ตัวอย่าง วางแผนเกษียณส่วนเบี้ยประกันสุขภาพ

ประกันสุขภาพเหมาจ่ายในปัจจุบันนั้นมีคุณสมบัติที่น่าสนใจอย่างมาก คือ

ให้ความคุ้มครองได้หลักหลายล้านบาท

ใช้ มาตรฐานประกันสุขภาพใหม่ปี 2564 ที่ครอบคลุมขั้นตอนการรักษา

เสริมด้วยความคุ้มครองเพิ่มเติมจากบริษัทประกันต่าง ๆ ที่ต่อยอดให้มาตรฐานประกันสุขภาพใหม่มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

ทำให้ประกันสุขภาพเหมาจ่ายในปัจจุบัน กลายเป็นประกันที่สามารถดูแลค่ารักษาได้ตลอดชีวิตจริง ๆ โดยเฉพาะแบบประกันที่คุ้มครองยาวถึงอายุ 99 ปีเรียกได้ว่า หากมีสวัสดิการนี้ในช่วงเกษียณได้ ย่อมจะ ลดภาระของครอบครัว ไปได้อย่างมากมาย

สถิติการใช้บริการสถานพยาบาลแต่ละช่วงอายุปี2558

สถิติการใช้บริการสถานพยาบาลในแต่ละช่วงอายุ

แต่ด้วยความคุ้มครองที่สูงมากนี้เอง โดยเฉพาะกับประกันสุขภาพภาพเหมาจ่ายที่ครอบคลุมค่ารักษามะเร็งทั้งในปัจจุบันและอนาคตนั้น จะมีเบี้ยประกันรวมกันหลังเกษียณในระดับหลักสิบล้าน เช่นกัน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงอย่างมากสำหรับวัยเกษียณที่ไม่ต้องการรบกวนลูกหลาน

ทำให้พอถึงช่วงเกษียณ หลายคนต้องจำใจเลือกที่จะยกเลิกประกันสุขภาพและรับความเสี่ยงค่ารักษาไว้เองแทน พร้อมกับเงินเก็บ 2-3 ล้านบาทไว้เป็นค่ารักษา แต่ด้วยเงินเฟ้อ..ค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันถ้าจะให้เพียงพออย่างไรแล้วควรมีไม่ต่ำกว่า 7-10 ล้านบาท โดยเฉพาะหากต้องเผชิญกับโรคมะเร็งที่ต้องรักษาไปตลอดชีวิต

ทำให้ การการเก็บประกันสุขภาพไว้ยังเป็นทางออกที่น่าสนใจกว่า การยกเลิกประกันสุขภาพแล้วรับความเสี่ยงไว้เองโดยเฉพาะหากเริ่มมีโรคประจำตัวแล้ว แต่ก็ตามมาด้วยคำถามสำคัญที่ว่า

จะทำอย่างไรจึงจะสามารถจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณหลักสิบล้านบาทนี้ได้ โดยใช้เงินให้น้อยลงประมาณ 50%-80% ได้ 

ซึ่งจะมีวิธีการจัดการโดยอาศัยเครื่องการเงินอย่าง ประกันบำนาญ และ กองทุนรวม ร่วมกันดังลำดับวิธีต่อไปนี้ 


วิธีการดำเนินการ


1. เลือกประกันบำนาญและ
คำนวณบำนาญที่ควรมีไว้จ่ายเบี้ยสุขภาพ

โดยเน้นเลือกแบบประกันบำนาญที่

จ่ายเงินบำนาญนานที่สุด

เป็นประกันบำนาญจริง ๆ (ไม่มีผลประโยชน์เพิ่มเติมอื่น เช่น เงินคืนระหว่างปีก่อนเกษียณ และหรือ ความคุ้มครองชีวิตที่สูงกว่าเบี้ยที่จ่ายไปมาก)

ทั้งนี้ Release your Risk จะมีโปรแกรมคำนวณเพื่อเปรียบเทียบแบบประกันบำนาญ ดัง 2 ตัวอย่างต่อไปนี้

1.1 แบบประกันบำนาญที่ทยอยจ่ายเบี้ยทุกปีถึงอายุ 60 ปี และรับเงินบำนาญยาวถึงอายุ 99 ปี

ประกันบำนาญสุขภาพ1 1

จากตัวอย่าง โปรแกรมเบี้ยประกันสุขภาพ ตั้งแต่อายุ 60 - 98 ปี จะรวมเบี้ยประกันทั้งหมด 9.6 ล้านบาท หากเลือกแบบประกันบำนาญ (ดังในตัวอย่าง) จะต้องเน้นจ่ายเบี้ยบำนาญที่ปีละ 1.2 แสนบาท (รวมเบี้ยทั้งหมด 3.2 ล้านบาท) เพื่อให้ได้เงินบำนาญปีละ 2.4 แสน จึงจะสามารถนำเงินบำนาญไปจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณได้ทั้งหมด (จนครบสัญญา)

หมายเหตุ : เป็นการคำนวณเบี้ยของเพศหญิงอายุ 34 ปี

1.2 แบบประกันบำนาญที่จ่ายเบี้ยครั้งเดียว และรับเงินบำนาญยาวถึงอายุ 100 ปี

ประกันบำนาญสุขภาพ2 1

จากตัวอย่างโปรแกรมและแบบประกันบำนาญแบบจ่ายเบี้ยครั้งเดียว ที่ยกมา จะได้บำนาญปีละ 2.4 แสนบาทเช่นกัน จึงจะสามารถจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพได้ทั้งหมด เพียงแต่จะสามารถจ่ายเบี้ยประกันบำนาญครั้งเดียวได้ ที่จำนวน 2.19 ล้านบาท

หมายเหตุ : เป็นการคำนวณเบี้ยของเพศหญิงอายุ 34 ปี

จะเห็นได้ว่าโปรแกรมได้เปรียบเทียบ 2 แบบประกันบำนาญ ที่จะจ่ายเงินบำนาญจำนวน 247,632 บาทต่อปีเท่ากัน เพื่อให้สามารถนำไปจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพรวม 9.6 ล้านบาทได้ครบ

ซึ่งจุดสังเกตสำคัญที่ได้จากการเปรียบเทียบ คือ แม้จะได้รับบำนาญต่อปีที่เท่ากัน แต่เบี้ยรวมของ 2 แบบประกันบำนาญนั้นแตกต่างกันถึงกว่า 1 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแบบจ่ายเบี้ยครั้งเดียวนั้นจะลดหย่อนภาษีได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ในขณะที่แบบที่จ่ายเบี้ยทุกปีแม้เบี้ยรวมจะสูงกว่าหลักล้าน แต่สามารถทยอยจ่ายเป็นเบี้ยรายงวดที่ลดลงเหลือเพียง 1.2 แสนบาท และยังสามารถลดหย่อนภาษีได้ทุกปีอีกด้วย

ดังนั้น

(1) ประกันบำนาญแบบจ่ายเบี้ยครั้งเดียว จึงเหมาะกับผู้ที่มีอายุใกล้เกษียณ หรือ มีเงินเย็น เงินรายได้พิเศษไม่ประจำ เป็นเงินก้อนเรียบร้อย ในขณะที่ ประกันบำนาญแบบที่ทยอยจ่ายเบี้ยทุกปีจนเกษียณ เหมาะกับผู้ที่อายุยังไม่มากและยังไม่มีเงินก้อน โดยต้องการล็อคผลตอบแทนนี้ไว้เท่าที่กำลังการออมแบบประจำพอจะมีก่อน โดยส่วนที่ขาดจะค่อยพิจารณาซื้อสะสมประกันบำนาญจ่ายเบี้ยระยะสั้นเพิ่มเติมในภายหลังที่ได้รับโบนัสหรือรายได้พิเศษไม่ประจำต่าง ๆ ต่อไป

(2) ทำให้การเลือกแบบประกันบำนาญจึงจำเป็นต้องพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันควบคู่กันไปด้วย นอกจากที่จะพิจารณาเบี้ยรวมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งการจะเปรียบเทียบในแง่มุมนี้ได้ โปรแกรมการเปรียบเทียบประกันบำนาญจึงมีบทบาทสำคัญ เพราะจะช่วยประหยัดเวลาในการหาแบบที่เหมาะกับประกันสุขภาพ มาเปรียบเทียบกันได้อย่างมาก

หมายเหตุ : แม้ว่าประกันบำนาญจะดูเป็นวิธีแก้ปัญหาที่น่าสนใจ แต่ด้วยเบี้ยรวมที่สูงถึงกว่า 2-3 ล้านบาทนี้ ยังคงเป็นจำนวนเงินที่สูงพอสมควร ทำให้การพิจารณาเครื่องมือการเงินอื่นเพิ่มเติมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก และนั้นจึงเป็นที่มาของการนำกองทุนรวมมาแก้ปัญหาเบี้ยสุขภาพนี้ด้วย

2. คำนวณเงินลงทุน RMF/SSF ที่ต้องใช้สำหรับ
เป็นกองทุนสุขภาพ

วิธีนี้จะ มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นจากประกันบำนาญ พอสมควร เพราะจำเป็นจะต้องทำทุกขั้นตอนที่ถูกซ่อนไว้ในประกันบำนาญเองทั้งหมด แต่ก็จะได้ความยืดหยุ่นมาชดเชยแทน (ทั้งการสามารถเปลี่ยนระยะเวลาการลงทุน การเปลี่ยนแปลงจำนวนลงทุนในแต่ละปีให้แตกต่างกันได้)

โดยจะมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการสำหรับให้กองทุนรวมจ่ายเบี้ยสุขภาพได้ ดังต่อไปนี้

มูลค่าพอร์ตกองทุน ก่อนเกษียณ หลังเกษียณ 2

2.1 คำนวณหาเงินก้อนวันเกษียณ

จากในรูปด้ายบน เบี้ยประกันรวมบำเหน็จจะอยู่ที่ประมาณ 10.9 ล้านบาท ซึ่งจะใช้วิธีการดึงเงินออกจากกองทุนมาจ่ายเบี้ยผ่านวิธี Time Segmentation ที่แบ่งอายุเกษียณออกเป็น 3 ช่วงอายุ เพื่อจัดการให้กองทุนเสี่ยงต่ำได้ถูกใช้ก่อน และกองทุนที่ถูกใช้ทีหลังให้สามารถเสี่ยงสูงได้ โดยสุดท้ายแล้วในขั้นตอนนี้จะต้องคำนวณย้อนออกมาให้ได้ว่าในวันที่เกษียณควรมีเงินก้อนเท่าใด (ในรูปเงินก้อนวันเกษียณ คือ 2.6 ล้านบาท + บำเหน็จ 1 ล้านบาท) จึงจะเพียงพอที่จะเติบโตและทยอยจ่ายเบี้ยได้จนถึงเบี้ยอายุ 98 ปี

หมายเหตุ : กรณีจะใช้ประกันบำนาญแทนกองทุนรวมแบบ Time Segmentation ตอนเกษียณ

  • หญิง อายุ 55 ปี แบบจ่ายเบี้ยครั้งเดียวรับบำนาญอายุ 60-100 เบี้ยประกันอยู่ที่ 4,260,015
  • หญิง อายุ 55 ปี แบบจ่ายเบี้ยถึงอายุ 60 รับบำนาญอายุ 60-99 เบี้ยประกันรวมอยู่ที่ 4,740,090

ซึ่งต้องใช้เงินมากกว่ากองทุนรวมมาก และมีโอกาสใช้เงินมากขึ้นกว่านี้อีกถ้าแบบประกันบำนาญตอนอายุ 55 นั้น ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าแบบประกันบำนาญที่มีอยู่ในตอนนี้ นอกจากนี้การใช้ประกันบำนาญแทนทำให้ต้องจ่ายเบี้ยสุขภาพตอนอายุ 55-59 ปีเอง  เนื่องจากยังไม่ถึงเวลารับบำนาญตอนอายุ 60 นั่นเอง

2.2 คำนวณเงินลงทุน

เมื่อได้เงินก้อนในวันที่เกษียณเป็นเป้าหมายหลักเรียบร้อย จึงจะค่อยทำการคำนวณออกมาว่า ควรจะลงทุนเท่าใด (จากในรูปด้านบน คือลงทุนปีละ 74,940 บาท) ตามระยะเวลาการลงทุนที่ต้องการ (21 ปีหรือจนถึงอายุครบ 55 ปี) เพื่อออกมาเป็นแผนภาพรวมในการยึดปฏิบัติ

2.3 เลือกกองทุน บันทึกผล และปรับปรุงแผน

กองทุนที่เลือกมาใช้ในแผนนั้น ควรเลือกให้เหมาะสมกับหน้าที่ ระยะเวลาที่จะใช้งาน และการกระจายความเสี่ยงที่ดี โดยเฉพาะกองทุนที่เป็นแกนหลัก (คลิกดู วิธีการจัดพอร์ตกองทุน RMF) ที่สำคัญที่สุดกองทุนรวมไม่ใช่ประกันบำนาญ เพราะยังสามารถเปลี่ยนแปลงเงินลงทุนและระยะเวลาการลงทุนได้ ทำให้การมีโปรแกรมที่คำนวณปรับแผนให้เหมาะสมตามสถานการณ์ได้ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะขาดไม่ได้เลยในขั้นตอนนี้


อย่างไรก็ตาม การจัดการเบี้ยสุขภาพหลังเกษียณด้วยกองทุนรวม อัตราความสำเร็จที่จะจ่ายเบี้ยได้ครบนั้น จะไม่ได้สำเร็จ 100% ในทุกอายุเหมือนกับของประกันบำนาญ เนื่องด้วยเพราะกองทุนรวมมีความผันผวนอยู่ในตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่ย่อมเสี่ยงสูงและมีความผันผวนสูงมากเช่นกัน

ทำให้เมื่อใดที่มี การจำลองสุ่มผลตอบแทน (ตามความผันผวนที่คาดการณ์ไว้) ขึ้นมาประมาณ 500 - 600 สถานการณ์ จะพบว่าในช่วงอายุเกษียณท้าย ๆ อัตราความสำเร็จของสถานการณ์ที่จ่ายเบี้ยได้ครบจะไม่ได้สูงมากนัก ดังกราฟเส้นสีน้ำเงิน ด้านล่างนี้

หมายเหตุ : หากไม่เอาบำเหน็จโรคร้าย จะใช้เงินลงทุนรวมลดลงจาก 1.57 ล้านบาท เหลือที่ 1.18 ล้านบาท

บำนาญ0

จากกราฟเส้นสีน้ำเงิน

จะเห็นได้ว่า อัตราความสำเร็จจะเริ่มลดจาก 100% ลงมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่อายุประมาณ 76 ปี และอัตราความสำเร็จ หรือ อัตราความอยู่รอดของกองทุน จะไม่ถึง 50% ตั้งแต่อายุ 91 ปีเป็นต้นไป (หมายความว่า หากสุ่มสถานการณ์ขึ้นมา 600 สถานการณ์ จะมีน้อยกว่า 300 สถานการณ์ที่กองทุนรวมจะสามารถจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพได้สำเร็จ)

3. แบ่งสัดส่วนการจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพ
ระหว่างประกันบำนาญ และกองทุน

แม้กองทุนรวมจะใช้เงินลงทุนเพียง 1.57 ล้านบาท (ได้ทั้งเบี้ยสุขภาพและบำเหน็จโรคร้าย แต่ถ้าเน้นเฉพาะเบี้ยสุขภาพเงินลงทุนส่วนนี้จะอยู่ที่ 1.18 ล้านบาท) ซึ่งน้อยกว่าเบี้ยรวมของประกันบำนาญที่ 3.2 ล้านบาท ที่เน้นจ่ายเฉพาะเบี้ยสุขภาพอย่างมาก

แต่จากปัญหาอัตราความสำเร็จของของกองทุนรวมที่ลดลงมากในช่วงอายุท้าย ๆ ก็ย่อมทำให้เกิดความลังเลใจที่จะเลือกใช้กองทุนรวมเพียงอย่างเดียวในการจัดการเบี้ยสุขภาพ

ดังนั้นจึงได้เกิด แนวคิดที่จะนำประกันบำนาญมาช่วยจ่ายเบี้ยสุขภาพร่วมด้วย ซึ่งน่าจะส่งผลให้อัตราความสำเร็จของกองทุนรวมเพิ่มมากขึ้น โดยจากที่เครื่องมือประกันบำนาญแนะนำว่าควรต้องได้รับเงินบำนาญ 2.4 แสนบาทต่อปี หรือ 20,636 บาทต่อเดือน (เพื่อให้สามารถจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณได้ครบสัญญา)

แต่ในครั้งนี้ จะใช้เงินบำนาญเพียงช่วยจ่ายเบี้ยบางส่วนเท่านั้น จึงได้ลดเงินบำนาญลงให้เหลือที่ 50% หรือ 10,318 บาทต่อเดือนแทน(แล้วที่เหลือให้กองทุนจ่าย)

ประกันบำนาญสุขภาพ3

โดยให้ทำการคีย์ข้อมูลของ บำนาญต่อเดือนที่ต้องการนี้ ลงในโปรแกรมดังตัวอย่างรูปโปรแกรม ซึ่งจะพบว่าจากที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันบำนาญรวมที่ 3.2 ล้านบาท (หรือ 1.2 แสนต่อปี) ก็จะลดเบี้ยประกันบำนาญลงครึ่งหนึ่งเหลือที่ 1.6 ล้านบาท (หรือ 62,073 บาทต่อปี) เท่านั้น

และพอนำเงินบำนาญ 50% ที่ได้นี้ มาช่วยจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพ (พร้อมกับกองทุนรวมที่ลงทุนไป 1.18 ล้านบาทที่ช่วยจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพที่เหลือ) จะพบว่าอัตราความสำเร็จที่ได้สูงขึ้นอย่างน่าสนใจ

ทางเราจึงได้ทดลองลดบำนาญลงอีกโดยให้เหลือที่ 33%, 25% และ 10% ตามลำดับ เพื่อจำลองหาอัตราความสำเร็จร่วม อีกครั้งว่า สัดส่วนประกันบำนาญที่ลดลงตามลำดับ และเพิ่มสัดส่วนของกองทุนขึ้นนี้ จะยังเพียงพอที่จะเสริมอัตราความสำเร็จให้สูงขึ้นได้หรือไม่ เพียงใด จึงได้ผลลัพธ์ออกมาดังกราฟ ต่อไปนี้

3.1 อัตราความสำเร็จของสัดส่วน : กองทุน + ประกันบำนาญ 50% ของเบี้ยสุขภาพ

บำนาญ50

3.2 อัตราความสำเร็จของสัดส่วน : กองทุน + ประกันบำนาญ 33% ของเบี้ยสุขภาพ

บำนาญ33

3.3 อัตราความสำเร็จของสัดส่วน : กองทุน + ประกันบำนาญ 25% ของเบี้ยสุขภาพ

บำนาญ25

3.4 อัตราความสำเร็จของสัดส่วน : กองทุน + ประกันบำนาญ 10% ของเบี้ยสุขภาพ

บำนาญ10

จากกราฟผลลัพธ์ทั้ง 4 กราฟ จะเห็นได้ชัดเจนว่า ประกันบำนาญสามารถช่วยยกระดับอัตราความสำเร็จของกองทุนรวมได้สูงอย่างมาก ทั้งนี้จะสามารถเปรียบเทียบในแง่ของ เงินลงทุนในกองทุน ร่วมกับ เบี้ยประกันบำนาญของบำนาญ % ต่าง ๆ ได้ดังนี้

เบี้ยประกันสุขภาพของอายุ 55 - 98 ปี ทั้งหมดเท่ากับ 9,965,799 บาท

(%) เงินบำนาญช่วยจ่ายเบี้ย ป.สุขภาพ อายุ 60 - 98 ปี

รวมเบี้ยประกันบำนาญ

(บาท)

รวมเบี้ยป.สุขภาพของอายุ 55 - 59 ปี (บาท)

*เงินลงทุน กองทุนสุขภาพ ไว้จ่ายเบี้ย ป.สุขภาพ อายุ 55 - 98 ปี

(บาท)

รวมเงินทั้งหมด

(บาท)

100%

3,200,974

308,474

-

3,509,448

50%

1,613,900

-

1,184,293

2,798,193

33%

1,075,986

-

1,184,293

2,260,279

25%

806,962

-

1,184,293

1,991,255

10%

336,259

-

1,184,293

1,520,552

0%

-

-

1,184,293

1,184,293

*หมายเหตุ : ประกันบำนาญจะจ่ายเบี้ยสุขภาพตั้งแต่อายุ 60-98 ปี แต่กองทุนรวมจะจ่ายเบี้ยสุขภาพตั้งแต่อายุ 55-98 ปี ดังนั้นเพื่อความยุติธรรมในการเปรียบเทียบ จึงควรบวกเบี้ยสุขภาพอายุ 55-59 ให้กับเบี้ยประกันบำนาญ 3.2 ล้านบาทร่วมด้วย ซึ่งจะทำให้ได้การเปรียบเทียบกันระหว่างกองทุนรวม 1.18 ล้านบาท กับประกันบำนาญ 3.5 ล้านบาท สำหรับเบี้ยสุขภาพอายุ 55-98 ปี (ที่ต้องให้กองทุนสุขภาพเริ่มจ่ายเบี้ยสุขภาพตอนอายุ 55 ปี เนื่องจากกองทุน RMF จะเริ่มขายออกมาได้ตอนอายุ 55 ปี)

*เงินลงทุนในกองทุนรวม ใช้ช่วยจ่ายเบี้ยป.สุขภาพ ตั้งแต่อายุ 55 - 98 ปี

สิ่งที่น่าสนใจจะอยู่ที่ การเสริมกองทุนรวมด้วยเงินบำนาญ 50% นั้นทำให้ อัตราความสำเร็จสูงขึ้นและเกือบได้ 100% ในทุกช่วงอายุ ถึงแม้ว่าช่วงอายุ 86-98 ปี อัตราความสำเร็จจะน้อยกว่า 100% แต่ก็ยังสูงกว่า 90%

ในขณะที่จำนวนเงินที่ต้องใช้ จะลดลงจาก 3.5 ล้านบาท เหลือเพียง 2.8 ล้านบาทเท่านั้น (หรือประหยัดไปได้ถึงกว่า 7 แสนบาท) หรือถ้าหากยอมรับอัตราความสำเร็จที่ลดลงกว่านี้ได้อีก โดยมองว่าอาจไม่ได้อายุยืนถึง ก็จะทำให้ประหยัดเงินได้มากขึ้นไปอีก

สรุปการใช้กองทุนรวมร่วมกับประกันบำนาญ

จากผลลัพธ์ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่า การใช้เครื่องมือการเงิน (ทั้งประกันบำนาญและกองทุนรวม ร่วมกันในการจัดการเบี้ยสุขภาพหลังเกษียณ)  เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะ ช่วยให้ประหยัดเงินได้มาก และยังคงอัตราความสำเร็จที่สูงไว้ได้

โดย ควรยกระดับอัตราความสำเร็จของกองทุนรวม ด้วยประกันบำนาญ เท่าที่พอทำได้ก่อนตามสถานการณ์ในปัจจุบัน

ในอนาคตค่อยทำประกันบำนาญเพิ่ม หรือหากในอนาคตไม่มีประกันบำนาญที่ผลตอบแทนดีแบบเดิมให้เลือกอีกแล้ว ก็สามารถอาศัยการเพิ่มอัตราความสำเร็จด้วย BUFFER (เพิ่มเงินลงทุน) ทดแทนได้ ผ่านการติดตามและปรับปรุงแผนการลงทุนในภายหลังต่อไป

หากเปลี่ยนจากการลงทุนด้วยเงิน 21 ปี ให้น้อยลง เหลือเพียง 5 ปี จากเดิมใช้เงิน 1,184,293 บ. จะเหลือเพียง 728,587 บ. (แบบไม่มี BUFFER)

ปีลงทุนที่ลดลง เงินลงทุนที่ใช้จึงก้อนใหญ่ขึ้น ต้องระวังเรื่องจังหวะการลงทุน และ ต้องระวังไม่ให้เกินสิทธิลดหย่อนภาษี RMF/SSF (สามารถคำนวณเบื้องต้นผ่านเครื่องมือวางแผนภาษีด้วยการออมจากลิงก์ด้านล่าง)

ดังนั้นการออมเพื่อลดหย่อนภาษี สามารถกลายผลลัพธ์เป็น

"ประกันสุขภาพเหมาจ่ายตลอดชีพได้"

ด้วยการใช้เครื่องมือคำนวณประกันบำนาญ

ด้วยการใช้เครื่องมือคำนวณกองทุนบำนาญและสุขภาพ

วิธีการใช้งาน เครื่องมือการเงินเพื่อวางแผนเบี้ยประกันสุขภาพตอนเกษียณ แบบลงรายละเอียด

การวางแผนเก็บเงินและเกษียณอย่างจริงจัง เริ่มขึ้น เมื่อเข้าใจ..

วิธีใช้ธรรมชาติของเครื่องมือการเงินที่จำเป็นให้เกิดประโยชน์สูงสุด

"ตน (ในปัจจุบัน) จักเป็นที่พึ่งของตน (ในอนาคต)"

เกี่ยวกับผู้เขียน

  • แอนนี่ค่ะ2

    จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตการทำงานทั้งหมดของแอนนี่ในสายงาน CRM ได้พบว่า ความไม่รู้ เป็นศัตรูที่แพงอย่างมากในโลกของการเงิน ซึ่งในหลายครั้งกว่าจะรู้และเข้าใจก็อาจจะสายไปแล้ว และนี้คือสาเหตุใหญ่ที่ทางเรา จะแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ โดยให้ความรู้ทางการเงินที่ดีและเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงการป้องกันไม่ให้ถูกเอาเปรียบจากความไม่รู้นี้ ผ่านเว็บไซต์ Release your Risk ที่ต้องการให้ทุกคนได้ปล่อยความเสี่ยงที่ตนเองถือไว้อยู่ ผ่านเครื่องมือทางการเงินด้วยความเข้าใจ และมีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ

>
Scroll to Top

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน ซึ่งสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ตกลงทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก