ทำไมในปัจจุบันควรต้องรีบทำประกันมะเร็งให้เร็วที่สุด
ด้วยปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก สอดคล้องกับจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่เพิ่มขึ้นในทุกปี และเริ่มที่จะเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ จำนวนสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง หรือเคยเป็นมะเร็ง ทำให้การรีบทำประกันมะเร็ง และ ได้รีบตรวจคัดกรองมะเร็งอย่างอุ่นใจจึวเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรประมาท
ทำไมควรต้องรีบทำประกันมะเร็งให้เร็วที่สุด
เรียน
- ท่านที่มีคนในครอบครัวมีประวัติการป่วยเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นตอนอายุยังน้อยหรือไม่เกิน 50 ปี (แสดงว่าอาจเกิดจากพันธุกรรม ไม่ใช่พฤติกรรมเพียงอย่างเดียว)
- ท่านที่ใช้ชีวิตสไตล์ Work Hard, Play Harder, Eat Harder, No Exercise, Sleepless ทำให้ร่างกายและจิตใจทำงานหนักมากกว่าปกติ
- ท่านที่ทานอาหารที่มีปัจจัยเสี่ยงเป็นประจำในปริมาณมาก เช่น เนื้อแดง ปิ้งย่าง เนื้อแปรรูป เหล้าเบียร์ อาหารเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด เป็นต้น
- ท่านที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ท้องผูกเป็นประจำ ไม่ชอบทานผักผลไม้
- ท่านที่ดื่มน้ำเปล่าน้อยมากต่อวัน หรือน้อยกว่าการดื่มน้ำหวาน ชา กาแฟ
- ท่านที่ทานอาหารไม่เป็นเวลา ทานหลายมื้อหลายเวลา หรือ ทานมื้อดึกเป็นประจำ
- ท่านที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับมลภาวะ PM 2.5 หรือ ต้องอยู่ใกล้ควันบุหรี่ ธูป แบบหลีกเลี่ยงได้ยาก
- ท่านที่ต้องดูแลโปรเจ็ค ควบคุม ประสานงาน อยู่ในสภาวะกดดัน มีความเครียดสะสมเป็นเวลานานและเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
- ท่านที่เครียดจนประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ เครียดจนนอนไม่หลับ เครียดจนเบื่ออาหาร หรือ กินมากกว่าปกติ หรือ เป็นไมเกรนบ่อยครั้ง
ไม่ว่าท่านจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ทุกสิ่งที่ท่านกำลังเป็นอยู่นั้น ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้ท่านกำลังใกล้กับ มะเร็ง หนึ่งใน โรคร้ายแรงที่สุด ที่เหมือนโดนคำสั่ง "ประหาร" และ "ยึดทรัพย์ล้มละลาย" ไปพร้อมกัน มากขึ้นเรื่อย ๆ
สถิติในประเทศไทย ปี 2022 พบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เพิ่มสูงถึง 183,541 รายจากแต่ก่อน ในปี 2014 ที่ 122,757 ราย และจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตในปี 2022 มากถึง 118,829 ราย เพิ่มจาก 70,075 รายในปี 2014
และที่สำคัญที่สุดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งนั้นสูงเกือบถึง 1 ใน 5 ของอัตราการเสียชีวิตทั้งหมด โดยปี 2022 เสียชีวิตเพราะมะเร็ง 118,829 ราย จากการเสียชีวิตทั้งหมด 590,174 ราย (*เป็นการเปรียบเทียบแบบประมาณการ)

โรคมะเร็งร้ายแรงกว่าโรคโควิดมาก และ เป็นแบบนี้มานานแล้ว
ซึ่งสถิติการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งใน 1 ปีนั้น สูงกว่า สถิติการเสียชีวิตจากโควิดใน 4 ปีถึงกว่า 3.4 เท่า (มะเร็ง 118,829 รายต่อปี โควิด 34,728 รายต่อ 4 ปี)
แม้โควิดจะมีผู้ป่วยสะสมถึง 4.7 ล้านคน แต่อัตราการเสียชีวิตเพียง 0.7% เท่านั้น ในขณะที่มะเร็งอัตราการเสียชีวิต (หากเทียบแบบคร่าว ๆ ด้วยสถิติผู้ป่วยเสียชีวิตต่อผู้ป่วยรายใหม่ในปี 2022) จะสูงถึง 64% (แต่ความตื่นตัวต่อความร้ายแรงของโรคมะเร็งในคนส่วนใหญ่นั้นยังน้อยกว่าโรคโควิดอย่างมาก)

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมะเร็งไม่ได้เสียชีวิตในฉับพลัน โดยมีขบวนการรักษาที่ซับซ้อนยาวนานตั้งแต่ 2-5 ปี+ จนถึงตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับระยะมะเร็ง และมีการใช้เงินเยอะมากในการรักษา เมื่อเทียบกับการรักษาโควิด
จนเรียกได้ว่ามะเร็งเสียชีวิตมากไม่ใช่เพราะรักษาไม่ได้ แต่เพราะไม่มีเงินที่จะเร่งขบวนการรักษาให้เร็วกว่าการขยายตัวของมะเร็งได้
เพียงค่าตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งก็ราคาสูงอย่างมาก หรือต้องรอนานมากแล้ว ยังไม่นับค่ารักษา
โดย ตั้งแต่ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยที่มีค่าใช้ร่วมกันกว่าหลักแสนใน รพ.เอกชน เพราะอาจต้องมีการส่องกล้องตัดตรวจชิ้นเนื้อ การใช้เครื่องตรวจวินิจฉัยขั้นสูงโดยเฉพาะอย่างเครื่อง PET/CT ที่มีเพียงหลักสิบเครื่องในประเทศไทย กับเครื่อง MRI กับ CT-Scan ที่มีเพียงหลักร้อยเครื่องในประเทศไทย ต่อผู้ป่วยรายใหม่กว่าหลักแสนคนต่อปี (ยังไม่นับรวมผู้ป่วยรายเก่าสะสมที่ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยติดตามผลการรักษาด้วย)
จนทำให้ในช่วงปี 66-67 ภาครัฐได้พยายามผลักดันโครงการ Cancer Anywhere ให้ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองสามารถเข้ารับการตรวจรักษาที่ รพ. ที่พร้อมและต่อคิวรอนานน้อยที่สุดได้ โดยไม่ต้องรอการส่งตัวจาก รพ. ที่มีสิทธิบัตรทองอยู่
ทำให้การตรวจวินิจฉัยมีความรวดเร็วขึ้น ที่อาจไม่ต้องรอคิวนาน 3-6 เดือนเสมอ จนมะเร็งอาจแพร่กระจายหนักมากขึ้นแล้วโดยที่ยังไม่ได้เริ่มขบวนการรักษาเลย
อย่างไรก็ตามยังจำเป็นจะต้องรออยู่ดี เนื่องจากผู้ป่วยจะเน้นไปที่ รพ. ที่เป็นโรงเรียนแพทย์โดยตรง ทำให้จำนวนผู้ป่วยมะเร็งของ รพ. เพิ่มมากขึ้นถึง 400% หรือจาก 6,000 คน เพิ่มเป็น 25,000 คน ภายหลังที่มีโครงการ Cancer Anywhere และเกินศักยภาพที่ทาง รพ. จะปรับตัวดูแลได้ทัน
ทำให้ในความเป็นจริงสุดท้ายแล้ว จึงต้องกลับไปทำแบบเดิมเหมือนก่อนที่จะมีโครงการ Cancer Anywhere กล่าวคือ ในขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยหากมีกำลังเงินพอจะเน้นเลือกออกค่าใช้จ่ายหลักแสนเองใน รพ.เอกชน หรือ คลินิกนอกเวลาของ รพ.รัฐ
เพื่อความรวดเร็วในการตรวจวินิจฉัยผ่านเครื่องฉาพภาพขั้นสูงต่าง ๆ และจะได้สามารถเริ่มเข้าขบวนการรักษาต่อได้ที่ รพ. แพทย์ที่ต้องการต่อไป แต่ถ้าหากไม่มีกำลังเงินมากพอก็จำเป็นต้องรอคิวต่อไป หรือ อาจต้องรวบรวมเงินที่จะเดินทางไปตรวจที่ รพ. แพทย์ จังหวัดอื่น ๆ พร้อมเช่าที่พักอาศัยใกล้ รพ. แพทย์ ที่มีความแออัดน้อยกว่าแทน (แต่ก็เป็นเรื่องยาก เพราะแทบทุก รพ.แพทย์ มีความแอดอัดค่อนข้างสูง )
ซึ่งด้วยปัญหาบางส่วนที่กล่าวมานี้เอง จึงทำให้ทั้งยอดผู้ป่วยรายใหม่ที่กลายเป็นยอดผู้เสียชีวิตทยอยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่จำนวนประชากรประเทศไทยทยอยลดลงส่วนทางกัน จนแทบจะพูดได้ว่า...หนึ่งในคนที่เคยรู้จักจะต้องมีผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งอยู่และเสี่ยงที่จะเป็นถึงขั้นที่รักษาไม่หาย
แม้ค่าตรวจจะสูง..แต่ค่าสถิติตรวจพบว่าเป็นมะเร็งก็สูงมากเช่นกัน
ยิ่งในปัจจุบันค่า PM2.5 สูงจนอันตรายมาก โดยผลร้ายแรงต่อผู้ที่สูดอากาศเข้าไป เหมือนได้สูบบุหรี่หลักสิบหลักร้อยมวนต่อวัน โดยเฉพาะทางภาคเหนือที่ปัญหา PM2.5 หนักที่สุด มีสถิติผู้ป่วยมะเร็งปอดพุ่งสูงขึ้นเกินมะเร็งชนิดอื่น ๆ ทั้งหมด


สถิติประเทศไทย 2022 : มะเร็งปอด (Lung) พบผู้ป่วยรายใหม่มากเป็นอันดับ 3 และมีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 2 เนื่องจากเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งกว่าจะมีอาการก็มักพบว่าเป็นระยะ 3 ขึ้นไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับมะเร็งตับ (Liver) ที่เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่และมักตรวจพบมะเร็งเมื่อสายไปแล้วเช่นกัน มะเร็งตับจึงมีอัตรากายเสียชีวิตเป็นอันดับ 1
นอกจากมะเร็งปอด มะเร็งตับ และมะเร็งลำไส้ (Colorectum) ที่พบกันมากแล้ว ยังมีส่วนที่ผู้หญิงพบว่าเป็นมะเร็งกันมาก คือ มะเร็งเต้านม (Breast) มะเร็งมดลูก (Uteri) มะเร็งรังไข่ (Ovary) ที่เมื่อรวมทั้งหมดแล้วจะกลายเป็นอันดับ 1 ที่ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างเห็นได้ชัด สำหรับ สถิติการพบผู้ป่วยรายใหม่ในปี 2022 หรือ อาจเรียกได้ว่า ผู้หญิงถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งรายใหม่มากกว่าผู้ชายเสียอีก
ซึ่งสอดคล้องกับอาการ เนื้องอกที่เต้านม หรือ เนื้องอกที่มดลูก ที่หากผู้หญิงอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป แล้วมีการตรวจสุขภาพแบบฉาพภาพขั้นสูง ส่วนใหญ่จะตรวจพบแน่นอน เพียงแต่จะไม่ได้มีความอันตรายหรือจะกลายเป็นมะเร็งใด ๆ แค่ตรวจติดตามผลเป็นประจำทุกปีเท่านั้น
แต่ถ้าในแง่ของการทำ ประกันโรคร้าย/สุขภาพ หากมีประวัติตรวจพบเนื้องอก จะถือว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นลายลักษณ์อักษรในทันที และส่งผลให้ถูกยกเว้นความคุ้มครองเนื้องอกในบริเวณนั้น หรือ ถูกยกเว้นความคุ้มครองทั้งอวัยวะที่มีเนื้องอกนั้นได้ นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ไม่ควรตรวจสุขภาพอย่างละเอียดที่มีการฉายภาพขั้นสูง โดยที่ยังไม่มีประกันโรคร้ายแรง/สุขภาพ

สถิติประเทศไทย 2022 : มะเร็งที่เป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง จะพบว่าผู้ชายจะเป็นมะเร็งมากกว่าหญิง อย่างไรก็ตามมะเร็งที่พบได้เฉพาะผู้หญิง มีอัตราการพบว่าเป็นมะเร็งรวมกันสูงอย่างมาก จนกลายเป็นอันดับ 1 ดังนั้นทั้งผู้ชายและผู้หญิงจึงมีความเสี่ยงพบโรคมะเร็งอย่างมากทั้งคู่
วัคซีน mRNA อาจส่งผลให้สถิติเป็นมะเร็งที่สูงอยู่แล้ว สูงขึ้นมากและขยับอายุที่เริ่มเป็นให้น้อยลงไปอีก

นอกจากนี้เริ่มมีการเปิดเผยผลกระทบของวัคซีนโควิด mRNA ที่ก่อให้เกิดโปรตีนหนามทิ้งไว้ในร่างกายจำนวนมาก และส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงอัตราการพบว่ามะเร็งหรือมะเร็งกลับมาเป็นซ้ำที่มากขึ้น ตามงานวิจัยต่างๆ
สถิติการเคลมประกันโรคมะเร็งสูงที่สุดจากทุกโรคร้ายแรง สอดคล้องกับสถิติการป่วยเป็นมะเร็งที่สูงมาก
ที่สำคัญในการเคลมประกันโรคร้ายแรง มะเร็งมีอัตราการเคลมสูงถึง 73-75% เมื่อเทียบกับโรคร้ายแรงอื่น ๆ ทั้งหมด ทำให้เห็นได้ชัดเจนถึงความเสี่ยงที่สูงมากของการเป็นโรคมะเร็ง

สถิติการเคลมประกันโรคร้ายแรง : สถิติการเคลมจะสอดคล้องกับข้อมูลการป่วยเป็นโรคร้ายแรง โดยมีการเคลมโรคร้ายแรง 'เสี่ยงสูง' รวมกันในแต่ละปีถึง 94%-96% ของโรคร้ายแรงทั้งหมด และเป็นของโรคมะเร็งไปมากถึง 73%-75% (ซึ่งมะเร็งมีแนวโน้มจะเป็นสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยปัญหา PM2.5 ปัญหาไมโครพลาสติก พันธุกรรม และปัญหาผลข้างเคียงของวัคซีนโควิด)
ความน่ากลัวของมะเร็งหากแบ่งตามอัตราการเสียชีวิตในช่วงอายุต่าง ๆ แล้ว จะเห็นได้ว่า ยิ่งอายุมากขึ้นความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตเพราะมะเร็งก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทำให้การเตรียมพร้อมรับมือกับมะเร็งในวัยเกษียณจึงมีความจำเป็นอย่างมาก
รวมถึงตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไป ที่อัตราการเสียชีวิตเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (หากเสียชีวิตอายุ 35 นั่นหมายความว่าอาจเริ่มเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุ 30 หรือน้อยกว่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยพบว่าในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา คนอายุต่ำกว่า 50 ปี เป็นมะเร็งกันเพิ่มขึ้นถึง 80% ทั่วโลก)

สถิติประเทศไทย 2021 : แสดงให้เห็นว่ามีการเสียชีวิตจากมะเร็งในทุกช่วงอายุ และอายุที่เริ่มน่าเป็นห่วงคืออายุ 35 ปีขึ้นไป ที่อัตราการเสียชีวิตเริ่มพุ่งสูงขึ้น
นอกจากปัญหาที่คนอายุน้อยเริ่มเป็นมะเร็งกันมากขึ้นแล้ว ปัญหาการเป็นมะเร็งในช่วงวัยเกษียณก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่มากอยู่เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป และจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประกันมะเร็งในท้องตลาดจะเน้นให้ความคุ้มครองถึงอายุครบ 65 ปีเพียงเท่านั้น
ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องสถิติ..แต่มะเร็งอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิดมากจริงๆ
ตัวแอนนี่ผู้เขียนบทความนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เคยสูญเสียคนในครอบครัวให้กับมะเร็ง
โดยคนแรกเป็นคุณน้าที่เสียชีวิตด้วย มะเร็งลำไส้และต่อมน้ำเหลือง โดยครอบครัวคุณน้าใช้เงินจำนวนมากไปกับขั้นตอนการรักษาที่มะเร็งไม่ตอบสนองเท่าใดนัก
คนที่สองเป็นคุณน้าอีกคนด้วย มะเร็งเต้านม แต่โชคดีรักษาหาย แต่ยังต้องนัดติดตามอาการมาจนทุกวันนี้
คนที่สามเป็นพี่สะไภ้ด้วย มะเร็งไทรอยด์ ซึ่งอาจเป็นเพราะผลข้างเคียงของมะเร็งนี้ ทำให้หลานชายคนเล็กที่เกิดมาได้ 2 เดือน ได้พบว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วตั้งแต่เกิด ถึงแม้จะโชคดีผ่าตัดและรักษาได้ทัน
แต่หลานก็ต้องติดตามอาการ และทานยาเป็นประจำไปตลอดชีวิต กับต้องคอยระวังการใช้ชีวิตของหลาน เพราะอาการลิ้นหัวใจรั่วจะไม่สามารถดีขึ้นไปมากกว่านี้ได้อีก ทำได้แต่เพียงป้องกันไม่ให้แย่ไปกว่าเดิมเท่านั้น ซึ่งแอนนี่รับหน้าที่พาหลานเดินทางไปตรวจติดตามอาการที่ รพ.ศิริราช ทุก 6 เดือน จนปัจจุบันหลานอายุ 11 ปีแล้ว
และคนที่สี่เป็นคุณแม่ของแอนนี่เอง โดยเป็นเนื้องอกในมดลูก ซึ่งหากปล่อยไว้อาจพัฒนาเป็นเนื้อร้ายได้ จึงได้ทำตามที่ทางคุณหมอแนะนำ คือ ผ่าตัดมดลูกออกทั้งหมด
รวมถึงล่าสุดอาของแอนนี่ที่เพิ่งตรวจมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 4 ซึ่งจริง ๆ มีอาการนานหลายเดือนแล้ว แต่กว่าจะได้คิวตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดต้องรอนานกว่า 6 เดือน และกลายเป็นสาเหตุที่มะเร็งกลายเป็นระยะลุกลามไปอวัยวะอื่นแล้ว
นอกจากนี้ พี่บาส ที่เป็นนักวางแผนการลงทุนใน Release your Risk เอง ก็ได้สูญเสียคุณตาไปด้วย มะเร็งปอด และ เสียคุณลุงไปด้วย มะเร็งเม็ดเลือดขาว ในขณะที่ คุณป้าเป็น มะเร็งเต้านม ต้องตัดเต้านมทิ้งไป
รวมถึงในตอนที่พี่บาสยังเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย...ก็เคยสูญเสียลูกศิษย์ 1 คนด้วย มะเร็งลำไส้ แต่ยังดีที่มีลูกศิษย์อีก 1 คนที่ป่วยเป็น มะเร็งลำไส้ เหมือนกันแต่สามารถรักษาให้หายได้โดยยังต้องติดตามอาการเป็นประจำ
พี่บาสเล่าว่า ก่อนหน้านั้นได้ไปเยี่ยมลูกศิษย์และเห็นถึงความลำบากของพ่อแม่รวมถึงตัวลูกศิษย์เองที่ ต้องนอนรอการรักษาบนเตียงแบบเตียงชนติดกันใน รพ.ภาครัฐแห่งหนึ่ง
กว่าสุดท้ายจะได้ย้ายไปรักษาในโรงพยาบาลที่สามารถส่งตัวไปได้ ที่เป็นโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคม แต่ด้วยการที่รอการรักษาที่นานมาก ทำให้อาการของลูกศิษย์รุนแรงขึ้นมาก และในที่สุดได้จากไป
ในขณะที่เพื่อนของพ่อพี่บาสเป็นมะเร็งในสมองในวัยใกล้เกษียณ แต่ว่าเนื่องจากมีตำแหน่งระดับสูงใน รพ.เอกชน ขนาดใหญ่ จึงสามารถใช้สวัสดิการของ รพ. ในการตรวจรักษาด้วยวิธีการที่ดีที่สุดได้อย่างรวดเร็ว และยังคงรักษาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
เพียงเปิดใจค้นหาข้อมูล จะพบว่ามีคนเป็นมะเร็งอยู่รอบตัวอยู่เสมอจนน่าตกใจ
จะเห็นได้ว่า มีผู้ป่วยมะเร็งอยู่รอบตัวแอนนี่กับพี่บาส ทั้งที่เป็นคนรู้จักและคนใกล้ชิด ซึ่งมั่นใจได้ว่าไม่ใช่เฉพาะกับแอนนี่และพี่บาสเท่านั้นที่เผชิญกับเหตุการณ์ลักษณะนี้อยู่
เพราะเพียงตั้งคำถามว่ามีคนใกล้ตัวหรือคนรู้จักใดบางที่ได้ป่วยเป็นมะเร็งในชีวิตที่ผ่านมา ย่อมจะปรากฏผู้ป่วยมะเร็งอยู่รอบตัวไม่ว่าทางใดทางหนึ่งอย่างแน่นอน ด้วยจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่สะสมเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ปี จึงได้แต่ลุ้นว่าอย่าให้ต้องกลายเป็นหนึ่งในผู้ป่วยมะเร็งในเร็ววันนี้ โดยเฉพาะหากการเงินยังไม่พร้อม
เนื่องจากผู้ป่วย...หากสุดท้ายต้องเสียชีวิตจากมะเร็ง มักจะเป็นเพราะ ตรวจเจอมะเร็งในระยะสุดท้ายตอนเริ่มมีอาการแล้ว หรือ ไม่ก็ต้องรอนานจนมะเร็งแพร่กระจาย และไม่มีใครทำประกันที่จะทำให้สามารถเลือกการรักษาที่ดีและเร็วกว่าได้
ทำให้ได้แต่ลุ้นผลการรักษาจาก ยาที่ใช้ได้ตามสิทธิบัตรทองหรือประกันสังคมเท่านั้น (การใช้ยาตามสิทธิจะไม่สามารถโดดข้ามขั้นตอน Protocol ไปใช้ยาที่ดีกว่าได้ ต้องทนใช้ยาที่ดีน้อยกว่าจนพิสูจน์ว่าไม่ได้ผลแล้วเท่านั้นจึงจะเปลี่ยนเป็นยาที่ดีกว่าได้) รวมถึงหากยาที่ใช้ตามสิทธิได้ผล ก็ต้องภาวนาขออย่าให้กลับมาเป็นซ้ำ เพราะนั่นหมายความว่า...จะไม่สามารถใช้ยาตัวเดิมรักษาได้อีกแล้ว เพราะมะเร็งจะดื้อยาเรียบร้อย
เรียกได้ว่าข่าวร้าย "มะเร็ง" ใกล้ตัวกว่าที่คิดไว้มาก
ประกอบกับใน Facebook จะมีกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยมะเร็ง เช่น กลุ่ม รักษามะเร็งกับหมอชวลิต รพ.จุฬาลงกรณ์ (เป็นอีกหนึ่งใน Community สำคัญที่จะเปลี่ยนมุมมองของท่านต่อโรคมะเร็งตลอดไป รวมถึงบทความเกี่ยวกับโรคมะเร็งทั้งหมดที่หมอชวลิตได้เผยแพร่มาตั้งแต่ปี 65-67)
ซึ่งกลุ่มลักษณะนี้จะได้มีการโพสแชร์ประสบการณ์ของผู้ป่วยมะเร็งหรือครอบครัวของผู้ป่วยมะเร็งว่า เริ่มสังเหตุเห็นความผิดปกติอะไรบ้างก่อนที่จะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง
สำหรับเป็นวิทยาทานให้กับผู้ที่ยังไม่เป็นมะเร็งได้มีโอกาสสังเกตุเห็นและมีโอกาสได้รีบไปตรวจคัดกรองมะเร็งได้ทัน เพื่อที่ถ้าโชคร้ายตรวจเจอมะเร็งก็อาจยังมีโชคดีที่ตรวจเจอเร็ว และยังสามารถรักษาให้มะเร็งหายได้
การตรวจคัดกรองมะเร็งให้เจอตั้งแต่ระยะแรกที่รักษาหายได้ คือ ทางออกสำคัญ
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อได้อ่านการแชร์ประสบการณ์ลักษณะนี้แล้ว ย่อมพบว่ามีหลายกิจวัตรประจำวันที่ได้ทำคล้าย ๆ กับผู้ป่วยมะเร็ง แต่ถ้าจะให้ไปตรวจคัดกรองมะเร็งแล้วโชคร้ายเจอมะเร็งขึ้นมาจริง ๆ ก็ดูจะอันตรายเกินไป
เนื่องจากค่ารักษามะเร็งนั้นค่อนข้างสูงมาก แถมยังต้องหยุดทำงานทั้งหมดเพื่อมาทำการรักษา จนไม่มีรายได้เข้ามาเลย และที่สำคัญอาจต้องมีคนในครอบครัวอย่างน้อย 1 คนที่ต้องหยุดทำงานขาดรายได้เพื่อมาดูแลเราตามไปด้วย
หมอมะเร็งทุกคนจึงล้วนแนะนำว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสมัครทำประกันมะเร็งมาช่วยค่ารักษาและชดเชยรายได้ที่จะขาดหายไปทั้งหมดเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อนตรวจคัดกรองมะเร็ง
แต่..ประกันมะเร็งทำได้เฉพาะคนที่ยังไม่มีผลตรวจเจอปัจจัยเสี่ยงใดๆ เท่านั้น
เพราะหากในประวัติการตรวจคัดกรองมีบันทึกว่าได้พบปัจจัยเสี่ยงแล้ว ก็จะส่งผลต่อการรับทำประกันมะเร็งได้ในทันที ทั้งไม่รับทำประกัน หรือ รับทำประกันแต่ยกเว้นความคุ้มครองในมะเร็งที่มีปัจจัยเสี่ยงไปแล้วได้
จนทำให้ทั้งแอนนี่และพี่บาสไม่อยากประมาทกับตัวเองอีกต่อไป เพราะประกันมะเร็งหากสมัครแล้วกว่าจะเริ่มคุ้มครองหรือตรวจคัดกรองมะเร็งได้ จะต้องรออีกถึง 90 วัน ซึ่งเป็นระยะคัดกรองว่า ไม่ได้รีบทำประกันมะเร็งเพราะพบอาการผิดปกติบางอย่างแล้ว
ดังนั้นการรีบทำประกันมะเร็ง ด้วยเพราะเพียงมีกิจวัตรประจำวันคล้ายคนเป็นมะเร็งจึงย่อมดีกว่ารอให้เกิดอาการผิดปกติบางอย่างขึ้นมาแล้ว เนื่องจากการต้องรอนานถึง 90 วัน หรือ 3 เดือน เพื่อให้ประกันมะเร็งมีผลนั้น อันตรายต่อการเติบโตของมะเร็งอย่างมาก
ทั้งยังไม่สามารถแจ้งระยะเวลาของอาการผิดปกติตามจริงกับแพทย์ตอนซักประวัติได้ เพราะอาการผิดปกตินั้นเริ่มเป็นตั้งแต่ก่อนทำประกัน หรือ เป็นในระยะไม่คุ้มครอง 90 วัน ซึ่งจะทำให้ประกันมะเร็งไม่คุ้มครอง (แต่ถ้าไม่บอกตามจริงก็จะส่งผลต่อการวินิจฉัยที่อาจคลาดเคลื่อนได้)
จากจุดนี้เองแอนนี่กับพี่บาส จึงตัดสินใจจะรีบทำประกันมะเร็งให้เร็วที่สุด โดยได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับประกันมะเร็งและโรคร้ายแรงทั้งหมดอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ประกันมะเร็งที่ตอบโจทย์ได้มากที่สุด คือ
สามารถคุ้มครองได้นานถึงตอนเกษียณ ได้ความคุ้มครองมากพอที่จะชดเชยรายได้ที่สูญหายไประหว่างการรักษาได้ และ เบี้ยประกันที่ไม่สูงมากโดยเฉพาะตอนเกษียณที่อาจไม่ได้มีรายได้ประจำแล้ว
ปัญหาสำคัญอีกอย่าง..ประกันมะเร็งมีหลากหลายรูปแบบมาก
ในระหว่างการศึกษา จึงได้พบกับปัญหามากมายของประกันมะเร็ง ทั้งในแง่ของการเคลมประกัน ไปจนถึงรูปแบบของประกันมะเร็งที่มีมากมายหลายรูปแบบ
- ทั้งแบบคุ้มครองมะเร็งอย่างเดียว กับ แบบที่คุ้มครองหลายโรคร้ายแรง
- ทั้งแบบเจอจ่ายจบ กับ แบบเจอจ่ายค่ารักษา แบบเจอจ่ายค่าชดเชย
- ทั้งแบบจากบริษัทประกันชีวิต กับ แบบจากบริษัทประกันภัย ที่เมื่อดูในเนื้อหาสัญญาแล้วมีจุดที่แตกต่างกันที่ต้องระวัง
- ทั้งแบบที่สมัครทำประกันง่าย อนุมัติทันที ผ่านโทรศัพท์ ผ่านระบบเว็บบริษัทประกัน กับ แบบที่สมัครทำประกันแล้วต้องรอลุ้นการพิจารณาอาจมีการขอประวัติการรักษา การขอตรวจสุขภาพ ที่ทำผ่านตัวแทนประกัน
- ทั้งแบบเจอจ่าย 100% ทุกมะเร็ง กับ แบบเจอจ่าย 100% เฉพาะมะเร็งระยะลุกลาม
- ทั้งแบบคุ้มครองถึงอายุ 65 ปีก่อนเกษียณ กับ แบบที่คุ้มครองยาวจนถึงอายุ 90-99 ปีทั้งก่อนและหลังเกษียณ
- ทั้งแบบเบี้ยประกันเพิ่มตามอายุ กับ แบบเบี้ยประกันคงที่ตามอายุที่เริ่มทำประกัน
- ทั้งแบบหากคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งจะไม่รับ กับ แบบที่ไม่ถามประวัติการเป็นมะเร็งของคนในครอบครัว
ทั้งหมดนี้จึงทำให้แอนนี่ต้องใช้เวลาในการเลือกประกันมะเร็งพอสมควร ซึ่งตอนนั้นแม้จะได้เป็นตัวแทนของกรุงเทพประกันชีวิตแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแอนนี่จะเลือกในทันทีว่าประกันมะเร็งของกรุงเทพประกันชีวิตจะน่าสนใจที่สุด
ต้องเลือกเปรียบเทียบให้ดี ไม่ให้ความคุ้มครองซ้ำซ้อนกัน และยังได้ทุนประกันสูงสุดต่อเบี้ยที่จ่ายไป
จึงตัดสินใจทำความเข้าใจประกันมะเร็งในตลาดทั้งหมด ผ่านทั้งทางโบรชัวร์ หน้าเว็บ ตัวอย่างกรมธรรม์ประกันมะเร็งแต่ละแบบ ตัวอย่างการเคลม ตารางเบี้ยประกัน สถิติความเสี่ยงมะเร็งแบบต่าง ๆ กับโรคร้ายแรงที่พบบ่อยในประเทศไทย
รวมไปถึงแบบประกันอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่าง ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรงเบี้ยเพิ่มตามอายุ ประกันโรคร้ายแรงเบี้ยคงที่ ประกันค่ารักษาโรคมะเร็ง เพราะบางบริษัทก็แยกประกันเหล่านี้ออกจากกันอย่างชัดเจนตามวัตถุประสงค์ บางบริษัทก็มีการรวบเข้ามาเป็นแบบประกันเดียวกันอย่าง ประกันชีวิตควบโรคร้ายแรงเบี้ยคงที่
ซึ่งกว่าที่แอนนี่จะตัดสินใจได้ว่า จะเน้นไปที่ประกันมะเร็งแบบเจอจ่ายเป็นเงินก้อน เงินชดเชยเป็นหลัก ไม่เอาค่ารักษา ก็ใช้เวลาพอสมควร
เนื่องจากเห็นว่า ประกันมะเร็งแบบจ่ายเงินก้อน เงินชดเชย จะช่วยในเรื่องค่าชดเชยรายได้ที่ต้องหยุดทำงาน กับ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากค่ารักษาได้
และเห็นว่าอย่างไรแล้วหลังจากแอนนี่ทำประกันมะเร็งแล้ว จะต้องทำประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่ครอบคลุมค่ารักษามะเร็ง มาช่วยดูแลค่ารักษาโรคทั้งหมดต่ออย่างแน่นอน
รวมถึงประกันสุขภาพสามารถดูแลค่ารักษาอย่างติ่งเนื้อ เนื้องอก ที่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นมะเร็งได้อีกด้วย กับอาการแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียงต่าง ๆ จากการรักษามะเร็ง
ที่สำคัญ ประกันสุขภาพจะมีโอกาส Fax-Claim ค่ารักษาได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ในขณะที่ประกันค่ารักษามะเร็งมักจะต้องสำรองจ่ายก่อนเสมอ
นอกจากนี้แอนนี่จะไม่ได้เลือกแบบประกันที่เป็นประกันชีวิตควบกับประกันโรคร้ายแรง แต่จะแยกประกันมะเร็งโรคร้ายแรงออกมาโดยเฉพาะ เพื่อจะช่วยให้สามารถเน้นทุนโรคร้ายที่สูงกว่าเบี้ยที่จ่ายได้หลายร้อยเท่า
ในขณะที่แบบประกันที่ควบทั้งประกันชีวิตและโรคร้ายแรงด้วยเบี้ยที่เท่ากัน จะให้ทุนความคุ้มครองน้อยกว่า แบบแยกจากกันอย่างชัดเจนจนน่าตกใจ
การเลือกว่ายากแล้ว แต่การสมัครทำประกันกลับยากกว่า
สุดท้ายแอนนี่และพี่บาสก็เลือกประกันมะเร็งในแบบที่ต้องการได้ในที่สุด และได้ยื่นสมัครทำประกันมะเร็งไป
เพียงแต่ว่าตอนยื่นทำประกันมะเร็งนั้น ของแอนนี่ถูกบริษัทขอให้มีการตรวจสุขภาพและตรวจเลือดอย่างละเอียด เนื่องจากได้แถลงสุขภาพว่าเคยเป็นกรดไหลย้อนรับยามาทานแบบผู้ป่วยนอกในตอนยื่นสมัครทำประกันไปด้วย
และทำให้แอนนี่ต้องตกใจอย่างมาก เพราะจริง ๆ แล้ว แอนนี่ต้องการรีบทำประกันมะเร็งก่อนที่จะมีผลตรวจสุขภาพอะไรที่ทำให้ทำประกันมะเร็งไม่ได้ แต่กลายเป็นว่ากลับถูกขอให้ตรวจสุขภาพก่อนทำประกันเสียอย่างนั้น
อย่างไรก็ตามแอนนี่ก็เดินหน้าต่อ เพราะหลังจากได้ปรึกษากับพี่ ๆ ตัวแทนภายในทีม พี่ๆ แนะนำว่า
นี้อาจเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ตรวจพิสูจน์โดยตรงว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ และ จะทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อบริษัทรับทำประกันจะสามารถเคลมได้อย่างแน่นอน
และไม่ใช่ทุกบริษัทที่แถลงสุขภาพเรื่องกรดไหลย้อนไปแล้วจะยินยอมให้ตรวจพิสูจน์โดยออกค่าใช้จ่ายให้แบบนี้ เพราะค่าตรวจเลือดแบบละเอียดนั่นมีราคาหลายพันบาท ไม่คุ้มกับเบี้ยประกันที่ได้รับมา สู้เลื่อนการรับประกันออกไปก่อนจะง่ายกว่า
ที่สำคัญโดยปกติแล้ว ผลเลือดจะไม่ได้มีความละเอียดเท่ากับการตรวจฉายภาพขั้นสูงต่าง ๆ ที่จะเห็นเป็นภาพรอยโรคอย่างชัดเจน โดยผลเลือดจะเริ่มมีความแม่นยำเฉพาะกับมะเร็งระยะ 3-4 เท่านั้น
แต่แอนนี่ยังไม่มีอาการหนักมากใด ๆ เลย เพียงแต่เคยไปพบหมอครั้งเดียวเท่านั้น จึงได้ตัดสินใจที่จะไปตรวจสุขภาพและตรวจเลือดในครั้งนี้
ถึงจะยาก แต่พอผ่านสามารถรับทำประกันได้ก็คุ้มค่า และโล่งใจอย่างมาก
อย่างไรก็ตามตอนตรวจสุขภาพนั้นแอนนี่ก็ยังเครียดอย่างมาก เนื่องจากหากผลเลือดออกมาว่าปัจจัยเสี่ยงมะเร็ง ไหนจะทำประกันมะเร็งไม่ได้แล้ว ก็ยังจะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จะตามมาอีกนับไม่ถ้วน ที่จะต้องตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุอย่างละเอียดต่อ
ในใจจึงคิดอย่างเดียวว่า ขอให้ผลเลือดไม่เกินเกณฑ์อ้างอิงให้ต้องสงสัยมีว่าอาจเป็นมะเร็ง...พูดวนอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายผลก็ออกมา..
ว่าไม่มีข้อบ่งชี้ของมะเร็งใด ๆ และได้นำส่งผลตรวจกลับไปที่บริษัท และอีกไม่กี่วันกรมธรรม์ประกันมะเร็งก็อนุมัติในที่สุด
ซึ่งความรู้สึกตอนนั้น เหมือนกับยกภูเขาออกจากอก รู้สึกโล่งใจมาก ๆ โดยอาการโล่งใจนี้ จะคล้ายกับคนที่กำลังอ่านอะไรสักอย่างอย่างเคร่งเครียด แต่แล้วสักพักก็มีรอยยิ้มตรงมุมปากออกมาเสมือนได้ปลดปล่อยความเครียดนี้ออกไปแล้ว
และนั่นคืออาการของแอนนี่ ตอนที่ทราบว่าบริษัทได้อนมุติรับทำประกันมะเร็งแล้วแบบคุ้มครองทุกอย่าง ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ
นำไปสู่ เคล็ดลับสำคัญในการเลือกประกันมะเร็งแบบเจาะลึก
ทำให้อย่างน้อยในระหว่างการศึกษา การคัดเลือกประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่เหมาะสม ถ้าเกิดเป็นมะเร็งขึ้นมาก็ยังมีเงินส่วนนี้ไว้แบ่งเบาค่าใช้จ่ายของโรคมะเร็งได้อย่างแน่นอน
ซึ่งจากประสบการณ์การคัดเลือกประกันมะเร็งจากแบบประกันมะเร็งต่าง ๆ มากมายครั้งนี้เอง แอนนี่จึงได้ตัดสินใจนำมาเปิดเผยสรุปเป็นเคล็ดลับการเลือกประกันมะเร็ง รวมถึงเหตุผลที่เลือกประกันมะเร็งแบบที่ทำประกันอยู่ ไว้ในบทความนี้
เพื่อที่บทความนี้จะสามารถเป็นประโยชน์ต่อไปได้ไม่มากก็น้อยในภายภาคหน้า โดยเฉพาะกับท่านที่มีความเสี่ยงเข้าใกล้โรคมะเร็ง เพราะถูกบีบคั้นจากอาชีพและการทำงานที่เคร่งเครียดในปัจจุบัน