Prestige Health เดิม จะเปิดสมัครถึง 30 ก.ย. 66 นี้ แล้วผู้ที่มี Prestige Health เดิม ควรเปลี่ยนเป็น Prestige Health ปลดล็อค หรือไม่
เปรียบเทียบความคุ้มครองที่ Prestige Health Unlock ได้เพิ่มขึ้น
▍สรุป : Prestige Health ปลดล็อค ให้ความคุ้มครองที่สูงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในข้อ 29 เป็นข้อที่ไม่มีปรากฏในประกันสุขภาพแบบใดมาก่อน ทั้งนี้ยังมีความคุ้มครองข้อที่ 8 ที่ขาดหายการจ่ายตามจริงไปจาก Prestige Health เดิม รวมถึงอุดช่องโหว่การรักษามะเร็งของแบบเดิมโดยการเพิ่มความคุ้มครองข้อ 25-26 เข้ามา
▍ข้อสังเกตุ : เบี้ยประกันสูงขึ้นอย่างมาก (ตามตารางเบี้ยบางส่วนใน Section ด้านล่างต่อจากนี้) ด้วยเพราะมีการบังคับทำประกันโรคร้ายแรงทุน 500,000 บ. แบบเบี้ยเพิ่มขึ้นเติมอายุ หรือความคุ้มครองข้อที่ 26 ในแบบประกันสุขภาพใหม่นี้ ซึ่งสิ่งที่แตกต่างกับประกันโรคร้ายโดยทั่วไปคือ แบบทั่วไปหากเป็นโรคร้ายแรงจะเจอจ่ายจบไม่ต้องจ่ายเบี้ยอีก ในขณะที่แบบปลดล็อคแม้จะเจอโรคร้ายแรงแล้วแต่ก็ยังต้องจ่ายเบี้ยเท่าเดิมตามตารางเบี้ยต่อไปโดยไม่มีส่วนลดใด ๆ
เปรียบเทียบเบี้ยประกันที่ Prestige Health Unlock เพิ่มขึ้น
▍สรุป : เบี้ยแผน 20-30 ล้านใหม่ จะมีเบี้ยพอๆ กับ แผน 50-80 ล้านเดิม (เบี้ยขึ้นประมาณ 1.46-1.49 เท่าจากเบี้ยแผนเดิม 10-30 ล้าน) จึงเหมือนเป็นการแข่งขันกันระหว่าง
- เป็นแผนใหม่ 20-30 ล้าน (ไม่มี OPD แต่มีปลดล็อคความคุ้มครองต่างๆ ให้)
- เป็นแผนเดิม 50-80 ล้าน (ที่มี OPD ทั่วไปให้)
▍ข้อสังเกตุ : การเลือก Prestige Health ปลดล็อค เป็นการบังคับให้เลื่อนจากประกันสุขภาพพื้นฐาน คือ จากแผน 10-30 ล้านเดิม ให้เป็นแผนประกันสุขภาพที่มีราคาสูงระดับกลางขึ้นทันที เพราะแผนได้คุ้มครอง OPD ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู ค่าคำปรึกษายามุ่งเป้าการตรวจยีน และรับเงินก้อน 500,000 บ. ในภาวะวิกฤต อย่างไรก็ตามหากต้องการได้เบี้ยที่ลดลง Prestige Health ปลดล็อค ยังมีแบบ Deductible ให้เลือกได้
แผน 50-80 ล้านเดิม VS.
แผน 20-30 ล้านใหม่
ด้วยเบี้ยที่ใกล้เคียงกันมากระหว่าง แผน 50-80 ล้านเดิม กับ แผน 20-30 ล้านปลดล็อคใหม่ จึงทำให้ผู้ที่มี Prestige Health 10-30 ล้านเดิมอยู่ และต้องการปรับเพิ่มความคุ้มครอง พร้อมจ่ายเบี้ยเพิ่มประมาณ 1.46 เท่าจากเดิม จะมี 2 ทางเลือกดังนี้
ทางเลือกที่ 1 เปลี่ยนแผนใหม่ : สิ่งที่ได้เมื่อเปลี่ยนจาก [แผน 10-30 ล้านเดิม] เป็น [แผน 20-30 ล้านใหม่]
- 1. ได้ทางเลือกห้องเดี่ยวราคาเริ่มต้นของ รพ. เผื่อในอนาคต จากค่าห้อง 8,000 - 10,000 บ.
- 2. ได้เวชศาสตร์ฟิ้นฟูผู้ป่วยนอกข้อ 8 รวมถึงอรรถบำบัด (กายภาพบำบัด OPD กรณี Follow up จาก IPD)
- 3. ได้ค่าปรึกษา ค่าตรวจ OPD สำหรับการรักษาแบบ Targeted Therapy จ่ายตามจริง
- 4. ได้ค่าชดเชย 500,000 บ. หากอยู่สภาวะวิกฤต 5 สภาวะ ไม่ว่าจะมีที่มาจากโรคหรืออุบัติเหตุใดๆ
- 5. ได้รับรองการรักษาด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ในอนาคตทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก
ทางเลือกที่ 2 อัพเกรดแผนเก่า : สิ่งที่ได้เมื่อเปลี่ยนจาก [แผน 10-30 ล้านเดิม] เป็น [แผน 50-80 ล้านเดิม]
- 1. ได้ค่าห้องเพิ่มเป็น 12,000 - 15,000 บ. จากค่าห้อง 8,000 - 10,000 บ.
- 2. ได้เวชศาสตร์ฟิ้นฟูผู้ป่วยนอกข้อ 8 ไม่รวมถึงอรรถบำบัดที่ 5,000 - 10,000 บ.ต่อปี (รวมแพทย์ทางเลือก)
- 3. ได้ค่าตรวจรักษา OPD ทั่วไป 15,000 - 30,000 บ.ต่อปี (ไม่รวมกายภาพบำบัด OPD)
- 4. ได้ค่าเวชภัณฑ์ 2 บางอุปกรณ์ เพิ่มเป็น 100,000 - 200,000 บ. ตลอดชีพ จาก 50,000 - 80,000 บ. ตลอดชีพ
▍สรุป : เปรียบเทียบ ทางเลือกแผนใหม่ กับ ทางเลือกแผนเก่า
1. แผนใหม่ชนะ (ค่าห้องสำหรับในอนาคต)
2. แผนใหม่ชนะ (เวชศาสตร์ฟื้นฟูจ่ายตามจริง)
3. แผนใหม่ชนะในกรณี OPD การตรวจยีนให้คำปรีกษาสำหรับ Targeted Therapy แต่แพ้แผนเก่าใน OPD ทั่วไป
4. แผนใหม่ชนะในแง่มุมได้ค่าชดเชย 500,000 บ.ในภาวะวิกฤต และ ค่ารักษาในอนาคต
5. แผนใหม่เลือกมี Deductible ได้เพื่อให้เบี้ยลดลงในตอนก่อนเกษียณ แล้วค่อบปรับเป็นไม่มี Deductible หลังเกษียณได้โดยไม่ต้องมีการพิจารณาและนับระยะรอคอยใหม่
▍ข้อสังเกตุ : แผนใหม่จะเปลี่ยนจาก OPD ทั่วไปของแผนเก่า ให้เจาะจงมากขึ้นและได้เป็นจ่ายตามจริง และ แผนใหม่เน้นลดความกังวลในอนาคตได้มากขึ้น
แผน 50-80 ล้านเดิม VS.
แผน 50-100 ล้านใหม่
สิ่งที่ได้เมื่อเปลี่ยนจาก แผน 50-80 ล้านเดิม เป็น แผน 50-100 ล้านใหม่ (เบี้ยขึ้นประมาณ 1.4-1.6 เท่า)
- 1. ได้ทางเลือกห้องเดี่ยวราคาเริ่มต้นของ รพ. เผื่อในอนาคต เพิ่มจากค่าห้อง 12,000 - 15,000 บ.
- 2. ได้เวชศาสตร์ฟิ้นฟูผู้ป่วยนอกข้อ 8 รวมถึงอรรถบำบัด จ่ายตามจริง
- 3. ได้ค่าปรึกษา ค่าตรวจ OPD ตรวจยีน สำหรับการรักษาแบบ Targeted Therapy จ่ายตามจริง
- 4. ได้ค่าชดเชย 500,000 บ. หากอยู่สภาวะวิกฤต 5 สภาวะ ไม่ว่าจะมีที่มาจากโรคหรืออุบัติเหตุใดๆ
- 5. ได้รับรองการรักษาด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ในอนาคตทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก
- 6. ได้ OPD เพิ่มเป็น 50,000 - 100,000 บ. ที่ใช้กับกายภาพบำบัดได้ จากแต่ก่อนได้ 15,000 - 30,000 ต่อปี ใช้กับกายภาพบำบัดไม่ได้
- 7. ได้ค่าแพทย์ทางเลือกวงเงินตนเอง 5,000 - 10,000 บ.ต่อปี จากแต่ก่อนต้องแชร์กับเวชศาสตร์ฟื้นฟู
- 8. ได้ค่าตรวจสุขภาพ หรือ วัคซีน หรือ จิตเวช 0 - 15,000 บ. ต่อปี
- 9. ได้ค่าทันตกรรม 0 - 10,000 บ. ต่อปี
▍สรุป : ทั้ง 9 ข้อเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเบี้ยจึงจำเป็นต้องเพิ่มสูงขึ้น
▍ข้อสังเกตุ : การเพิ่มของเบี้ยนี้จึงทำให้ต้องเปรียบเทียบกับแบบประกันสุขภาพบริษัทอื่นๆ ในแผนระดับสูง ว่าจะมีแบบประกันสุขภาพใดที่สามารถจะให้ความคุ้มครองในระดับเดียวกันได้ ด้วยเบี้ยที่ใกล้เคียงกัน
แผน 100 ล้านเดิม VS.
แผน 200 ล้านใหม่
สิ่งที่ได้เมื่อเปลี่ยนจาก แผน 100 ล้านเดิม เป็น แผน 200 ล้านใหม่ (เบี้ยขึ้นประมาณ 1.06 เท่า)
- 1. ได้ทางเลือกห้องเดี่ยวราคาเริ่มต้นของ รพ. เผื่อในอนาคต จากค่าห้อง 25,000 บ.
- 2. ได้เวชศาสตร์ฟิ้นฟูผู้ป่วยนอกข้อ 8 รวมถึงอรรถบำบัด
- 3. ได้ค่าปรึกษา ค่าตรวจ OPD สำหรับการรักษาแบบ Targeted Therapy จ่ายตามจริง
- 4. ได้ค่าชดเชย 500,000 บ. หากอยู่สภาวะวิกฤต 5 สภาวะ ไม่ว่าจะมีที่มาจากโรคหรืออุบัติเหตุใดๆ
- 5. ได้รับรองการรักษาด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ในอนาคตทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก
- 6. ได้ OPD จ่ายตามจริงที่ใช้กับกายภาพบำบัดได้ จากแต่ก่อนใช้กับกายภาพบำบัดไม่ได้
- 7. ได้ค่าแพทย์ทางเลือกวงเงินตนเอง 50,000 บ.ต่อปี จากแต่ก่อนต้องแชร์กับเวชศาสตร์ฟื้นฟู
- 8. ได้ค่าตรวจสุขภาพ หรือ วัคซีน หรือ จิตเวช 50,000 บ. ต่อปี
- 9. ได้ค่าทันตกรรม 40,000 บ. ต่อปี
▍สรุป : Prestige Health ปลดล็อค แผนสูงสุด ได้กลับมาให้ความคุ้มครองที่สูงมากกว่าเดิมในเบี้ยประกันที่ใกล้เคียงเดิม จึงทำให้ในตลาดสูงสุดนี้ Prestige Health ปลดล็อคได้กลับมาเป็นแบบประกันสุขภาพที่น่าสนใจมากกว่าเดิมอย่างมาก
▍ข้อสังเกตุ : เป็นแบบประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองที่จำเป็นสูงสุดในปัจจุบัน แม้จะยังไม่รวมค่าตัดแว่นหรือค่าทำคลอดก็ตาม
บทสรุป เก็บตัวเดิมไว้ หรือ ทำตัวปลดล็อคใหม่ดีกว่า แล้วปลดล็อคแบบมีรับผิดดีหรือไม่
ส่วนหนึ่งที่เป็นจุดให้ผู้ถือ Prestige Health ตัวเดิมเป็นกังวล มักจะเกี่ยวกับค่าห้องในอนาคต ค่าเวชศาสตร์ฟื้นฟูผู้ป่วยนอก และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจไม่ครอบคลุมการรักษาที่ยังไม่ได้รับรองโดยแพทยสภา หรือ แม้ได้รับการรับรองแล้วแต่ไม่ปรากฏวิธีการรักษานี้อยู่ในกรมธรรม์ (โดยเฉพาะในกรณีผู้ป่วยนอกอย่างการรักษามะเร็ง)
ซึ่งมักจะแก้ไข Prestige Health เดิม เพื่ออุดช่องโหว่เหล่านี้ได้โดยการ
- เตรียมเงินสำรองฉุกเฉินเอง ใน ค่ากายภาพบำบัด OPD, การตรวจยีนส์รับยามุ่งเป้า OPD
- การทำประกันสุขภาพ "ค่าห้องเดี่ยวราคาเริ่มต้นจ่ายรับผิดส่วนแรก 1 แสน" (เสมือนได้ค่าห้องเดี่ยวเริ่มต้นเพิ่มมาจากค่าห้องเดิม) หรือ ให้ตัวแทนขอส่วนลดค่าห้องให้ (บางแบบประกันค่าห้อง 2,500 ขอส่วนลด รพ. สามารถพักห้องเดี่ยว 15,000 ได้)
- การทำสัญญาเพิ่มเติมค่ารักษาอุบัติเหตุเพื่อสำหรับค่ากายภาพบำบัด OPD จากอุบัติเหตุ
- ทำสัญญาเพิ่มเติมประกันโรคร้ายแรง หรือทำสัญญาเพิ่มเติมด้านทุพพลภาพ หรือด้านชดเชยรายวัน เพื่อทดแทนเงินสภาวะวิกฤต 500,000 บ. หรือแม้แต่ใช้ในการรักษาแบบใหม่ที่ยังไม่รองรับจากแพทยสภา
- การทำหนังสือขอความอนุเคราะห์เพื่อใช้วิธีการรักษามะเร็งผู้ป่วยนอกวิธีใหม่ที่ได้รับรองจากแพทยสภา แต่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในกรมธรรม์ โดยมีความจำเป็นทางการแพทย์เพราะเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่า
Prestige Health ปลดล็อคเอง จึงเกิดมาจากแนวคิดที่ต้องการอุดช่องโหว่ให้ได้มากที่สุด และจบภายในสัญญาเดียว ซึ่งแลกมากับเบี้ยประกันสุขภาพที่สูงมากขึ้นพอสมควร แต่ถ้ามองถึงในอนาคตและอาจลดเบี้ยโดยจ่ายรับผิดส่วนแรกได้ ก็อาจจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ
ในส่วนการปลดล็อคมีสัญญาว่าพร้อมรองรับวิธีการรักษาใหม่ๆ ในอนาคตนั้น จริงๆ อาจจะแตกต่างกันเพียงไม่ต้องทำหนังสือขอความอนุเคราะห์ กับระยะเวลาดำเนินการอนุเคราะห์ที่น้อยลง เพราะสุดท้ายแล้วยังจำเป็นต้องขอดูแผนการรักษาและเหตุผลทางการแพทย์ประกอบด้วยอยู่ดี โดย
- แบบปลดล็อค สินไหมพิจารณาแผนการรักษาว่ามีความจำเป็นทางการแพทย์สำหรับใช้แนวทางการรักษาใหม่หรือไม่
- แบบเดิม สินไหมพิจารณาหนังสือขอความอนุเคราะห์ทำไมใช้แนวทางการรักษาเดิมไม่ได้ พิจารณาแผนการรักษาว่ามีความจำเป็นทางการแพทย์สำหรับใช้แนวทางการรักษาใหม่หรือไม่
แต่ไม่ว่าอย่างไร แนวทางการรักษาใหม่ที่จะใช้ในแบบปลดล็อคหรือไม่ปลดล็อค จะต้องได้รับรองจากแพทยสภาเรียบร้อยแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถนำมาใช้งานได้ (แต่ถ้ายังไม่ได้รับรอง แบบปลดล็อคจะยังสามารถพึ่งเงินค่าชดเชย 500,000 บ. ได้ หากพบว่าอยู่ใน 5 สภาวะวิกฤต ในขณะที่แบบเดิมต้องดูว่ามีการทำสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรงหรือทุพพลภาพไว้หรือไม่)
ด้วยข้อมูลทั้งหมดนี้แบบปลดล็อคจึงน่าสนใจและเป็นประกันสุขภาพสำหรับรองรับอนาคตจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม Prestige Health ปลดล็อค ได้ทิ้ง Segment ของลูกค้าที่สนใจ แผน 10-30 ล้านเดิมแต่ทำไม่ทัน ให้มาอยู่กับ BLA Happy Health Premier แทน ซึ่งจะโอนความเสี่ยงของโรคมะเร็งผู้ป่วยนอกได้จำกัดกว่า
การมาของ Prestige Health ปลดล็อค จึงเป็นแนวโน้มที่ชัดเจนว่า เบี้ยประกันสุขภาพของแบบประกันสุขภาพใหม่นั้น เบี้ยมีแต่จะสูงมากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่แบบเก่าที่ให้ความคุ้มครองสูงแต่เบี้ยไม่สูงมาก จำเป็นจะต้องทยอยปิดรับสมัครลง เพื่อลดความเสี่ยงและอัตราการขาดทุนของบริษัทประกันลงนั่นเอง
แต่ทั้งนี้ Prestige Health ปลดล็อคเอง ก็ยังมีแบบรับผิดส่วนแรกแบบรายปี (Deductible) ให้เลือกร่วมด้วย ซึ่งจะสามารถช่วยลดเบี้ยประกันลงได้ในระดับหนึ่ง และอาจจะน่าสนกว่า BLA Happy Health Premier ได้ เพราะอย่างน้อยจ่ายเพียงรับผิดส่วนแรกเท่านั้น จะไม่ต้องจ่ายส่วนต่างอื่น ๆ ในหมวดที่ BLA Happy Health Premier ไม่ได้ให้ความคุ้มครอง และอาจมีราคาที่สูงกว่าค่ารับผิดส่วนแรกได้
โดยจะสามารถ เปรียบเทียบ Prestige Health ปลดล็อค ระหว่าง มี/ไม่มี รับผิดส่วนแรก ได้ ในบทความด้านล่างนี้
การวางแผนเก็บเงินและเกษียณอย่างจริงจัง เริ่มขึ้น เมื่อเข้าใจ..
วิธีใช้ธรรมชาติของเครื่องมือการเงินที่จำเป็นให้เกิดประโยชน์สูงสุด
"ตน (ในปัจจุบัน) จักเป็นที่พึ่งของตน (ในอนาคต)"