรวมกัน 2 ล้านเท่านั้น
จากกราฟ จะเห็นได้ชัดเจนในทุกอายุว่า เบี้ยปีแรกของ ประกันโรคร้ายแบบเบี้ยเพิ่มตามอายุเบี้ยจะน้อยที่สุด และสูงขึ้นมาจะเป็น BLA อุ่นใจโรคร้าย , ประกันชีวิต , BLA Happy CI และ ประกันชีวิตควบโรคร้ายที่เบี้ยสูงที่สุด
ในขณะที่เบี้ยปีแรกของ ประกันชีวิต + BLA Happy CI แม้จะสูงกว่าประกันชีวิตควบโรคร้าย แต่ก็ได้ทุนประกันถึง 2 ก้อน ก้อนละ 1 ล้านบาท (ทุนชีวิต 1 ล้าน แยกกับ ทุนโรคร้าย 1 ล้าน) ด้วยเบี้ยที่ต่างกับ ประกันชีวิตควบโรคร้ายไม่มากแต่ได้ทุนความคุ้มครองเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า
ดังนั้น การอัพเซลที่ควบทั้งชีวิตและโรคร้ายเข้ามาด้วยกันของประกันชีวิตควบโรคร้ายแรงนั้น ทำให้ความคุ้มครองที่ควรได้ลดลงพอสมควร เมื่อแยกพิจารณาในมุมมองโรคร้ายและชีวิตออกจากกัน
เพศหญิง

จากกราฟหากพิจารณาที่อายุ 20 ปี : เบี้ยปีแรกที่มากกว่า 20,000 บ. จะมีเพียงประกันชีวิตควบโรคร้ายแรง และ ประกันชีวิต + BLA Happy CI
จากกราฟ จะเห็นได้ชัดเจนในทุกอายุว่า เบี้ยปีแรกของ ประกันโรคร้ายแบบเบี้ยเพิ่มตามอายุเบี้ยจะน้อยที่สุด และสูงขึ้นมาจะเป็น BLA อุ่นใจโรคร้าย , ประกันชีวิต , BLA Happy CI และ ประกันชีวิตควบโรคร้ายที่เบี้ยสูงที่สุด เช่นเดียวกับเพศชาย
เพียงแต่ว่าของเพศหญิง เบี้ยปีแรกของ ประกันชีวิต และ ประกันชีวิตควบโรคร้าย จะน้อยกว่าของเพศชายอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเพราะมีความเสี่ยงชีวิตที่น้อยกว่า ในขณะที่เบี้ยปีแรกของประกันโรคร้ายแรงเบี้ยคงที่ เพศหญิงจะสูงกว่าเพศชาย
อย่างไรก็ตาม หากเพิ่มเบี้ยต่อปีอีกไม่มากแล้วเปลี่ยนจาก ประกันชีวิตควบโรคร้ายแรงที่ได้เงินก้อนเดียว 1 ล้าน มาเป็น ประกันชีวิต + BLA Happy CI แทน ก็จะได้เงินก้อนฝั่งชีวิต 1 ล้าน และฝั่งโรคร้ายแรงอีก 1 ล้าน แยกจากกันโดยไม่ต้องแชร์ หรือก็คือ เพิ่มเบี้ยต่อปีอีกไม่มากแต่ได้เงินก้อนเพิ่มอีก 1 ล้านแยกออกมา
โดยเบี้ย ประกันชีวิต + BLA Happy CI เมื่อเทียบเบี้ยหญิงกับเบี้ยชายแล้วจะใกล้เคียงกันอย่างมาก เพียงแต่เบี้ยหญิงจะน้อยกว่าเบี้ยชายเล็กน้อย
3. ปัญหา "เบี้ยสูงจากการบังคับควบ" ประกันชีวิตกับโรคร้ายแรงเข้าด้วยกัน โดยไม่สามารถเลือกแบบประกันชีวิตและสัดส่วนทุนประกันชีวิต/โรคร้ายได้เอง
จากเบี้ยปีแรกในปัญหาข้อ 2 ที่ผ่านมา จะทำให้เริ่มเห็นแล้วว่า การแยกประกันชีวิตออกมาจากโรคร้าย นั้นมีข้อได้เปรียบด้านความคุ้มครองที่เพิ่มมากขึ้นอย่างไร ซึ่งจะยิ่งเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นอีก เมื่อนำ "เบี้ยทั้งสัญญา" มาเทียบกับ "ทุนประกัน 1 ล้านบาท" ของแต่ละแบบประกันดังนี้
เพศชาย

จากกราฟหากพิจารณาที่อายุ 50 ปี : เบี้ยทั้งสัญญาที่ไม่เกินทุนประกัน 1,000,000 บ. จะมี ประกันชีวิต 20/99 ทุน 1 ล้านบาท, BLA Happy CI ทุน 1 ล้านบาท, และ BLA อุ่นใจโรคร้าย
จากกราฟ จะเห็นได้ชัดเจนว่าในทุกอายุ เบี้ยรวมทั้งสัญญาของ ประกันโรคร้ายเบี้ยเพิ่มตามอายุนั้น จะมีเบี้ยรวมที่สูงเกินทุนประกัน (1 ล้านบาท) เพราะเบี้ยตอนเกษียณอายุนั้นจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ในขณะที่แบบประกันอื่น ๆ ที่เป็นเบี้ยคงที่นั้น เบี้ยทั้งสัญญาจะน้อยกว่าทุน 1 ล้านอย่างชัดเจน โดยเบี้ยมากที่สุด คือ ประกันชีวิตควบโรคร้ายแรง รองลงเป็น BLA อุ่นใจโรคร้าย, BLA Happy CI และ ประกันชีวิต
โดยจะสังเกตุเห็นว่า ทั้ง BLA Happy CI และ ประกันชีวิต ต่างมีเบี้ยทั้งสัญญาที่น้อยกว่าทุนประกัน 1 ล้านบาทของตนเอง แม้จะเริ่มทำประกันตอนอายุ 50 ปีก็ตาม
ในขณะที่ ประกันชีวิตควบโรคร้ายแรง เบี้ยทั้งสัญญาจะใกล้เคียงกับทุนประกัน 1 ล้านบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุเริ่มทำประกันที่มากขึ้น จนกระทั่งเกินทุน 1 ล้านบาทไปที่อายุเพียง 45 ปีเท่านั้น
ที่สำคัญเบี้ยทั้งสัญญาของ ประกันชีวิต+BLA Happy CI (รับเงิน 2 ก้อน ทุนชีวิต 1 ล้าน + ทุนโรคร้าย 1 ล้าน) จะแตกต่างกับเบี้ยทั้งสัญญาของ ประกันชีวิตควบโรคร้าย (รับเงิน 1ก้อน 1 ล้าน) ไม่มากนัก โดยเฉพาะอายุ 0-20 ปี
แต่กลับทำให้บริษัทประกันจะต้องแบกรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในส่วนต่างระหว่างทุน 1 ล้านบาท 2 ก้อน กับ เบี้ยทั้งสัญญาของทั้ง ประกันชีวิต และ BLA Happy CI
ในขณะที่ประกันชีวิตควบโรคร้ายแรง บริษัทประกันจะรับความเสี่ยงน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นข้อดีอย่างมากต่อบริษัทประกัน ในการนำประกันชีวิตมาควบกับประกันโรคร้ายแรงนี้
เพศหญิง

จากกราฟหากพิจารณาที่อายุ 50 ปี : เบี้ยทั้งสัญญาไม่เกินทุนประกัน 1,000,000 บ. จะมี ประกันชีวิต 20/99 ทุน 1 ล้านบาท, BLA Happy CI ทุน 1 ล้านบาท, และ BLA อุ่นใจโรคร้าย
จากกราฟ จะเห็นได้ว่าช่วงอายุ 20-40 ปี เบี้ยรวมทั้งสัญญาของเพศหญิง แบบ BLA อุ่นใจโรคร้าย กับ ประกันชีวิตควบโรคร้าย มีความใกล้เคียงกันอย่างมาก
เพียงแต่เบี้ยแต่ละปีของ BLA อุ่นใจโรคร้าย จะน้อยกว่าประมาณ 3 เท่า และต้องจ่ายคงที่จนถึงอายุ 90 ปี ในขณะที่ ประกันชีวิตควบโรคร้าย ด้วยเบี้ยปีแรกที่สูงกว่ามาก จึงทำให้สามารถหยุดชำระเบี้ยได้เร็วกว่าคือเพียง 20 ปี และมีมูลค่าเวนคืนที่มากกว่าหากยกเลิกสัญญา
อย่างไรก็ตามเบี้ยรวมทั้งสัญญาของ BLA Happy CI ก็ยังน้อยกว่าทุกแบบประกันโรคร้ายแรงในทุกช่วงอายุ (เพียงแต่ยังมากกว่าของประกันชีวิต) ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย และยังเป็นแบบประกันที่มีมูลค่าเวนคืนสะสมที่สามารถเติบโตเกินเบี้ยที่จ่ายไปได้
ที่สำคัญทั้งในเพศหญิงและเพศชาย บริษัทประกันจะต้องแบกรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในส่วนต่างระหว่างทุน 1 ล้านบาท 2 ก้อน กับ เบี้ยทั้งสัญญาของทั้ง ประกันชีวิต และ BLA Happy CI เมื่อเทียบกับที่บริษัทประกันจะต้องแบกรับในส่วนต่างระหว่างทุน 1 ล้าน 1 ก้อน กับ เบี้ยทั้งสัญญาของประกันชีวิตควบโรคร้ายแรงอย่างเดียว
แม้ในเพศหญิงเบี้ยประกันชีวิตควบโรคร้ายแรงจะน้อยกว่าเบี้ยของเพศชายก็ตาม แต่บริษัทประกันก็ยังคงรับความเสี่ยงน้อยกว่า ประกันชีวิต + BLA Happy CI อยู่ดี
บทสรุป และ แนวทางการแก้ไขปัญหาทั้ง 3 ปัญหา
บทสรุปข้อจำกัดของประกันชีวิตควบโรคร้ายแรง
- เบี้ยค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับทุนความคุ้มครองที่ได้
- เนื่องจากต้องคุ้มครองทั้งชีวิตและโรคร้ายจำนวมมากทั้งเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ
- จำเป็นต้องทำตอนอายุยังน้อยที่เบี้ยทั้งสัญญายังน้อยกว่าทุนประกันที่ได้
- หากทำตอนอายุมากเบี้ยทั้งสัญญาจะมากกว่าทุนประกันที่ได้รับ และคุ้มครองเท่ากับทุนที่ได้รับเท่านั้น
นอกจากนี้ ประกันชีวิตควบโรคร้ายแรง จะมีมูลค่าเวนคืนในสัญญาที่เติบโตค่อนข้างช้า เพราะต้องยึดตามประกันชีวิตที่เป็นแกนหลักไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแบบประกันชีวิตได้ ดังจะเห็นได้จากบทความแนวทางแก้ไขทั้ง 3 ปัญหาของประกันชีวิตควบโรคร้ายแรงต่อไปนี้




