การให้เงินได้ทำหน้าที่ผ่านเครื่องมือการเงินที่มีกลไกช่วยให้เป็นไปตาม 'วัตถุประสงค์ของเงิน' สอดคล้องกับ 'ระยะเวลาที่จะใช้งาน' และ ถูกต้องตาม 'ลำดับความสำคัญ' จะเป็นวิธีการใช้เงินได้ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
เพราะนอกจากที่เครื่องมือการเงินจะช่วยป้องกันไม่ให้นำเงินไปใช้ผิดหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย หรือ ผิดวัตถุประสงค์แล้ว
ยังช่วยทำให้สามารถประหยัดเงินที่ต้องทำตามหน้าที่นั้น ๆ ได้มากกว่าหลักล้านบาทขึ้นไป ทั้งยังได้สิทธิลดหย่อนภาษี ช่วยให้ประหยัดภาษี และหรือ ได้เงินคืนภาษีกลับมาอีกด้วย
ที่สำคัญที่สุด หากเครื่องมือการเงินได้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมจะช่วยให้สามารถ เกษียณได้อย่างมีความสุข
คลายความกังวลในส่วนค่าใช้จ่าย เช่น ค่ากิน ค่าอยู่ ค่ารักษาพยาบาล ในตอนเกษียณที่ยากจะกลับมาทำงานได้ดีเหมือนเดิมได้

อย่างที่ทราบกันว่า ยิ่งกำหนด "หน้าที่" หรือ "วัตถุประสงค์" ของเงิน และ "ระยะเวลาที่จะใช้" ให้ชัดเจนเท่าใด การเลือกเครื่องมือการเงินที่เหมาะสมสำหรับเงินหน้าที่นั้น ๆ จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เช่น เครื่องมือการกู้เงิน หากกู้โดยไม่ระบุวัตถุประสงค์และเวลาใช้คืนอย่างบัตรกดเงินสด ดอกเบี้ยจะสูงถึง 25% ต่อปี ซึ่งสูงกว่า ดอกเบี้ย 3%-7% ต่อปี ของการกู้เพื่อซื้อบ้านที่มีระยะเวลาการผ่อนที่ชัดเจน อย่างมาก
โดยเครื่องมือการออมเงิน ก็เป็นเช่นเดียวกับการกู้ คือ หากระบุวัตถุประสงค์ว่าออมเพื่ออะไร และ นานเท่าใดอย่างชัดเจน ก็จะยิ่งได้เครื่องมือการเงินที่ตอบโจทย์มากที่สุดตามมา
และแน่นอนว่า ดีกว่าแบบไม่ระบุวัตถุประสงค์และระยะเวลาอย่างมาก เพราะแบบที่ไม่ระบุเหล่านี้ สุดท้ายแล้วจะหนีไม่พ้นการต้องเลือกฝากเงินกับธนาคารไว้ก่อน ซึ่งได้เพียงดอกเบี้ยธนาคารที่ประมาณ 1% ต่อปีเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ผู้คนส่วนใหญ่มักจะใช้เงิน โดยไม่กำหนดวัตถุประสงค์ (เช่น เพียงขอได้ลดหย่อนภาษี) และ ผิดลำดับเวลาอยู่เสมอ (บางเครื่องมือใช้ได้ตอนอายุไม่มากท่านั้น)
อย่างการได้เงินโบนัสมาก แล้วใช้ประกันสะสมทรัพย์เพื่อบังคับเก็บเงินระยะ 10 ปี เพียงให้ได้ลดหย่อนภาษี ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการป้องกันความผันผวนของชีวิตใดๆ และ ประกันสะสมทรัพย์เองส่วนใหญ่แล้วจะทำตอนอายุเท่าใดก็ได้
ทำให้สุดท้ายสิ่งที่ได้กลับมา คือ เพียงผลประโยชน์ที่มากกว่าเงินต้นเล็กน้อยร่วมกับเงินคืนภาษี โดยที่เงินส่วนนี้ไม่ได้ไม่ระบุวัตถุประสงค์ต่อไปอีกว่าจะเอาไปทำอะไรต่อ
ส่งผลให้พอครบกำหนดเวลา 10 ปี เงินออมก้อนนี้ก็มักจะหมดไป โดยจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า..ได้นำไปใช้ในเรื่องอะไรบ้าง หรือ หากให้เลวร้ายมากขึ้น ก็อาจนำเงินออมไปดาวน์ของชิ้นใหญ่ที่อยากได้ในตอนนั้นแทน สร้างหนี้ก้อนใหม่ก้อนใหญ่ต่อไปอีก
นี่จึงกลายเป็นการออมแบบเกือบสูญเปล่าและยังอาจสร้างภาระหนี้ใหม่ขึ้นมา เพียงเพราะไม่ระบุเป้าหมายหรือหน้าที่ให้กับเงินออม

ดังนั้นเพื่อที่จะสามารถจับคู่ หน้าที่ของเงิน กับ เครื่องมือการเงินที่ลดหย่อนภาษีได้ อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบศึกษาทำความเข้าใจในเครื่องมือการเงินแต่ละแบบโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะกับเครื่องมือที่นำมาลดหย่อนภาษีได้ ดังหัวข้อต่อไปนี้
กลไกของแต่ละเครื่องมือการเงินลดหย่อนภาษี
สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจก่อนเลือกใช้เครื่องมือการเงิน คือ กลไกการทำงาน หรือ วัตถุประสงค์ของเครื่องมือการเงินแต่ละแบบ โดยเฉพาะแบบที่ลดหย่อนภาษีได้ รวมไปถึงผลประโยชน์ที่จะได้จากการออมของแต่ละเครื่องมือ ดังต่อไปนี้
1. ประกันชีวิต
วัตถุประสงค์ : [NEEDs]
- สำหรับส่งเงินต่อให้คนข้างหลังเมื่อเสียชีวิต โดยไม่ต้องผ่านการจัดตั้งผู้จัดการมรดก ไม่ผ่านเจ้าหนี้ และ ไม่ต้องเสียภาษี
- เพื่อให้เงินนี้ได้เป็น ทุนการศึกษาให้ลูก ได้ช่วยจัดการกับภาระต่าง ๆ ที่ทิ้งไว้ รวมถึงได้ช่วยในการปรับตัวของครอบครัวภายหลังการจากไป
ระยะเวลา :
- 5-20+ ปี
ผลประโยชน์ : [RISKs]
- ปกป้องเงินจากการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์ โดยหากจำเป็นต้องใช้เงินที่ออมนี้จริง ๆ จะสามารถนำออกมาใช้ได้ผ่านการกู้กรมธรรม์ที่ต้องมีการคืนเงินที่กู้พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่ยืมไป
- ให้ความคุ้มครองชีวิตทันทีที่สูงกว่าเงินที่ออมก้อนแรกได้สูงสุดถึงกว่า 40-250 เท่า หรือ กว่า 2-5 เท่าของเงินที่ออมทั้งหมดในระยะเวลา 5-20 ปี ตามแต่อายุที่เริ่มทำประกัน
ใช้เครื่องมือการลงทุนแทนได้หรือไม่ :
- การลงทุนต้องใช้เวลานานหลายปี กว่าที่เงินจะเติบโตได้เท่ากับความคุ้มครองชีวิตที่ได้ในทันที รวมถึงเงินลงทุนส่งต่อให้คนข้างหลังได้ยากกว่า และ อาจถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์ได้ง่ายกว่า
2. ประกันมะเร็งโรคร้ายแรง
วัตถุประสงค์ : [NEEDs]
- สำหรับเป็นเงินชดเชยยามขาดรายได้ ทั้งในระหว่างการรักษาโรคร้ายแรง และการปรับตัวภายหลังการรักษา
ระยะเวลา :
- 20+ ปี
ผลประโยชน์ : [RISKs]
- ปกป้องเงินเก็บจากการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์ โดยหากจำเป็นต้องใช้เงินที่ออมนี้จริง ๆ จะสามารถนำออกมาใช้ได้ผ่านการกู้กรมธรรม์ที่ต้องมีการคืนเงินที่กู้พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่ยืมไป
- ให้ความคุ้มครองโรคร้ายแรงทันทีที่สูงกว่าเงินที่ออมก้อนแรกได้สูงสุดถึงกว่า 75-300 เท่า หรือ โดยรวมมากกว่าเงินเก็บทั้งหมด 2-4 เท่าตามแต่อายุที่ทำประกัน
ใช้เครื่องมือการลงทุนแทนได้หรือไม่ :
- การลงทุนต้องใช้เวลานานหลายปี กว่าที่เงินจะเติบโตได้เท่ากับความคุ้มครองโรคร้ายแรงที่ได้ในทันที รวมถึงเงินลงทุนอาจถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์ได้ง่ายกว่า
3. ประกันสุขภาพ
วัตถุประสงค์ : [NEEDs]
- สำหรับเป็นเงินค่ารักษาใน รพ.เอกชน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยใน และมะเร็งที่ยากจะคาดการณ์ค่าใช้จ่ายได้
- เพื่อป้องกันการล้มละลายเพราะค่ารักษาที่เฟ้อสูงขึ้นมากในแต่ละปี
ระยะเวลา :
- ตลอดชีพ โดยเบี้ยจะมีการปรับเพิ่มขึ้นตามอายุ ควรวางแผนเกษียณส่วนนี้ให้ดี
ผลประโยชน์ : [RISKs]
- ปกป้องเงินเก็บจากการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์
- ไม่ล้มละลายเพราะค่ารักษาค่าผ่าตัดที่บานปลาย โดยเฉพาะหากทำตอนยังไม่มีประวัติการรักษาที่เป็นอาการเรื้อรังที่จะถูกยกเว้นความคุ้มครอง หรือไม่รับทำประกันสุขภาพได้
- เปลี่ยนค่ารักษาที่ไม่ทราบงบประมาณต่อปีที่ชัดเจน ให้กลายมาเป็นเบี้ยประกันที่ชัดเจนว่าต่อปีต้องจ่ายเท่าใด
ใช้เครื่องมือการลงทุนแทนได้หรือไม่ :
- การลงทุนจะมีสภาพคล่องที่น้อยกว่าประกันสุขภาพอย่างมาก และต้องใช้เวลาในการให้เงินเติบโตนานหลายปีกว่าได้จะได้วงเงินค่ารักษษหลักสิบล้านทุกปีได้
4. ประกันบำนาญ
วัตถุประสงค์ : [NEEDs]
- สำหรับเปลี่ยนเงินออม ให้กลายเป็นรายได้ประจำปลอดภาษีตอนเกษียณแบบแน่นอนโดยไม่ต้องทำการบริหารหรือจัดการใด ๆ
- ลดปัญหาความยากการลงทุนทำธุรกิจตอนเกษียณเพื่อให้มีรายได้ประจำ และไม่ต้องกังวลภาวะเศรษฐกิจตอนเกษียณ
- เพื่อป้องกันการถูกมิจฉาชีพหลอกในวัยเกษียณที่ความคิดอ่านเริ่มเสื่อมถอยลง
ระยะเวลา :
- ชำระเบี้ยแบบ 1 ปี 5 ปี 10 ปี หรือจนถึงอายุครบ 60 ปี
ผลประโยชน์ : [FIXED INCOME]
- ปกป้องเงินเก็บจากการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะในตอนเกษียณ
- รายได้ประจำที่ได้ตอนเกษียณ มีโอกาสได้มากกว่าเงินที่ออมทั้งหมดกว่า 2-4 เท่า ขึ้นอยู่กับอายุที่เริ่มทำประกัน และอายุยืนมากเพียงใด
- ได้ผลตอบแทนที่ชัดเจน ไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาด และไม่ถูกเก็บภาษี
ใช้เครื่องมือการลงทุนแทนได้หรือไม่ :
- การลงทุนไม่การันตีผลตอบแทน ไม่การันตีว่าจะมีรายได้ประจำถึงอายุที่ต้องการได้ 100% ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี และต้องระวังการเผลอนำเงินทั้งหมดออกไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือโดนหลอก
5. ประกันสะสมทรัพย์
วัตถุประสงค์ : [NEEDs or WANTs]
- สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายที่ทราบแน่นอนว่าจะเกิดขึ้นในอีกกี่ปีข้างหน้า โดยไม่ต้องกังวลสภาพตลาด หรือสภาพเศรษฐกิจใด ๆ ในปีที่จะได้เงินออกมาใช้
ระยะเวลา :
- ตามแต่ละแบบประกัน เริ่มตั้งแต่ออม 1 ปี ได้เงินคืนกลับมาทั้งหมดตอนปีที่ 10 เป็นต้น
ผลประโยชน์ : [FIXED RETURN]
- ปกป้องเงินเก็บจากการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
- สัญญาผลตอบแทนที่ชัดเจน ไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาด และไม่ถูกเก็บภาษีดอกเบี้ย
ใช้เครื่องมือการลงทุนแทนได้หรือไม่ :
- การลงทุนไม่การันตีผลตอบแทน ต้องมีการบริหารจัดการที่ดีให้ไม่ขาดทุนโดยเฉพาะช่วงที่ใกล้จะนำเงินออกมาใช้ และต้องระวังการนำเงินลงทุนออกมาใช้ก่อนอย่างผิดวัตถุประสงค์
6. กองทุน RMF/THAIESG ตราสารหนี้
วัตถุประสงค์ : [NEEDs or WANTs]
- สำหรับเก็บเงินระยะสั้นหรือระยะกลาง ต้องการให้เงินมีโอกาสเติบโตได้บ้าง โอกาสขาดทุนน้อย และได้ผลประโยชน์ทางภาษี
- มักใช้ตอนที่จะมีการทยอยนำเงินออกมาใช้ในแต่ละปี หรือ ใกล้ที่จะนำเงินออกมาใช้ทั้งหมด เพื่อป้องกันตลาดขาลง
ระยะเวลา :
- 10 ปี หรือจนถึงอายุ 55 ปี RMF
- 5 ปี THAIESG
ผลประโยชน์ : [Small Variable Returns]
- ปกป้องเงินลงทุนจากการรีบนำออกมาใช้เร็วเกินไป โดยเงินยังไม่มีเวลาได้เติบโต
- ไม่มีผลตอบแทนที่ชัดเจน แต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการเงินฝาก และมีโอกาสขาดทุนน้อย
เมื่อเทียบกับเครื่องมือประกัน :
- วัตถุประสงค์ในการเก็บออมจะคลุมเครือมากกว่าประกัน โดยส่วนใหญ่จึงมักเน้นไปที่แผนเกษียณ ไว้เสริมเงินบำนาญ (NEEDs) ที่ได้จากประกันบำนาญ
7. กองทุน RMF ตราสารทุน หรือ ตราสารผสม
วัตถุประสงค์ : [WANTs]
- สำหรับเก็บเงินระยะยาว ต้องการให้เงินมีโอกาสได้เติบโต เพื่อเป็นความหวังในอนาคตได้ มีโอกาสขาดทุนในระยะสั้น แต่ในระยะยาว 15 ปีขึ้นไปโอกาสขาดทุนจะลดลงอย่างมาก
- เงินที่เก็บจะเน้นนำไปใช้เพื่อช่วยประกันบำนาญจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพ และ/หรือ เพื่อความสะดวกสบาย (WANTs) ในตอนเกษียณ เพราะหากผลตอบแทนไม่เป็นตามคาดการณ์ จะเพียงสะดวกสบายน้อยลงเท่านั้น
ระยะเวลา :
- 10 ปี หรือจนถึงอายุ 55 ปี มักเริ่มใช้ตอนเกษียณ
ผลประโยชน์การเก็บเงิน : [Large Variable Returns]
- ปกป้องเงินลงทุนจากการรีบนำออกมาใช้เร็วเกินไป โดยเงินยังไม่มีเวลาได้เติบโต
- ไม่มีผลตอบแทนที่ชัดเจน แต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว
- ด้วยโอกาสที่เติบโตสูง จึงสามารถนำไปช่วยเสริมบำนาญจากประกันบำนาญได้
เมื่อเทียบกับเครื่องมือประกัน :
- วัตถุประสงค์ในการเก็บออมจะคลุมเครือมากกว่าประกัน
- ไม่ได้การันตีผลตอบแทน
- โดยส่วนใหญ่จึงมักเน้นไปที่แผนเกษียณ เพื่อไว้เสริมเงินบำนาญ โดยให้เป็นบำนาญส่วน WANTs และ ทดแทนเงินที่เฟ้อสูงขึ้นได้ในอนาคต (แต่ไม่แน่นอน)
- มักมีความรู้สึกเสียดาย โดยเฉพาะหากต้องนำไปใช้จ่ายเกี่ยวกับค่ารักษา หรือ การต้องกันเงิน ไว้สำหรับค่าชดเชยโรคร้าย หรือไว้เป็นมรดก เนื่องด้วยต้องใช้เวลาเติบโตของเงินที่ค่อนข้างนาน
- ความรู้สึกเป็นเจ้าของเงินที่ต้องการนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์ทั่วไป จะมีมากกว่าประกันที่มีวัตถุประสงค์ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นออม
เครื่องมือการเงินทั้ง 7 แบบนี้ จะทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า ทุกเครื่องมือจำเป็นต้องใช้ให้สอดคล้องร่วมกัน แล้วจะทำให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดจากเงินที่ออม
เพราะไม่มีเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งที่จะสามารถทดแทนได้ทุกเครื่องมือ นี้จึงเป็นสาเหตุสำคัญว่าเพราะเหตุใด สิทธิลดหย่อนภาษีที่ได้จึงกระจายไปตามแต่ละเครื่องมือการเงินอย่างครบถ้วน ดังในหัวข้อต่อไปนี้
สิทธิลดหย่อนภาษีของแต่ละเครื่องมือการเงิน
จากตัวเลขรวมทั้งหมด สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 900,000 บ. โดยหากฐานภาษีอยู่ที่ 35% การวางแผนออมการลงทุนครั้งนี้จะได้เงินคืนภาษีกลับมาที่ 315,000 บาท หรือ ออม 900,000 บ. แต่ใช้เงินสำหรับออมจริง ๆ เพียง 585,000 บ. เท่านั้น
และที่สำคัญที่สุดเงินคืนภาษีจำนวน 245,000 บาทนี้ ยังสามารถนำไปจ่ายเบี้ยประกันในปีต่ออายุหรือปีที่ขอเงินคืนภาษีได้อีกด้วย ทำให้เหมือนได้ทั้งประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้าย หรือ แม้แต่ประกันบำนาญ มาแบบลดราคาจากเงินคืนภาษีนี้เอง

เหตุใดต้องรีบใช้งาน ในบางเครื่องมือการเงินก่อนเครื่องมืออื่น
คนส่วนใหญ่มักจะเลือกจะใช้สิทธิลดหย่อนในส่วนของเครื่องมือการเงินด้านการลงทุน ก่อนการเลือกใช้เครื่องมือการเงินด้านความคุ้มครอง
อาจด้วยเพราะความประมาท หรือ ไม่ได้กำหนดหน้าที่กับเป้าหมายของเงินออมว่าจะนำไปใช้อะไรอย่างชัดเจน จึงมองว่าเน้นการลงทุนไว้ก่อนเพื่อขอให้มีเงินมากขึ้นแล้วค่อยว่ากัน
ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 สาเหตุที่ทำให้ออมยังไงก็ไม่รวย เพราะเงินออมเสี่ยงที่จะเติบโตไม่ทันต่อ 5 ศัตรูร้ายการออม หรือ ถ้าเติบโตทัน ก็มักมีความรู้สึกเสียดายเงินลงทุนที่ใช้เวลาเติบโตมานาน ไปกับค่ารักษาหลักแสนหลักล้าน หรือต้องมากันไว้เพื่อเป็นมรดกห้ามใช้ (แต่เจ้าหนี้มีสิทธิเข้าถึงก่อนคู่สมรสและทายาทหากจากไป)
หรือ อาจด้วยเพราะเป็นผู้ที่มีฐานภาษี 20% ขึ้นไป จึงมีโอกาสได้เงินคืนภาษีได้กว่า 100,000 บ. (จากการลงทุน RMF/PVD/ประกันบำนาญ จำนวน 500,000 บ.) แล้วจะค่อยนำเงินคืนภาษี 100,000 บ.นี้ มาพิจารณาใช้จ่ายกับประกันทีหลัง
แต่อย่างที่ทราบกันว่าเครื่องมือการเงินอย่าง ประกันชีวิต/ประกันสุขภาพ/ประกันโรคร้ายแรง นั้น จะไม่ได้รับทำประกันง่าย ๆ เพียงเพราะมีเงินเหมือนกับเครื่องมือการเงินด้านการลงทุน
เว้นแต่อายุยังน้อย เป็นเพศที่มีความเสี่ยงด้านนั้น ๆ ต่ำ และ ยังมีสุขภาพแข็งแรงไม่มีประวัติการรักษา ดังตัวอย่างเบี้ยรวมทั้งสัญญาของ ประกันชีวิตตลอดชีพ ประกันชีวิตตลอดชีพควบโรคร้ายแรง และ ประกันโรคร้ายแรงเบี้ยคงที่ (BLA HAPPY CI) ที่ทุนประกัน 1,000,000 บ. เท่ากันดังต่อไปนี้

จากกราฟจะเห็นได้ว่าทั้งประกันชีวิตและประกันโรคร้ายที่ทุนประกัน 1,000,000 บ. นั้น ในตอนอายุไม่เกิน 10 ปี จะใช้เบี้ยทั้งสัญญาเพียง 25%-50% ของเงิน 1,000,000 บ. เท่านั้น
ซึ่งหมายความว่า จากแต่ก่อนที่ต้องพยายามลงทุนให้ได้เงิน 1,000,000 บ. มารับความเสี่ยงด้านชีวิตหรือโรคร้ายเอง แต่หากเลือกใช้เครื่องมือประกันชีวิตประกันโรคร้ายเหล่านี้แทน
จะทำให้การลงทุนลดลงมาเหลือเท่ากับเบี้ยทั้งสัญญาที่ต่ำสุดเพียง 250,000 บ. เท่านั้น และจะได้เงิน 1,000,000 บ. มารอรับความเสี่ยงด้านชีวิตหรือโรคร้ายแทนตลอดชีวิตในทันทีตั้งแต่ที่จ่ายเบี้ยปีแรก โดยไม่ต้องรอให้จ่ายครบ 250,000 บ. ก่อน
และนี้คือพลังของการเลือกใช้ลำดับเครื่องมือการเงินที่จำเป็นก่อนอย่างถูกต้อง ทำให้จะไม่แปลกใจเลยว่า พ่อแม่ผู้ที่รู้ความลับนี้ จะรีบใช้เครื่องมือการเงินนี้กับลูก ๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อประหยัดเงินได้มากกว่าหลักล้านขึ้นไปได้อย่างแน่นอน

และถึงแม้พ่อแม่เองอาจประหยัดได้น้อยกว่าลูกด้วยอายุที่มากกว่า แต่ถ้าเลือกเครื่องมือได้ถูกต้อง ก็ยังคงประหยัดได้มากอยู่เช่นกัน
เช่น พ่อต้องการเก็บเงินเป็นมรดกให้ลูก 5,000,000 บาท เริ่มตอนอายุ 50 ปี ระยะเวลาภายใน 5 ปี ซึ่งหากเลือกใช้ประกันมรดก ในตอนที่สุขภาพยังแข็งแรง เงินที่ต้องใช้จ่ายเบี้ยทั้งสัญญา 5 ปี จะอยู่ที่ 2,099,730 บ. เท่านั้น
ทำให้เป้าหมายการลงทุนเก็บเงินจะลดลงมาเหลือเพียงที่ 2,099,730 บ. (จาก 5,000,000 บ.) หรือ ปีละ 419,946 บ. (จากปีละ 1,000,000 บ. ) และแน่นอนว่าจะมีมรดก 5 ล้านบาท มารองรับทันทีตั้งแต่ชำระเบี้ยปีแรก (ยังไม่นับรวมเงินคืนภาษี)
ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องมือด้านความคุ้มครอง จึงมักต้องรีบเลือกใช้ก่อนเครื่องมือการลงทุนเสมอ ทั้งเพราะด้วยเงินที่ประหยัดได้มากขึ้นอย่างน่าตกใจ และด้วยเพราะ หากทำช้าเกินไป สุขภาพ กับ อายุ อาจจะไม่อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถทำประกันเหล่านี้ได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตามเครื่องมือการเงินด้านความคุ้มครองนี้ จำเป็นต้องทำความเข้าใจรายละเอียดเงื่อนไขของสัญญาต่าง ๆ ให้ดี เพราะภายในเครื่องมือแบบเดียวกันเอง ก็มีการแบ่งย่อยออกเป็นอีกหลายอย่าง ที่จำเป็นต้องพิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับอายุ สุขภาพ และ เครื่องมือการเงินที่กำลังใช้อยู่เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน
บทสรุป และ ขั้นตอนต่อไป
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น จะสามารถพิจารณาตัวอย่าง BLUEPRINT การใช้งานเครื่องมือการเงินตามช่วงอายุต่าง ๆ ได้ในบทความต่อไปนี้





