"มาตรฐานใหม่นี้ปิดช่องไม่ให้บริษัทประกันเอาเปรียบลูกค้าที่สุจริต ได้จริงหรือไม่?"
มาตรฐานประกันสุขภาพปรับปรุงครั้งสุดท้ายปี 2549 และได้ออกมาตรฐานใหม่ (New Health Standard) มาในปี 2562 กับมีการปรับปรุงอีกในปี 2564 และจะบังคับใช้จริงให้มีเฉพาะสัญญาประกันสุขภาพมาตรฐานใหม่ในทุกบริษัทประกันตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2565 นี้ (ซึ่งหลายบริษัทได้เปลี่ยนเป็นมาตรฐานใหม่เสร็จสิ้นตั้งแต่ปลายปี 2564 ถึงต้นปี 2565 เรียบร้อยแล้ว) ทำให้ต้องรอนานกว่า 15 ปีกับปัญหาที่ร้องเรียนมากมาย
ซึ่งปัญหาทั้งหมดนี้ ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะ ไม่ได้มีการกำหนดรายละเอียดลงไปอย่างชัดเจน ตั้งแต่มาตรฐานปี 2549 ทำให้แต่ละบริษัทจึงสามารถเลือกปฏิบัติให้แตกต่างกันได้ และหลายครั้งไม่ใช่เพียงเพราะต้องการกันลูกค้าที่ทุจริตออกไป แต่ยังไปกระทบลูกค้าที่สุจริตใจไปด้วย
จึงทำให้เกิดมาตรฐานใหม่ที่จะกล่าวต่อไปนี้ขึ้นมา เพื่อทำให้ทั้ง
- มาตรฐานบริษัทประกันชีวิต (ปี62) และ มาตรฐานบริษัทประกันชีวิต (ปี64 อัพเดท copayment และยกเลิกการให้ลูกค้าเก่าได้เลือกมาตรฐาน)
- มาตรฐานบริษัทประกันวินาศภัย (ปี62) และ มาตรฐานบริษัทประกันชวินาศภัย (ปี64 อัพเดท copayment และยกเลิกการให้ลูกค้าเก่าได้เลือกมาตรฐาน)
เป็นมาตรฐานทางสัญญาประกันสุขภาพในแบบเดียวกัน
มาลองดูกันว่ามาตรฐานใหม่นี้จะแก้ปัญหาเดิม ๆ ที่ผ่านมาได้จริงหรือไม่ ซึ่งทางแอนนี่เองบอกได้เลยว่า มาตรฐานนี้ส่งผลโดยตรงต่อการนำเสนอขายของตัวแทนอย่างมากค่ะ ไปดูกันเลย!
ปัญหา : การไม่ต่ออายุสัญญาประกันสุขภาพ
มาตรฐานเก่าปี 2549
ที่สัญญาระบุว่า “บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการต่ออายุในรอบปีกรมธรรม์ถัดไป” มีจุดประสงค์เพื่อคัดกรองบุคคลที่มีการเคลมเยอะแบบผิดปกติออกจากกลุ่มผู้เอาประกัน เพราะจะส่งผลกระทบต่อเงินกองกลางของผู้เอาประกันทั้งหมด ที่ถูกเอาไปใช้อย่างไม่ยุติธรรม
แนวคิดดูน่าสนใจ แต่ในการปฏิบัติจริงกลายเป็นว่า มีบริษัทนำข้อสัญญานี้ไปใช้เพื่อไม่ต่อสัญญาให้กับผู้เอาประกันที่ก็ได้เคลมอย่างสุจริตใจตามความจำเป็นทางการแพทย์ออกไป เพราะเห็นว่าจำนวนเงินที่เคลมจะเยอะมากในทุก ๆ ปี เนื่องจากได้ป่วยเป็นโรคเรื้อรังแล้ว จึงทำให้เกิดข้อพิพาทในประเด็นนี้ขึ้นบ่อยครั้งมากค่ะ
มาตรฐานใหม่ปี 2564
สัญญาระบุว่า จะไม่ต่อสัญญา เมื่อ:
- มีหลักฐานพบว่า ผู้เอาประกันภัยไม่แถลงข้อความจริงตามใบคำขอเอาประกัน หรือคำขอต่ออายุ ใบแถลงสุขภาพ หรือข้อแถลงเพิ่มเติมอื่นใดที่เกี่ยวข้อง
- ผู้เอาประกันภัยเรียกร้องผลประโยชน์ จากการที่ตนให้มีการรักษาการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยที่ ไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์
- ผู้เอาประกันภัยเรียกร้องผลประโยชน์ค่าชดเชยจากการนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล รวมกันทุกบริษัทเกินกว่ารายได้ที่แท้จริง (เช่น รายได้จริงต่อวัน ๆ ละ 1,000 แต่ทำประกันชดเชยรวมทั้งหมด 5,000 บาทต่อวัน)
ทำให้เห็นว่า มาตรฐานใหม่มีการระบุอย่างชัดเจน ทำให้บริษัทจะไม่ต่อสัญญาไม่ได้ ถ้าไม่ได้เข้าเงื่อนไขเหล่านี้
ปัญหา : การเพิ่มเบี้ยประกันสุขภาพรายบุคคล
มาตรฐานเก่าปี 2549
มาตรฐานใหม่ปี 2564
การเพิ่มเบี้ยจะ ไม่สามารถเพิ่มรายบุคคลได้ แต่ต้องพิจารณารวมกันทั้งหมดของผู้เอาประกัน หากพิจารณาแล้วเห็นว่า มีอัตราการเคลมที่สูงโดยรวมทั้งหมด และอาจทำให้เงินกองกลางไม่เพียงพอ บริษัทก็สามารถยื่นเรื่องไปยังนายทะเบียน เพื่อพิจารณาขอเพิ่มเบี้ยประกันทั้งหมดของสัญญาประกันสุขภาพนั้น ๆ ได้
ทำให้โอกาสที่จะเกิดข้อพิพาทนั้น ลดลงอย่างมาก เพราะการที่คนทำประกันสุขภาพ ก็เพื่อช่วยจัดการเหตุที่เลวร้ายอย่างการเป็นโรคร้ายแรง หรือโรคเรื้อรังเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนว่าโอกาสการเกิดเป็นโรคนั้นไม่ได้สูงมาก และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อเงินกองกลางได้ง่าย ๆ และไม่ได้เป็นการผลักภาระไปให้นายทะเบียนพิจารณาบ่อยครั้งจนเกินไปด้วยค่ะ
แต่ก็มีแนวโน้มว่า หากมีคนกลุ่มที่เป็นโรคเรื้อรังมากขึ้น หรือมีคนที่มักเคลมค่ารักษาสุขภาพบ่อย ๆ ที่ยังอยู่ในขอบเขตความจำเป็นทางการแพทย์ เพื่อให้คุ้มค่ากับเบี้ยประกันที่จ่ายไปตามคำโฆษณาของตัวแทน ก็จะทำให้ไม่ยุติธรรมต่อผู้เอาประกันคนอื่น ที่ไม่ค่อยได้เคลมหรือไม่เคยเคลมเลย (ก็มี) แต่กลับต้องมาแบกรับภาระโดนปรับขึ้นเบี้ยประกันไปด้วย
ทำให้มาตรฐานใหม่ยังเปิดช่องให้ บริษัทใช้ดุลยพินิจในการจัดการลดความเสี่ยงนี้ผ่านการลดการรับภัยรายบุคคล หรือ copayment ได้ เช่น จากแต่ก่อนบริษัทรับ 100% ของค่ารักษาตามสิทธิ ก็จะเหลือรับได้ต่ำที่สุดที่ 50%-70% ได้ ซึ่งทำให้ผู้เอาประกันต้องช่วยออกค่าใช้จ่ายที่เหลือเอง 30%-50% ของค่ารักษาตามสิทธิ รวมไปถึงค่ารักษาส่วนที่เกินสิทธิค่ารักษาด้วย
แต่ทั้งนี้บริษัทประกันเองก็อาจจะลดเบี้ยประกันลงให้ได้เช่นกัน หากมีการบังคับใช้ copayment ค่ะ
ซึ่งจะแตกต่างกับแบบเดิมที่หากเจอเคสลักษณะนี้ บริษัทประกันอาจขอเพิ่มเบี้ยที่สูงขึ้นมากในรายบุคคล หรือพิจารณาไม่รับต่ออายุสัญญาประกันสุขภาพไปเลย (ก็เป็นไปได้ค่ะ)
ดังนั้น มาตรฐานใหม่นี้จริง ๆ ก็ยังเปิดช่องการจัดการเบี้ยรายบุคคลคล้ายมาตรฐานเก่าอยู่ เพียงแต่ไม่ใช่เป็นการเพิ่มเบี้ย แต่เปลี่ยนเป็นการ ขอรับความเสี่ยงที่น้อยลงและมาร่วมจ่ายค่ารักษาด้วยกัน แทนค่ะ
โดยเงื่อนไขการถูกให้ copayment 30% จะเป็นข้อใดข้อหนึ่งดังนี้ (อัพเดทปี 64 เพิ่มเติมจากของปี 62)
- อยู่ในดุลยพินิจของบริษัท ?!? หรือ
- ในปีนั้นผู้เอาประกันภัยแต่ละรายมีการเคลมค่ารักษาด้วยโรคเล็กน้อยทั่วไป Simple Disease (โรคทางเดินหายใจส่วนบนอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ ท้องเสียฉับพลัน วิงเวียนศีรษะ อื่นๆ) สูงกว่า 2 เท่าของเบี้ยประกันปีนั้น และเคลม 3 ครั้งขึ้นไปต่อปีกรมธรรม์ หรือ
- ในปีนั้นผู้เอาประกันภัยแต่ละรายมีการเคลมสูงกว่า 4 เท่าของเบี้ยประกันปีกรมธรรม์นั้น และเคลม 3 ครั้งขึ้นไป โดยที่ไม่ใช่การเคลมจากการผ่าตัดใหญ่ หรือ จากการรักษาโรคร้ายแรง
- และหากข้อ 1-3 เข้าข่าย 2 ข้อขึ้นไป ผู้เอาประกันสามารถถูกให้ copayment สูงสุดถึง 50% ได้
ดังนั้นการเลือกแผนประกันสุขภาพ เพราะ จะพยายามจงใจเคลมไห้ได้มากกว่าเบี้ยที่จ่ายไปในทุกปี จึงเสี่ยงสูงมากที่จะทั้งถูกให้โดนให้ copayment และทำให้การทำประกันสุขภาพตัวใหม่ๆ ยากมากขึ้นค่ะ
ปัญหา : การถูกปรับเป็น Copayment รายบุคคล
มาตรฐานเก่าปี 2549
มาตรฐานใหม่ปี 2564
ในมาตรฐานใหม่เนื่องจากไม่สามารถเพิ่มเบี้ยรายบุคคลได้ จะต้องปรับเพิ่มทั้งพอร์ตเท่านั้น โดยปี 68 นี้ มีบริษัทประกันชีวิตหนึ่ง ที่มีทั้งการปรับเบี้ยเพิ่มทั้งพอร์ตขึ้นอีก 20% และทั้งระบุเงื่อนไข copayment ที่ชัดเจนตามประกาศของ คปภ. ปี 64 (เนื่องจากของเดิมแจ้งเพียงว่าจะสามารถปรับเป็น copayment ได้ตามประกาศปี 62 เท่านั้น)
ดังนั้นสิ่งที่ต้องระวังให้มาก ในการเลือกบริษัทประกันชีวิตที่จะทำประกันสุขภาพด้วย จะไม่ใช่เพียงพิจารณาเรื่อง copayment เท่านั้น แต่ต้องพิจารณาว่าบริษัทมีประวัติการใช้เงื่อนไขการปรับเบี้ยเพิ่มทั้งพอร์ตหรือไม่ด้วย เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วการใช้เงื่อนไขนี้จะค่อนข้างร้ายแรงมาก
ซึ่งบริษัทประกันชีวิตมักจะหลีกเลี่ยงการใช้เงื่อนไขนี้ โดยเลือกที่จะทำการปิดรับสมัครแผนเก่าลง และเปิดแผนใหม่ที่เบี้ยปรับตัวสูงขึ้นมากมาทดแทน เพื่ออย่างน้อยไม่ให้กระทบกับผู้ทำประกันเก่าที่ทำมาก่อน และป้องกันความเสี่ยงใหม่ที่จะเกิดขึ้น
แต่ถ้าวิธีปิดแผนเก่าเปิดแผนใหม่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ก็จะทำให้จำเป็นต้องเลือกใช้เงื่อนไขปรับทั้งพอร์ตนี้ โดยมักจะเกิดขึ้นกับบริษัทประกันชีวิตที่อาจทำการตลาดผิดพลาด เช่น เบี้ยถูกกว่าบริษัทอื่นมาก หรือ เคลมง่ายกว่าบริษัทอื่นมาก ทั้ง ๆ ที่มีประวัติว่าเป็นมาก่อนทำประกันก็ยังสามารถให้เคลมได้ เป็นต้น ซึ่งการตลาดวิธีนี้จะดึงดูดลูกค้าได้จำนวนมากในช่วงแรกจริง แต่จะส่งผลให้เกิดปัญหาในระยะยาวขึ้นมาแทน เมื่อยอมเคลมสูงกว่าเบี้ยที่รับเข้ามาอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อนำเงื่อนไขการปรับเบี้ยเพิ่มทั้งพอร์ต มาเปรียบเทียบกับ copayment แล้ว จะเห็นได้ว่า copayment รุนแรงน้อยกว่าพอสมควร และ เน้นใช้ไปที่ผู้ทำประกันที่มักเคลมด้วยโรคเจ็บป่วยเล็กน้อยเกินความจำเป็นเท่านั้น (บริษัทประกันไม่สามารถห้ามทาง รพ. ได้ จึงต้องใช้วิธีนี้แทน)
การปรับใช้ มาตรการ Copayment อย่างจริงจังในปี 68 นั้น เกิดจากมีบริษัทประกันชีวิตที่ต้องการปรับใช้อย่างจริงจัง และได้มีการประชุมกับทางสมาคมบริษัทประกันชีวิต จนได้ประชุมกับ คปภ. และทาง คปภ. รับทราบและอนุมัติ
โดยประกันสุขภาพแบบเก่าที่ไม่มี Copayment จะยังคงป้องกันการเคลมแอดมิตเจ็บป่วยเล็กน้อย ผ่านการให้ทำ
pre-admit เข้ามาทางสินไหมเหมือนเดิมก่อน ว่าอาการถึงเกณฑ์ความจำเป็นทางการแพทย์ที่ต้องแอดมิตหรือยัง
ในขณะที่ประกันสุขภาพแบบใหม่ที่มี Copayment (ฝั่งบริษัทประกันภัยจะได้ใช้แบบนี้ตั้งแต่ปี 64-65) จะไม่มีการ pre-admit โรคเจ็บป่วยเล็กน้อย ถ้าแพทย์ให้แอดมิตก็แอดมิตได้ เพียงแต่ถ้าแอดมิตด้วยโรคเจ็บป่วยเล็กน้อยเกินจำนวนครั้งที่กำหนดต่อปี และเกินเบี้ยที่จ่ายตามเงื่อนไข ก็จะปรับเป็น copayment ให้ร่วมจ่ายในปีกรมธรรม์ถัดไปโดยอัตโนมัติ เพื่อทำให้ลดการเคลมที่ไม่จำเป็นลง
ซึ่งเงื่อนไขถูกให้มี copayment ร่วมจ่ายสูงสุด 30% ในปี กธ. ถัดไปตามประกาศ คปภ. จะมีดังนี้
1. มีการเคลมโรค simple disease เกินกว่า 3 ครั้งต่อปี “และ” ยอดเคลมเกิน 200% ของเบี้ยในปีนั้นค่ะ
(จะมีอธิบายเกี่ยวกับ simple disease ในลิงก์นี้ค่ะ https://releaseyourrisk.com/bla-appclaim/ )
2. มีการเคลมที่ไม่ใช่ผ่าตัดใหญ่หรือโรคร้ายแรง เกินกว่า 3 ครั้ง "และ" ยอดเคลมเกิน 400% ของเบี้ยในปีนั้น
และหากเป็นทั้งข้อ 1 และ 2 จะถูกปรับเป็น Copayment ได้สูงสุด 50% ในปีกรมธรรม์ถัดไป (แต่ถ้าปีกรมธรรม์ถัดไปไม่มีการเคลมใดๆ ที่เข้าเกณฑ์เลย ก็มีโอกาสสูงที่ปีกรมธรรม์ถัดจากนั้นจะเอา copayment ออกค่ะคุณผึ้ง)
ซึ่งถ้าพิจารณาจากเกณฑ์ข้อ 1 และ 2 แล้วจะค่อนข้างยากพอสมควรที่จะเคลมเกินเกณฑ์ข้อ 1 และ 2 ได้ง่ายนัก
โดยข้อ 1 จะกระทบกับประกันสุขภาพเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ที่ร่างกายแข็งแรงและเลือกทานยาเองได้ง่าย (กับอาจกระทบตอนที่สูงอายุมากๆ ที่ร่างกายอ่อนแอลงมาก แต่หากแพทย์ระบุว่ามีภาวะแทรกซ้อนร่วมกับ simple disease ก็จะไม่นับเป็น simple disease แล้วไปพิจารณาเกณฑ์ข้อ 2 แทน)
ในส่วนข้อ 2 จะกระทบกับตอนสูงอายุมาก ๆ โดยตรง ที่ถึงมีภาวะแทรกซ้อน และเน้นนอนรักษาตัวอย่างเดียว เว้นแต่ที่ร่างกายอ่อนแอลง มีความเกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรงที่เป็นตอนสูงอายุ แต่อย่างไรก็ตามเบี้ยประกันสุขภาพตอนสูงอายุนั้นอยู่ที่ประมาณหลักแสนขึ้นไป การจะเคลมสูงถึง 400% ของเบี้ย ด้วยการ นอน รพ. ที่ไม่ใช่เพราะการผ่าตัด จึงจะค่อนข้างยากอยู่ดีในปัจจุบัน
และเนื่องจากข้อ 1 และ 2 จะเป็นค่อนข้างยากแล้ว (ถ้ากไม่เคลม Simple Disease หรือ โรคทั่วไปที่เกิดจากค่าตรวจวัดสุขภาพบางตัวเกินเกณฑ์ Simple Disease เล็กน้อย) จึงทำให้การถูกปรับ Copayment 50% จะยากอย่างมาก และทำให้เงื่อนไข Copayment นี้ เมื่อมีการปรับใช้จริงจะไม่ได้น่ากลัวมากนัก และผู้ทำประกันฝั่งประกันภัยเองก็ปรับใช้กันมาหลายปีแล้ว
ที่สำคัญในกรณี Copayment นั้น ในความเป็นจริงราคาที่ทาง รพ. แจ้งกับบริษัทประกัน กับราคาที่เรียกเก็บกับทางคนไข้ จะเป็นคนละราคากัน เช่น ค่ารักษาทั้งหมด 110,000 บ. ยื่นให้กับบริษัทประกัน บริษัทประกันประเมินแล้วอยู่ในความคุ้มครอง 100,000 บ. แต่เนื่องจากคิด copayment ที่ 30% ทำให้บริษัทประกันจะออกเพียง 70,000 บ. เท่านั้น
ซึ่งส่วน Copayment จำนวน 30,000 บ. กับอีก 10,000 บ. ที่บริษัทประกันไม่คุ้มครอง (เช่น ส่วนเกินค่าห้อง) รวมเป็น 40,000 บ. ที่คนไข้หรือผู้ทำประกันต้องออกเองนั้น รพ. จะไม่ได้เรียกเก็บเต็ม 40,000 บ. แต่จะคิดราคาแบบมีส่วนลดพิเศษของคนไข้และของตัวแทน ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจจะจ่ายเพียง 10,000 บ. หรือ น้อยกว่า (และนี้เป็นอีกหนึ่งความจริงที่น่ากลัวว่า รพ. เก็บค่ารักษาจากบริษัทประกันแพงกว่าปกติมากเพียงใด)
ดังนั้นสุดท้ายแล้วด้วยการที่ รพ. เอาเปรียบบริษัทประกันอย่างมากนี้เอง จึงทำให้ Copayment เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งข่าวอัพเดทล่าสุด ได้มีการตั้งกรอบเวลาแบบคร่าว ๆ ขึ้นมา จาก การประชุมกันระหว่าง สมาคมประกันวินาศภัย และ สมาคมประกันชีวิตว่า ประกันสุขภาพตั้งแต่ มี.ค.69 เป็นต้นไป จะมีเริ่มใช้ Copayment จริง (ซึ่งจะยังไม่ใช่ปี 68 นี้ โดยปี 68 จะเป็นกำหนดเงื่อนไข และเก็บข้อมูลการเคลมว่าผู้ทำประกันคนใดเข้าเงื่อนไขบังคับใช้ปี 69 บ้าง)
ปัญหา : หมวดผลประโยชน์ที่เข้าใจยากและมีข้อจำกัดด้านค่ารักษา
มาตรฐานเก่าปี 2549
มาตรฐานใหม่ปี 2564
มีการกำหนด 13 หมวดขึ้นมาอย่างชัดเจนและเหมือนกันทุกบริษัท หากบริษัทใดมีหรือไม่มีการให้ความคุ้มครองที่มากกว่าหรือน้อยกว่า 13 หมวดนี้ ก็จะสังเกตเห็นได้ง่าย และเปรียบเทียบกันได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายก็จะแยกออกไปตามหมวดนั้นตามทุนประกัน โดยให้มีความชัดเจนและเข้าใจง่าย ดังตัวอย่างนี้ค่ะ
- ค่าห้องและค่าอาหาร ค่าบริการในโรงพยาบาล (ผู้ป่วยใน) ต่อการเข้าพักรักษาเป็นผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง (ผลประโยชน์ข้อ 1.1 และ1.2 รวมกันสูงสุดไม่เกิน 180 วัน)
- ค่าบริการทางการแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยหรือบำบัดรักษา ค่าบริการโลหิตและส่วนประกอบของโลหิต ค่าบริการทางการพยาบาล ค่ายา ค่าสารอาหารทางหลอดเลือด และค่าเวชภัณฑ์ ต่อการเข้าพักรักษาเป็นผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง
- ค่าผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (แพทย์) ตรวจรักษา ต่อการเข้าพักรักษาเป็นผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง (สูงสุดไม่เกิน 180 วัน)
- ค่ารักษาพยาบาลโดยการผ่าตัด (ศัลยกรรม) และหัตถการ ต่อการเข้าพักรักษาเป็นผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง
- การผ่าตัดใหญ่ที่ไม่ต้องเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน (Day Surgery)
- ค่าบริการทางการแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยที่เกี่ยวข้องโดยตรงก่อนและหลังการเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน หรือค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกที่ต่อเนื่องเกี่ยวข้องโดยตรงหลังการเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน ต่อการเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง
- ค่ารักษาพยาบาลการบาดเจ็บ กรณีผู้ป่วยนอก ภายใน 24 ชั่วโมง ของการเกิดอุบัติเหตุต่อครั้ง
- ค่าเวชศาสตร์ฟื้นฟู หลังการเข้าพักรักษาเป็นผู้ป่วยใน สูงสุดไม่เกิน 30 วันต่อโรค แต่ละครั้ง ต่อรอบปีกรมธรรม์
- ค่าบริการทางการแพทย์เพื่อการบำบัดรักษาโรคไตวายเรื้อรัง โดยการล้างไตผ่านทางเส้นเลือด ต่อรอบปีกรมธรรม์
- ค่าบริการทางการแพทย์เพื่อการบำบัดรักษาโรคมะเร็ง โดยรังสีรักษา รังสีร่วมรักษา เวชศาสตร์นิวเคลียร์รักษา ต่อรอบปีกรมธรรม์
- ค่าบริการทางการแพทย์เพื่อการบำบัดรักษาโรคมะเร็ง โดยเคมีบำบัด ต่อรอบปีกรมธรรม์
- ค่าบริการรถพยาบาลฉุกเฉิน
- ค่ารักษาพยาบาล โดยการผ่าตัดเล็ก
การจัดหมวดดังนี้ ช่วยให้ลดปัญหาในการเคลมประกัน และความไม่ครอบคลุมค่ารักษาของประกันสุขภาพมาตรฐานเก่าได้มาก แต่ตัวแทนก็ยังจำเป็นต้องอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจถึงความหมายต่าง ๆ ของแต่ละหมวด ไม่อย่างนั้นพอจะเคลมขึ้นมาจริง ๆ ลูกค้าอาจไม่เข้าใจได้ว่า ทำไมส่วนนี้ถึงเคลมไม่ได้? เช่น อวัยวะเทียม หรือไม่ค้ำยันต่าง ๆ เป็นต้น
ปัญหา : มีข้อยกเว้นที่ไม่สมเหตุสมผล..เคลมไม่ได้
มาตรฐานเก่าปี 2549
บริษัทจะไม่รับเคลมประกันหากมีสาเหตุมาจากหนึ่งใน 5 สาเหตุที่ระบุไว้ในข้อยกเว้น 26 ข้อเดิม (ซึ่งเป็น 5 ข้อที่ถูกตัดออกไปจากมาตรฐานใหม่ค่ะ) คือ
- การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นขณะที่ผู้เอาประกันภัยเข้าร่วม ทะเลาะวิวาท หรือมีส่วนยั่วยุ ให้เกิดการทะเลาะวิวาท
- การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นขณะที่ผู้เอาประกันภัย กำลังขึ้น หรือ กำลังลง หรือ ขณะโดยสาร อยู่ในอากาศยานที่มิได้จดทะเบียนเพื่อบรรทุกผู้โดยสาร และมิได้เป็นสายการบินพาณิชย์
- การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นขณะที่ผู้เอาประกันภัย ขับขี่หรือปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานประจำ ในอากาศยานใด ๆ
- การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นขณะที่ผู้เอาประกันภัย ปฏิบัติหน้าที่เป็นทหาร ตำรวจ หรืออาสามัคร และเข้าปฏิบัติการ ในสงครามหรือปราบปราม
- การระเบิดของกัมมันตภาพรังสี หรือส่วนประกอบของนิวเคลียร์ หรือวัตถุอันตรายอื่นใด ที่อาจเกิดจากการระเบิดในกระบวนการนิวเคลียร์ได้
มาตรฐานใหม่ปี 2564
โดยมาตรฐานใหม่ได้ตัด 5 ข้อยกเว้นข้างต้นออกไป ให้เหลือข้อยกเว้นเพียง 21 ข้อต่อไปนี้เท่านั้น
- การเจ็บป่วยหรือการบาดเจ็บที่ยังมิได้รักษาให้หายก่อนวันเริ่มมีผลคุ้มครองตามสัญญาเพิ่มเติม (โรคเรื้อรัง) รวมถึงการตรวจรักษาภาวะที่เป็นมาแต่กําเนิด (Congenital) หรือปัญหาด้าานพัฒนาการ หรือโรคทางพันธุกรรม
- การตรวจรักษาหรือการผ่าตัดเพื่อเสริมสวย หรือการแก้ไขปัญหาผิวพรรณ สิว ฝ้า กระ รังแค ผมร่วงหรือการควบคุมน้ำหนักตัว หรือการผ่าตัดอันมีลักษณะเลือกได้ เว้นแต่เป็นการตกแต่งบาดแผลอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่ได้รับความคุ้มครอง
- การตั้งครรภ์ แท้งบุตร ทําแท้ง การคลอดบุตร โรคแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ การแก้ไขปัญหาการมีบุตรยาก (รวมถึงการสืบวิเคราะห์และการรักษา) การทําหมัน หรือการคุมกําเนิด
- โรคเอดส์หรือกามโรค หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- การตรวจรักษา หรือการป้องกัน การใช้ยาหรือสารต่างๆ เพื่อการชะลอความเสื่อมของวัย หรือการให้ฮอร์โมนทดแทนในวัยใกล้หมดหรือหมดระดู การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในหญิงหรือชาย การรักษาความผิดปกติทางเพศ และการแปลงเพศ
- การตรวจสุขภาพทั่วไป การร้องขอเข้าอยู่รักษาตัวในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลเวชกรรม หรือร้องขอการผ่าตัด การพักฟื้น หรือการพักเพื่อการฟื้นฟู หรือการรักษาโดยวิธีให้พักอยู่เฉย ๆ การตรวจวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุใด ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเข้ารักษาในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลเวชกรรม หรือคลินิก
- การตรวจวินิจฉัยการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย การรักษาหรือตรวจวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุ ซึ่งไม่ใช่ความจําเป็นทางการแพทย์ หรือไม่เป็นมาตรฐานทางการแพทย์และค่าพยาบาล
- การตรวจรักษาความผิดปกติเกี่ยวกับสายตา การทำเลสิค ค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์เพื่อช่วยในการมองเห็น หรือการรักษาความผิดปกติของการมองเห็น
- การตรวจรักษาหรือผ่าตัดเกี่ยวกับฟันหรือเหงือก การทําฟันปลอม การครอบฟ˞น การรักษารากฟัน อุดฟัน การจัดฟัน ขูดหินปูน ถอนฟัน การใส่รากฟันเทียม ยกเว้นในกรณีจำเป็นอันเนื่องจากการบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุ ทั้งนี้ไม่รวมค่าฟันปลอมและการครอบฟันและการรักษารากฟันหรือใส่รากเทียม
- การรักษาหรือการบําบัดการติดยาเสพติดให้โทษ บุหรี่ สุรา หรือสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท
- การตรวจรักษาอาการหรือโรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะทางจิต โรคทางจิตเวช หรือทางพฤติกรรม หรือความผิดปกติทางบุคลิกภาพรวมถึง สภาวะสมาธิสั้น ออธิสซึม เครียด ความผิดปกติของการกิน หรือความวิตกกังวล
- การตรวจรักษาที่ยังอยู่ในระหว่างทดลอง การตรวจหรือการรักษาโรค หรืออาการหยุดหายใจขณะหลับ การตรวจหรือการรักษาความผิดปกติของการนอนหลับ การนอนกรน
- การปลูกฝีหรือการฉีดวัคซีนป้องกันโรค ยกเว้นการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าภายหลังการถูกสัตว์ทําร้ายและวัคซีนป้องกันบาดทะยักภายหลังได้รับการบาดเจ็บ
- การตรวจรักษาที่ไม่ใช่แผนปัจจุบันรวมถึงแพทย์ทางเลือก ที่ไม่ได้ระบุความคุ้มครองอยู่ในสัญญาเพิ่มเติมนี้
ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการตรวจรักษาพยาบาลที่ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นแพทย์สั่งให้แก่ตัวเอง รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการตรวจรักษาพยาบาลจากแพทย์ ผู้ซึ่งเป็น บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้เอาประกันภัย - การฆ่าตัวตาย การพยายามฆ่าตัวตาย การทำร้ายร่างกายตนเอง หรือการพยายามทำร้ายร่างกายตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการกระทําโดยตนเองหรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทําไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างวิกลจริตหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้รวมถึง อุบัติเหตุจากการที่ผู้เอาประกันภัย กิน ดื่ม หรือฉีดยาหรือสารมีพิษเข้าร่างกาย การใช้ยาเกินกว่าที่แพทย์สั่ง
- การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการกระทําของผู้เอาประกันภัยขณะอยู่ภายใต้ฤทธิ์สุรา สารเสพติดหรือยาเสพติดให้โทษจนไม่สามารถครองสติได้ คําว่า "ขณะอยู่ภายใต้ฤทธิ์สุรา" นั้น ในกรณีที่มีการตรวจเลือดให้ถือเกณฑ์มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดตั้งแต่ 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป
- การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นขณะที่ผู้เอาประกันภัยก่ออาชญากรรมที่มีความผิดสถานหนัก หรือขณะถูกจับกุม หรือหนีการจับกุม
- การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นขณะที่ผู้เอาประกันภัย แข่งรถ หรือแข่งเรือทุกชนิด แข่งม้า แข่งสกีทุกชนิดรวมถึงเจ็ตสกีด้วยแข่งสเก็ต ชกมวย โดดร่ม (เว้นแต่การโดดร่มเพื่อรักษาชีวิต) ขณะกําลังขึ้นหรือกําลังลงหรือโดยสารอยู่ในบอลลูนหรือเครื่องร่อน เล่นบันจี้จัมพ์ ดําน้ำที่ต้องใช้ถังอากาศและเครื่องช่วยหายใจใต้น้ำ
- สงคราม การรุกราน การกระทําที่มุ่งร้ายของศัตรูต่างชาติ หรือการกระทําที่มุ่งร้ายคล้ายสงคราม ไม่ว่าจะได้มีการประกาศสงครามหรือไม่ก็ตาม สงครามกลางเมือง การแข็งข้อ การกบฏ การจลาจล การนัดหยุดงาน การก่อความวุ่นวาย การปฏิวัติ การรัฐประหาร การประกาศกฎอัยการศึก หรือเหตุการณ์ใดๆ ซึ่งจะเป็นเหตุให้มีการประกาศหรือคงไว้ซึ่งกฎอัยการศึก
- การก่อการร้าย
- การแผ่รังสีหรือกัมมันตภาพรังสีจากเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ และกรรมวิธีใด ๆ แห่งการแตกแยกตัวทางนิวเคลียร์ซึ่งดำเนินการติดต่อกันไปโดยตัวเอง
ปัญหา : การรักษาแบบผ่าตัดแต่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลที่เคลมได้เพียงบางโรค
มาตรฐานเก่าปี 2549
จะมีการกำหนดชื่อโรคชัดเจน และเรียกการผ่าตัดลักษณะที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลว่า Day Case ซึ่งมี 21 เคสด้วยกันดังต่อไปนี้ ที่สามารถเคลมค่ารักษาได้โดยไม่ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
- การสลายนิ่ว
- การตรวจเส้นเลือดหัวใจโดยการฉีดสี
- การผ่าตัดต้อกระจก
- การผ่าตัดโดยการส่องกล้องทุกชนิด
- การตรวจโดยการส่องกล้องทุกชนิด
- การผ่าตัด หรือเจาะไซนัส
- การรักษาริดสีดวงทวารโดยการฉีดยาหรือผูก
- การตัดก้อนเนื้อที่เต้านม
- การตัดชิ้เนื้อจากกระดูก
- การตัดชิ้นเนื้อเพื่อการวินิจฉัยจากอวัยวะใดๆ
- การตัดนิ้วมือหรือนิ้วเท้า
- การจัดกระดูกให้เข้าที่
- การเจาะตับ
- การเจาะไขกระดูก
- การเจาะช่องเยื่อหุ้มไขสันหลัง
- การเจาะช่องเยื่อหุ้มปอด
- การเจาะช่องเยื่อบุช่องท้อง
- การขูดมดลูก
- การตัดชิ้นเนื้อจากปากมดลูก
- การรักษา Bartholin′s Cyst
- การรักษาด้วยรังสีแกมม่า
มาตรฐานใหม่ปี 2564
โดยมาตรฐานใหม่ จะไม่มีการระบุเป็นชื่อโรค แต่กำหนดเป็นลักษณะของคำนิยามที่ครอบคลุมแทน อย่าง
- การผ่าตัดใหญ่ที่ไม่ต้องพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน (Day Surgery) หมายถึง การผ่าตัดใหญ่ หรือการทําหัตถการทดแทนการผ่าตัดใหญ่ หรือการใช้เครื่องมือบําบัดรักษาพิเศษที่สามารถทดแทนการผ่าตัดใหญ่ได้ โดยไม่ต้องมีการเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในในโรงพยาบาลการผ่าตัด
- การผ่าตัดเล็ก หมายถึง การผ่าตัดระดับผิวหนัง หรือชั้นใต้ผิวหนัง หรือชั้นเยื่อบุ โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ (Local/Topical Anaesthesia) หรือเฉพาะบริเวณ
ปัญหา : การให้สำรองจ่ายเพื่อขอตรวจสอบการไม่ได้เป็นโรคเรื้อรังมาก่อนทำประกัน
มาตรฐานเก่าปี 2549
ในมาตรฐานเก่านั้นจะมีเงื่อนไขกรองคนที่เป็นโรคเรื้อรังมาก่อนทำประกันออกไปโดยใช้สัญญานี้
- สภาพที่เป็นมาก่อนการเอาประกันภัย (Pre-existing Condition)
บริษัทจะไม่จ่ายผลประโยชน์ตามสัญญาเพิ่มเติมนี้ สำหรับโรคเรื้อรัง การเจ็บป่วย (รวมถึงภาวะแทรกซ้อน) หรือการบาดเจ็บ ที่ยังมิได้รักษาให้หายก่อนวันเริ่มมีผลคุ้มครองตามสัญญาเพิ่มเติม หรือวันต่ออายุกรณีสัญญาเพิ่มเติม สิ้นผลบังคับ (Reinstatement) ครั้งสุดท้ายแล้วแต่กรณีใดจะเกิดขึ้นหลังสุด เว้นแต่
- (ก) ผู้เอาประกันภัยได้แถลงให้บริษัททราบและบริษัทยินยอมรับความเสี่ยงภัย โดยไม่มีเงื่อนไขยกเว้นความคุ้มครองดังกล่าว หรือ
- (ข) สัญญาเพิ่มเติมนี้มีผลบังคับต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 3 ปี
- โดยโรคเรื้อรัง การบาดเจ็บ หรือการเจ็บป่วย ( รวมถึงภาวะแทรกซ้อน) นั้น ไม่ปรากฏอาการ ไม่ได้รับการตรวจรักษา หรือวินิจฉัยโดยแพทย์ หรือไม่ได้พบหรือปรึกษาแพทย์ในระยะ 5 ปีก่อนวันที่สัญญาเพิ่มเติมเริ่มมีผลบังคับเป็นครั้งแรก
ทำให้หากทำประกันสุขภาพเลยระยะเวลา 3 ปีไปแล้ว โอกาสที่จะไม่ต้องสำรองจ่ายจะสูงมาก แม้หากเกิดการเคลมค่ารักษาขึ้นมาก็อาจมีการขุดประวัติย้อนหลังเฉพาะก่อนทำสัญญา 5 ปีเท่านั้น โดยเฉพาะโรคเรื้อรังที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้อย่างความดันหรือเบาหวาน
มาตรฐานใหม่ปี 2564
แต่ในมาตรฐานใหม่นั้นจะมีเงื่อนไขกรองคนที่เป็นโรคเรื้อรังที่บังคับชัดเจน คือ
- สภาพที่เป็นมาก่อนการเอาประกันภัย (Pre-existing Condition) บริษัทจะไม่จ่ายผลประโยชน์ตามสัญญาเพิ่มเติมนี้ สำหรับโรคเรื้อรัง การเจ็บป่วย (รวมถึงภาวะแทรกซ้อน) หรือการบาดเจ็บ ที่ยังมิได้รักษาให้หายก่อนวันเริ่มมีผลคุ้มครองตามสัญญาเพิ่มเติม หรือวันต่ออายุกรณีสัญญาเพิ่มเติม สิ้นผลบังคับ (Reinstatement) ครั้งสุดท้ายแล้วแต่กรณีใดจะเกิดขึ้นหลังสุด เว้นแต่
- (ก) ผู้เอาประกันภัยได้แถลงให้บริษัททราบและบริษัทยินยอมรับความเสี่ยงภัย โดยไม่มีเงื่อนไขยกเว้นความคุ้มครองดังกล่าว หรือ
- (ข) โรคเรื้อรัง การบาดเจ็บ หรือการป่วย (รวมถึงภาวะแทรกซ้อน) นั้น ไม่ปรากฏอาการ ไม่ได้รับการตรวจรักษา หรือวินิจฉัยโดยแพทย์ หรือไม่ได้พบหรือปรึกษาแพทย์ ในระยะ 5 ปีก่อนวันที่สัญญาเพิ่มเติมที่เริ่มมี ผลคุ้มครองเป็นครั้งแรก และ ในช่วงเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่สัญญาเพิ่มเติมที่เริ่มมีผลคุ้มครองเป็นครั้งแรก
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ชัดเจนขึ้นว่า หากมีการเจ็บป่วยใดที่พบหรือปรึกษาแพทย์ใน 3 ปีหลังทำสัญญา จะมีการเก็บบันทึกเอาไว้เพื่อพิจารณาด้วย ไม่ใช่จะดูบันทึกพบแพทย์เพียงเฉพาะ 5 ปีก่อนทำสัญญาเท่านั้นในตอนที่อายุสัญญาได้เลย 3 ปีไปแล้วแบบมาตรฐานเก่า
ดังนั้นมาตรฐานใหม่นี้การเคลมค่ารักษาครั้งแรกแม้จะเลย 3 ปีไปแล้ว โดยเฉพาะกับโรคที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังจะมีโอกาสสูงมากที่ต้องสำรองจ่ายไปก่อน โดยจะมีการขุดดูประวัติการพบแพทย์ที่ยาวนานถึง 8 ปีด้วยกัน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้เป็นมาก่อนทำประกันจริง ๆ หรือถ้าหากเคยเป็นมาก่อน ก็ต้องหายนาน 8 ปีมาแล้ว
บทสรุปที่ผู้เอาประกันสามารถเลือกได้

โดยบริษัทประกันจะปรับใช้มาตรฐานใหม่ทั้งหมดภายในวันที่ 8 พ.ย. 64 นี้ เว้นแต่กับสัญญาสุขภาพแบบเก่าที่ลูกค้ายอมต่ออายุเรื่อยๆ
โดยที่บางบริษัทประกัน จะมีการแจ้งเตือนไปยังลูกค้าว่าแผนเก่าจะปิดตัวลงแล้ว และจะเปิดแผนใหม่ขึ้นมา หากลูกค้าคนใดจะเปลี่ยนใจไปใช้แผนใหม่แทนให้แจ้งทำเรื่องเข้ามา ซึ่งอาจมีโอกาสไม่นับเป้นการทำสัญญาใหม่ให้ค่ะ ถ้าแผนประกันเก่ากับแผนประกันใหม่มีความเสี่ยงภัยที่ใกล้เคียงกันจริงๆ
แต่ถ้าหากแผนเก่าต่างกับแผนใหม่มาก โอกาสต้องทำสัญญาใหม่ หากต้องการมาตรฐานใหม่ ก็มีสูงมากค่ะ
ทั้งนี้บริษัทบางแห่งก็มีการพยายามจะปรับแผนเก่าให้ตรงกับมาตรฐานใหม่แทน ก็จะทำให้ลูกค้าไม่ต้องเลือกอะไรค่ะ โดยเฉพาะในกรณีที่เบี้ยประกันไม่เพิ่มขึ้นค่ะ
ดังนั้นอาจต้องดูแนวโน้มของบริษัทนั้น ๆ ต่อไป ว่าจะถือโอกาสสละแผนที่ตนเองกำลังมีปัญหาอยู่ออกไป ด้วยข้อกำหนดใหม่ปี 64 ที่ไม่บังคับให้ลูกค้าเก่าได้เลือกมาตรฐาน หรือ จะใช้ประโยชน์จากเงื่อนไข copayment ใหม่นี้ให้เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาค่ะ
เห็นได้ว่า มาตรฐานใหม่ดีกว่า มาตรฐานเก่าหลายอย่าง เพราะมีขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทกว่า 14 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีจุดที่อาจยังเป็นกังวลอยู่คือ
- กังวลการปรับเบี้ยขึ้นทุกคน (แม้บางคนไม่ค่อยได้เคลมเลย แต่ก็ต้องโดนพ่วงไปด้วย) ให้ระวังต่อไปนี้
- ข้อนี้บริษัทเองก็ไม่อยากทำให้เสียชื่อเสียง (แต่การขึ้นทั้งพอร์ตนี้เป็นเรื่องปกติมากของฝั่งประกันภัย) คงเน้นใช้มาตรการลดการรับภัยเฉพาะบุคคล copayment มากกว่า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า การตลาดของบริษัทเป็นอย่างไร? หากเป็นแบบเน้นทำตลาดโดยที่ทำให้ลูกค้ามักเข้าใจผิดและเน้นจะเอากำไรจากเงินกองกลางของทุกคนเป็นหลักมากกว่าความจำเป็นทางการแพทย์ ก็ย่อมจะเกิดการเคลมที่เยอะมาก ทั้งนี้แม้บริษัทจะเล็งไม่ต่อสัญญาโดยใช้เงื่อนไขที่ว่า เคลมโดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์ ก็ตาม แต่ก็ต้องเข้าใจว่า รพ.เอกชน เองก็อยากได้เงินเหมือนกัน
- หรือ บริษัทมีการออกแผนประกันสุขภาพที่ถึงแม้จะรู้ว่าขาดทุนแน่นอนขึ้นมา เช่น ประกันเด็ก หรือประกันที่มีการให้ความคุ้มครองที่ไม่จำเป็นที่มีอยู่ในข้อยกเว้นมากเกินไป เพื่อเน้นใช้หาลูกค้าเข้ามาก่อน แล้วค่อยปิดแผนประกันนั้นลง จากนั้นค่อยทำการปรับอัตราเบี้ยให้สูงขึ้นทุกคนแทน ลูกค้าที่มีประวัติการเคลมแล้วก็ต้องยอมรับกติกานี้ เพราะอาจทำประกันกับที่อื่นไม่ได้แล้ว
- เงื่อนไขการไม่เป็นโรคเรื้อรังร้ายแรงมาก่อน ระยะเวลานานรวมกันกว่า 8 ปี ก็อาจเน้นมองว่า
- สัญญาสุขภาพเก่า หลายสัญญาก็ตีความเป็นลักษณะหายจากโรคเรื้อรังร้ายแรง ก่อนทำประกัน 5 ปี และ ดูอาการหลังทำประกัน 3 ปี แต่ก็ไม่ได้มีปัญหามากนัก หากไม่ได้มีเจตนารู้ตัว่ามีอาการป่วยแล้วจึงเร่งทำประกัน เพราะในทางปฏิบัติบริษัทประกันต้องการคัดกรองคนที่เคยเป็นแล้วหายนานกว่า 5+3 ปีแล้วเท่านั้น
สรุป
แอนนี่แนะนำว่าควรเปลี่ยนเป็นมาตรฐานใหม่ แต่ถ้ากังวลใน 2 ประเด็นที่ยกมาข้างต้น ก็อาจต้องพิจาณาทั้งแนวทางของบริษัทประกัน อัตราเบี้ยที่อาจปรับสูงขึ้น และประวัติการเคลมประกันของตนเอง เข้ามาพิจารณาร่วมด้วยก่อนตัดสินใจอีกครั้งค่ะ
การวางแผนเก็บเงินและเกษียณอย่างจริงจัง เริ่มขึ้น เมื่อเข้าใจ..
วิธีใช้ธรรมชาติของเครื่องมือการเงินที่จำเป็นให้เกิดประโยชน์สูงสุด
"ตน (ในปัจจุบัน) จักเป็นที่พึ่งของตน (ในอนาคต)"