หากดำเนินการ ออมเงิน และ กำหนดหน้าที่ของเงินออม ให้เป็นดังต่อไปนี้
- เงินเพื่อช่วยจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพตอนเกษียณ
- เงินก้อนไว้เคลียร์หนี้ก่อนเกษียณ
- เงินสำหรับค่าใช้ส่วน WANTs เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย ในแต่ละเดือนตอนเกษียณ
- มีกลไกป้องกันไม่ให้นำเงินออมนี้ออกมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ก่อนเวลา
- สามารถเลือกออมเงินคงแตกต่างกันในแต่ละปีได้ ตามสถานะการเงินปีนั้น
จะทำให้เครื่องมือการออมที่เหมาะสมที่สุด คือ..
กองทุนรวมลดหย่อนภาษี
เครื่องมือลงทุนระยะยาวที่จำเป็นต้องใช้
กองทุนรวม เครื่องมือการเงินที่เป็นการลงทุนโดยมีผู้เชี่ยวชาญหรือผู้จัดการกองทุนดำเนินการบริหาร คัดเลือกสินทรัพย์ และกระจายความเสี่ยงให้ เพื่อลดการบริการและจัดการด้วยตนเองลง
ความสำคัญของ
กองทุนรวม
จากสถิติการทำงานของกองทุนรวมนั้น ควรเน้นไปที่การลงทุนระยะยาวที่นานมากพอหรือกว่า 15 ปีขึ้นไปสำหรับกองทุนที่มีความเสี่ยงและความผันผวนสูงในแต่ละปี เพื่อช่วยให้สามารถเฉลี่ยผลตอบแทนออกมาแล้วมีโอกาสเป็นบวก(+) ในปีสุดท้ายค่อนข้างสูง
ดังตัวอย่าง S&P 500 (รูปด้านล่าง) ที่ยิ่งให้เวลาเงินได้เติบโตนานมากพอ โอกาสการติดลบ(-) ก็จะลดลงเรื่อย ๆ และเป็นที่มาว่าทำไม RMF/THAIESG จึงบังคับให้เงินลงทุนต้องถูกปล่อยให้เติบโตเป็นเวลานานหลายปี

ที่สำคัญการลงทุนระยะยาวในกองทุนรวม RMF/THAIESG นั้นยังได้สิทธิลดหย่อนภาษีหรือเงินคืนภาษีกลับมาอีกด้วย
สิทธิลดหย่อนรวมกันของประกันบำนาญ/RMF/PVD/กบข./กอช. ที่สูงสุดไม่เกิน 500,000 และ THAIESG ที่สูงสุดไม่เกิน 300,000 บ.
โดยเฉพาะกับผู้ที่รับเงินเดือนและถูกหักภาษีไปล่วงหน้า ที่จะสามารถได้เงินคืนตาม % ฐานภาษีได้ เช่น ฐานภาษี 20% ลงทุน 300,000 บ. จะได้เงินภาษีคืน 60,000 แต่เงินในพอร์ตลงทุนเริ่มต้นยังคงเป็น 300,000 บ. เหมือนเดิม)
จึงทำให้การออมโดยลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อลดหย่อนนี้ เป็นสิ่งที่ควรลงทุน ก่อนที่จะไปลงทุนกับกองทุนรวมที่ลดหย่อนภาษีไม่ได้
นอกจากนี้เงินคืนภาษีที่ได้มา อาจนำมาใช้จ่ายเบี้ยประกันสุขภาพ ในปีนั้นได้อีกด้วย หรือจะเรียกว่า ลงทุนแถมประกันสุขภาพก็ว่าได้ (ประกันสุขภาพลดหย่อนได้อีก 25,000 บ.)
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อดีที่น่าสนใจอย่างมากนี้อยู่ แต่จากรูปด้านบนจะมีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่เลือกใช้ข้อดีส่วนนี้ เพราะ คนส่วนมากเลือกลงทุนในกองทุนรวม RMF (Mutual Funds) น้อยกว่าลงทุนใน PVD (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ-ถูกบังคับบางส่วนและมีแผนการลงทุนให้เลือกน้อย) และน้อยกว่าในประกัน

ซึ่งอาจเป็นเพราะ ทั้ง PVD และ ประกัน มีกลไกบังคับลงหรือบังคับจ่ายอยู่ ในขณะที่กองทุน RMF จะมีอิสระมากกว่า
รวมไปถึง คนส่วนมากยังขาดความเข้าใจใน กลไกลดความผันผวนด้วยระยะเวลา การจัดพอร์ตกองทุนรวม และการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม ที่เน้นการลงทุนระยะยาวตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ทำให้หาก ไม่ได้วางแผนให้เป้าหมายชัดเจนตั้งแต่แรก ว่าจะนำเงินลงทุนระยะยาวนี้ไปใช้ทำอะไร ก็จะทำให้เงินเหล่านี้หมดไปยังรวดเร็ว
โดยจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปใช้กับอะไร หรือ หากเลวร้ายกว่านั้น เงินเหล่านี้อาจถูกนำไปดาวน์เพื่อสร้างหนี้ก้อนใหญ่กว่าขึ้นมาก็ได้
RMF/THAIESG/PVD/กบข.
ควรตั้งเป้าหมายอย่างไร
การลงทุนในกองทุนรวมทั้งหมดนี้ หากมีเป้าหมายชัดเจน การวางแผนลงทุนเพิ่มหรือหยุดลงทุนจะเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก และไม่ต้องกังวลว่าเงินผลตอบแทนการลงทุนที่ได้นี้ จะหายไป (หรือจะไปก่อหนี้อะไร)
โดยการตั้งเป้าหมายในเบื้องต้นสำหรับกองทุนลดหย่อนภาษีนั้น ควรจะเน้นไปที่ การวางแผนเกษียณเป็นหลัก เนื่องจากสอดคล้องกับการลงทุนระยะยาวและจุดประสงค์ของรัฐบาล เพราะในตอนเกษยีณจะมีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่หลากหลาย ซึ่งจะสามารถแบ่งออกตามลำดับความสำคัญได้ดังต่อไปนี้
1. บำเหน็จปิดหนี้ DEBTs
ส่วนนี้อาจใช้ประโยชน์จาก PVD และ กบข. ที่จะมีเงินสบทบนายจ้างเข้ามาช่วยด้วย แต่เนื่องจาก % ที่จะสมทบได้ กับแผนการลงทุนที่มีให้เลือกนั้นมีจำกัด เงินลงทุนที่เหลือจึงควรต้องกระจายไปยังเครื่องมืออื่น
2. บำนาญสำหรับเบี้ยสุขภาพหลังเกษียณ และบำเหน็จค่าดูแลยามป่วย HEALTHs
RMF เป็นเครื่องมือที่ให้สิทธิการลงทุนสูงถึง 30% ของรายได้ จึงเหมาะที่จะวางแผนให้เงินได้เติบโตมาทยอยใช้จ่ายเบี้ยประกันสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทุก 1 ปีหรือทุก 5 ปี รวมถึงเตรียมเงินบำเหน็จไว้เป็นค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือจากค่ารักษาหากป่วยเป็นโรคร้าย หรือ ค่าดูแลยามทุพพลภาพ (Long Term Health Care)
3. บำนาญส่วน NEEDs
จริง ๆ เงินส่วนนี้ควรอาศัยบำนาญจากประกันสังคมหรือจากประกันบำนาญเป็นหลัก เพียงแต่หากเริ่มทำประกันบำนาญช้า แล้วเห็นว่าไม่สามารถหาเงินก้อนได้มากพอที่จะซื้อประกันบำนาญให้ได้ตาม NEEDs ที่ต้องการ การอาศัยผลตอบแทนจาก RMF ร่วมด้วยก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
4. บำนาญส่วน WANTs
เงินส่วนนี้จะเหมาะกับ RMF มากที่สุด เนื่องจากค่าใช้จ่ายส่วน WANTs นั้น ไม่จำเป็นต้องมีความแน่นอน หากปีไหนตลาดเป็นขาลง ก็อาจจะปรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลงได้ หรือปีไหนใช้วงเงินส่วน WANTs ไม่หมด ก็สามารถเก็บออมไปใช้ปีอื่นๆ ต่อไปได้อืก (หรือ แม้แต่ออมเงินส่วน WANTs นี้ไว้ 10% ก่อนใช้จ่ายก็น่าสนใจ) โดยค่าใช้จ่ายส่วนนี้มักจะมากในช่วงแรกๆ ของการเกษียณและลดลงเรื่อยๆ ตามอายุที่มากขึ้นและความต้องการที่ลดลง ตามตัวอย่างของ กราฟ Retirement Spending

จากกราฟทั้งสองจะเห็นได้ชัดเจนว่า การใช้เงินจะลดลงเรื่อย ๆ เมื่ออายุมากขึ้น สอดคล้องตามสภาพร่างกาย และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่สภาพร่างกายเริ่มไม่ไหว การใช้เงินสำหรับค่าดูแลรักษาก็จะเพิ่มขึ้นมาแทนค่าใช้จ่ายส่วน WANTs นี้ต่อไป และทยอยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
และนี้จึงเป็นสาเหตุว่า เพราะเหตุใดจึงควรวางแผนการจัดการทั้งเบี้ยประกันสุขภาพตอนเกษียณ และบำเหน็จสำหรับค่าดูแลตอนทุพพลภาพไว้ให้เรียบร้อยก่อน การเตรียมบำนาญส่วน WANTs ที่ยังพอมีการปรับเปลี่ยนได้
5. บำเหน็จส่วน DESIREs / LEGACY
เป้าหมายค่าท่องเที่ยว บันเทิง พักผ่อนตอนเกษียณ นั้น มักจะเกิดขึ้นหลังจากการคำนวณวางแผนเป้าหมายข้อ 1-4 เรียบร้อยแล้ว และหากยังเหลือสิทธิ RMF อยู่ก็จะสามารถเลือกกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อมาเน้นเป้าหมายส่วนนี้ได้อย่างสบายใจ ว่าอย่างน้อยหากการลงทุนผิดพลาดก็ยังมีข้อ 1-4 อยู่ หรือหากการลงทุนเป็นไปตามเป้าหมายก็สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่เช่นกัน
เริ่มต้นวางแผนเกษียณ
กับกองทุนรวม
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องยึดให้ขึ้นใจคือ การเกษียณไม่ได้หมายความว่าเกษียณจากการทำงาน เพียงแต่เป็นการเกษียณจากงานที่ไม่ชอบ ต้องทำตามหน้าที่ ต้องทำเพราะภาระที่มี มาเป็นได้ทำงานที่รัก ที่สบายใจ เหมาะสมตามสภาพร่างกายได้นั่นเอง
ซึ่งการจะเกษียณแบบนี้ และไม่เสี่ยงในโลกการเงินมากจนเกินไป การใช้กองทุนรวม โดยเฉพาะ RMF ที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ จึงเป็นสิ่งจำเป็น และควรทำความเข้าใจให้มากขึ้นโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะในการวางแผนเกษียณ
เริ่มวางรากฐานให้กับ "แผนเกษียณ" อย่างจริงจัง
ด้วย Framework การใช้เครื่องมือการเงินลดหย่อนภาษี ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
"ตน (ในปัจจุบัน) จะเป็นที่พึ่งของตน (ในอนาคต)"





