หากดำเนินการ ออมเงิน และ กำหนดหน้าที่ของเงินออม ให้เป็นดังต่อไปนี้
- เงินค่ารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง และต้องได้การรักษาที่ดีและโดยเร็วที่สุด
- เงินค่ารักษาที่ไม่สามารถทราบจำนวนเงินที่ควรมีล่วงหน้าได้
- เงินเพื่อป้องกันการล้มละลายจากค่ารักษาของ รพ. ที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกปี
- เงินที่ช่วยให้ตอนเกษียณไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา
- เงินที่ช่วยให้ทราบว่าควรจะออมแต่ละปีเท่าใดจึงจะเพียงพอ
จะทำให้เครื่องมือการออมที่เหมาะสมที่สุด คือ..
ประกันสุขภาพ
ทำไมการทำประกันสุขภาพ จึงเป็นการออม และการวางแผนเหษียณ
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการทำประกันสุขภาพนั้น ไม่ใช่การออมแต่เป็นลักษณะจ่ายเบี้ยทิ้ง ที่มีโอกาสขาดทุน หากไม่ได้ป่วย..(แม้ทุกคนต้อง เจ็บป่วย แก่ชรา และจากไป)
ดังนั้นในความเป็นจริงแล้ว เกือบทุกบริษัทประกันจึงเสี่ยงขาดทุนกับประกันสุขภาพสูงมาก โดยเฉพาะกับแบบประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่ครอบคลุมไปถึงตอนเกษียณหรือในอนาคตได้ (ทำให้แบบประกันสุขภาพลักษณะนี้ จะมีความเข้มงวดในการรับทำประกันที่สูงอย่างมากเพื่อลดความเสี่ยงการขาดทุนนี้ลง)
ทำไมถึงต้องทำประกันสุขภาพ
อย่างที่ทราบว่าการออมสำหรับจุดประสงค์ให้เป็นค่าใช้จ่ายทางด้าน เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้น เป็นการออมที่สามารถใช้เงินผู้อื่นมาช่วยได้ผ่านเครื่องมือทางการเงิน โดยเฉพาะในกรณีที่เงินออมไม่พอจ่าย
ทั้งนี้การเกิด แก่ และตาย ยังพอที่จะคาดการณ์ค่าใช้จ่ายได้ จะมีก็แต่เพียงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการ "เจ็บ" เท่านั้น ที่คาดการณ์ได้ยากว่าจะเป็นเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเพิ่งเริ่มเก็บออมมาไม่นาน และต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายจาก การเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง
ดังนั้นการที่สามารถเข้าถึงเงินผู้อื่นเพื่อมาช่วยจ่ายค่ารักษาเหล่านี้ได้ผ่านประกันสุขภาพ จึงเป็นแนวทางที่ปลอดภัยและสมเหตุสมผลมากที่สุดในปัจจุบัน
ซึ่งจะดีกว่าการรอให้เงินออมไม่เพียงพอ แล้วต้องกู้ธนาคารมาจ่ายหนี้ค่ารักษาอย่างแน่นอน ดังบทความที่จะฉายให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า ทำไมถึงควรต้องรีบออมล่วงหน้าให้กับหนี้ค่ารักษาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนี้ และเข้าใจถึงความสำคัญของประกันสุขภาพนี้
แต่พอเข้าใจ..ก็เข้าสู่ยุคที่
แบบประกันสุขภาพที่ดี
ทยอยปิดตัว
เนื่องจากในปัจจุบันเป็นยุค ประกันสุขภาพเหมาจ่าย และ การเติบโต(อย่างต่อเนื่อง) ของ รพ.เอกชน ที่เสมือนเป็นตัวเร่งให้ ค่ารักษาพยาบาลสูงเพิ่มมากขึ้นทุกปี
เช่น ค่าผ่าตัดไส้ติ่งที่เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน รพ.เอกชน จะอยู่ที่ประมาณ 60,000 บ. แต่ในปัจจุบันได้ไต่ระดับขึ้นมาสูงถึง 200,000 บ. เป็นต้น (รวมไปถึงค่ารักษามะเร็งด้วยยาและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ค่ารักษาพุ่งไปถึงระดับ 10 ล้านบาทได้ไม่ยาก)
เพราะ รพ.เอกชน เองก็อาจมีการทำยอดจากผู้ทำประกันสุขภาพด้วย จึงทำให้ปัจจุบันบริษัทประกันฯ ต้องเริ่มมีมาตรการป้องกันและขอความร่วมมือกับทาง รพ.เอกชน ในรูปแบบของ การไม่อนุมัติให้เคลมการแอดมิต หากผู้ทำประกันป่วยเพียง Simple Disease ที่ไม่เข้าเงื่อนไขที่กำหนดโดย คปภ. หรือ มีการเพิ่มส่วนร่วมจ่ายหรือ Copayment เข้ามา
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่สามารถต้านทานค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นได้ จึงทำให้หลายบริษัทประกันจำเป็นต้องปิดรับผู้ทำประกันใหม่ในบางแผนประกันสุขภาพเหมาจ่ายลง และเปิดแผนใหม่ที่เบี้ยปรับสูงขึ้นมากมาแทน เพื่อลดความเสี่ยงของการขาดทุนของบริษัทลงได้บ้างในกลุ่มผู้ทำประกันใหม่
หรือบางบริษัทจะมีการออกข้อกำหนดมาชัดเจนว่า หมวดความคุ้มครองใดจะต้องสำรองจ่ายในทุกกรณี เช่น หมวดที่เกี่ยวข้องกับ OPD ต่าง ๆ เพื่อที่ทำให้ผู้ทำประกันได้ช่วยเตือนให้ รพ. อย่าคิดราคาแรงมาก เพราะตนเองไม่สามารถสำรองจ่ายได้สูงมากได้
(ปัจจุบันจึงกลายเป็นหนึ่งในคำถามสำคัญในการเลือกแบบประกันสุขภาพว่า หมวดความคุ้มครองใดบ้างที่บริษัทให้สำรองจ่ายเท่านั้น นอกจากการเปรียบเทียบเพียงหมวดความคุ้มครอง)
ดังนั้นหากใครก็ตามที่สามารถทำประกันสุขภาพได้เร็วพอ ก็จะมีโอกาสทันแผนประกันสุขภาพที่ประหยัดคุ้มที่สุดได้ แต่ถ้าหากไม่ทันก็จำเป็นต้องยอมรับแผนใหม่ที่มีเบี้ยประกันที่ปรับตัวสูงขึ้นไปแล้วแทน
สาเหตุให้ต้องรีบออมผ่านประกันสุขภาพ
การทำประกันสุขภาพในยุคนี้ จะต้องรีบค้นหาแบบประกันสุขภาพที่ดี และรีบทำให้เร็วที่สุด ไม่ใช่เพียงเพราะต้องเร็วให้ทันก่อนเผลอไปตรวจสุขภาพแล้วเจอโรคบางอย่างก่อน จึงทำให้ถูกยกเว้นความคุ้มครองในโรคนั้น ๆ เท่านั้น
แต่เป็นเพราะต้องเร็วให้ทัน ก่อนที่แผนประกันสุขภาพจะโดนปิดหรือถูกปรับเพิ่มเบี้ยขึ้น ด้วย
เนื่องด้วยค่ารักษาพยาบาลที่แพงสูงมากขึ้นนี้ จึงทำให้ประกันสุขภาพกลายเป็นเครื่องมือการออมที่สำคัญ ที่จะช่วยแบกค่าใช้จ่ายของวิธีการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เจออย่างแน่นอนต่อไปนี้ได้ (ซึ่งล้วนมีค่าใช้จ่ายเข้าสู่หลักแสนได้ไม่ยากในปัจจุบัน และยังไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะสูงขึ้นอีกเพียงใด)
การฉายภาพขั้นสูง MRI /CT Scan
การผ่าตัด
การส่องกล้อง
การรักษาด้วยเทคโนโลยีใหม่
ยังไม่นับรวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่พร้อมบานปลายอย่าง ค่าตรวจวินิจฉัยก่อนผ่าตัดหรือรักษามะเร็ง ค่าห้อง ค่าฟื้นฟูหลังการผ่าตัด ค่าตรวจวินิจฉัยรักษาติดตามอาการ ค่ายามะเร็งผู้ป่วยนอกรักษา 3-5 ปีหรือตลอดชีวิต ค่าตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยนอกติดตามมะเร็ง ซึ่งอย่างไรแล้วมีราคาเกินเบี้ยประกันสุขภาพที่ออมไปหลายปีแล้วอย่างแน่นอน
โดยค่าตรวจรักษาที่ไม่ทราบวงเงินที่ชัดเจนและพร้อมบานปลายเหล่านี้นี่เอง ได้กลายเป็นผลประโยชน์ที่ทรงพลังที่สุดของการออมผ่านเครื่องมืออย่างประกันสุขภาพ ที่อย่างน้อยทำให้คาดการณ์ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ผ่านทางเบี้ยประกัน
อย่างไรก็ตามประกันสุขภาพจะบังคับให้ออมผ่านเบี้ยประกันทุกปี และให้ออมมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น
จึงกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่มากที่ควรมีการวางแผนเกษียณส่วนเบี้ยประกันสุขภาพนี้ด้วย
โดยหากมีการวางแผนการเงินเพื่อดูแลเบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณอายุ 60-99 ที่ดีพอ ก็จะสามารถลดค่าเบี้ยประกันสุขภาพช่วงเกษียณทั้งหมดหลัก 10 ล้านบาท ให้เหลือประมาณ 2-3 ล้านบาท (เมื่อเริ่มวางแผนที่อายุประมาณ 30-35 ปี)
ซึ่งมูลค่าเงิน 2-3 ล้านบาท ในอีกประมาณ 20-30 ปีข้างหน้า อาจจะเป็นเพียงค่าผ่าตัดครั้งใดครั้งหนึ่งเท่านั้นก็เป็นได้
การออมผ่านประกันสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่หากมีโอกาสและสุขภาพยังทำได้แล้ว ไม่ควรหลีกเลี่ยงที่จะออม เพราะผลตอบแทนที่ได้จากการรักษาใน รพ. เอกชน โดยเฉพาะในแง่ของสภาพจิตใจยามป่วยไข้นั้นสูงมาก
คุณสมบัติของผู้ที่
ควรทำประกันสุขภาพ
ต้องการรักษาตัวที่ รพ.เอกชน
ต้องการรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด (ไม่อยากรอคิวนานกว่า 6-8 เดือน)
ต้องการรักษาโรคต่าง ๆ โดยที่ลดความกังวลเรื่องค่ารักษาให้ได้มากที่สุด
ต้องการเลือกวิธีการรักษาที่ดีที่สุดที่ได้รับการรับรองจากราชวิทยาลัยในแพทยสภาได้
ต้องการให้ค่ารักษาแต่ละครั้งอยู่ในงบประมาณที่ควบคุมได้ ทั้งของตนเองและสมาชิกในครอบครัว
ต้องการใช้ลดหย่อนภาษี 25,000 บ. (รวมในสิทธิลดหย่อน 100,000 บ. ของประกันชีวิต)
เบื้องต้นผู้ที่สนใจทำประกันสุขภาพ โดยส่วนใหญ่มักมีประสบการณ์ทางตรงจากสมาชิกในครอบครัว หรือ ทางอ้อมจากคนรู้จัก ที่ได้เห็นบริการเทียบระหว่างสิทธิสวัสดิการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สิทธิ 30 บ. สิทธิประกันสังคม หรือ สิทธิข้าราชการใน รพ.รัฐทั้งในและนอกเวลาทำการ และ รพ.เอกชน
รวมไปถึงได้ทราบถึงค่าตรวจรักษาในปัจจุบันนั้นมีราคาแพงสูงขึ้นอย่างมาก ไม่ต่างกับการปล้นกัน (OPDผู้ป่วยนอก-หลักหมื่น, IPDผู้ป่วยใน-หลักแสน, IPD+OPD โรคร้าย-หลักล้าน)
สิ่งที่ควรเข้าใจ
ก่อนทำประกันสุขภาพ
การแนะนำ/การขาย ประกันสุขภาพอย่างถูกต้องและไม่ให้เกิดระเบิดเวลาจากความไม่รู้ไม่เข้าใจในเงื่อนไขของสัญญานั้น จำเป็นจะต้องอธิบายอย่างน้อย 10 ประเด็นสำคัญด้านล่างนี้ให้เข้าใจก่อน ไม่ใช่เพียงการแสดงรายละเอียดของแบบประกันสุขภาพโดยเน้นที่ค่าห้องกับเบี้ยประกันเท่านั้น
เพราะถ้าอธิบายเพียงเท่านั้น การขายประกันสุขภาพก็จะไม่จำเป็นต้องมีตัวแทนช่วยอธิบายหรือทำสื่อชี้แจ้งข้อควรระวังกับเงื่อนไขของสัญญาใด ๆ เลย แต่ประกันสุขภาพไม่ได้ง่ายอย่างนั้น โดยเป็นหนึ่งในเครื่องมือการเงินที่ ห้ามซื้อ ห้ามสมัครใช้งาน หากยังไม่เข้าใจสัญญา ถ้าไม่อยากได้ระเบิดเวลาที่พร้อมระเบิดทันทีตอนที่จะใช้งาน
1. ประกันสุขภาพ เป็นเพียงหนึ่งในสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองให้กับสัญญาหลักประกันชีวิต
สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจ คือ หากสมัครทำประกันสุขภาพกับ "บริษัทประกันชีวิต" นั้น จะต้องเลือกสัญญาหลักที่เป็นประกันชีวิตเพื่อใช้กำหนดอายุของสัญญาขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงค่อยเลือกสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองให้กับประกันชีวิตที่จะนำมาแนบกับสัญญาหลักประกันชีวิตนี้
โดยประกันสุขภาพเองจะถือเป็นหนึ่งในรูปแบบของสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองนี้ ที่เน้นเพิ่มความคุ้มครองเฉพาะค่ารักษาที่ตรงตามเงื่อนไขของแบบประกันเท่านั้น ทั้งนี้เบี้ยประกันสุขภาพจะปรับเพิ่มตามอายุซึ่งสามารถต่ออายุได้ทุกปีแต่ไม่เกินอายุของสัญญาหลักประกันชีวิต (ทำให้ต้องเลือกประกันชีวิตที่คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี มาให้ประกันสุขภาพแนบเสมอ)
ซึ่งสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองอื่น ๆ ก็จะมีลักษณะแบบเดียวกันขึ้นอยู่กับว่าจะเน้นเพิ่มความคุ้มครองด้านใด เพราะประกันสุขภาพเองไม่สามารถคุ้มครองได้ทุกอย่าง ซึ่งตารางด้านล่างจะได้เรียงลำดับตามความสำคัญของสัญญาเพิ่มเติมที่ควรทำความเข้าใจในด้านการรักษาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังต่อไปนี้
จากเงื่อนไขที่ต้องมีสัญญาหลักและสัญญาเพิ่มเติมนี้เอง ทำให้ผู้ที่สนใจเฉพาะประกันสุขภาพ และยังไม่ได้คำนึงถึงความคุ้มครองที่จำเป็นต้องโอนความเสี่ยงอื่น ๆ จึงมักจะเลือกประกันชีวิตให้มีทุนประกันต่ำที่สุดเสมอ (แม้จะยังไม่มีประกันชีวิตเลยก็ตาม) เพียงเพื่อให้มาเป็นสัญญาหลักให้เฉพาะประกันสุขภาพแนบเท่านั้น
ด้วยเพราะกลัวถูกตัวแทนหลอกหรืออัพเซลขายทุนชีวิตสูง หรือ ขายสัญญาเพิ่มเติมอื่น ๆ เพิ่ม ซึ่งจริง ๆ แล้ว ในแง่มุมของการโอนความเสี่ยงนั้น ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกอัพเซล มีแต่จะต้องกังวลว่าจะเลือกโอนความเสี่ยงอะไร และอะไรที่จะสามารถเก็บความเสี่ยงเพื่อรับไว้เองได้ไหว
ดังนั้นหากขยายการทำความเข้าใจเพิ่มมาที่ประกันชีวิตและประกันสัญญาเพิ่มเติมอื่น ๆ ด้วย ก็อาจจะสามารถช่วยลดค่ารักษาหรือค่าชดเชยบางอย่างที่ประกันสุขภาพไม่สามารถครอบคลุมให้ได้ก็เป็นได้
**หมายเหตุ :
- ระวัง!! ประกันชีวิตทุนต่ำสุด 50,000 บ. แต่ต้องจ่ายเบี้ยถึงอายุ 99 ปี แม้เบี้ยปีแรกจะน้อยกว่า แต่สามารถมีเบี้ยประกันรวมทั้งสัญญาที่สูงกว่า ประกันชีวิตทุน 100,000 บ. ที่จ่ายเบี้ย 20 ปีได้ (ปัจจุบันค่าจัดงานฌาปนกิจรวมทุกขบวนการมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่หลักแสนบาทขึ้นไป)
- สัญญาเพิ่มเติมที่ทุนประกันต้องขึ้นอยู่กับทุนประกันชีวิตสัญญาหลัก สามารถแยกทำออกมาอีก 1 กรมธรรม์ได้ เพื่อเน้นความคุ้มครองให้สูง โดยเกี่ยวช้องกับชีวิตและทุพพลภาพในช่วงวัยทำงานก่อนเกษียณเป็นหลักเท่านั้น ทำให้เบี้ยประกันประหยัดลงได้มากกว่าการคุ้มครองตลอดชีพอย่างมาก
- ค่ารักษาอุบัติเหตุผู้ป่วยนอก เพียงบาดเจ็บเล็กน้อยค่ารักษาผู้ป่วยนอก รพ.เอกชน ทั่วไปก็เกือบหมื่นได้ไม่ยาก ไม่นับรวมที่เกี่ยวข้องกับกระดูกร้าวหรือหัก หรือการบาดเจ็บที่ต้องล้างแผล Follow up มากกว่า 1 เดือนขึ้นไป ซึ่งประกันสุขภาพส่วนใหญ่ไม่สามารถคุ้มครอง OPD ที่ค่าใช้จ่ายสูงและ Follow up นานแบบนี้ได้
- ค่าชดเชยรายได้เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง ระหว่างการรักษา หรือ ต้องเปลี่ยนงาน หรือ ไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากโรคร้ายแรง การพิจารณาประกันโรคร้ายแรงจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงส่วนนี้ได้อย่างมาก โดยเฉพาะกับโรคมะเร็งที่ต้องใช้เวลารักษาได้นานถึง 2-5 ปีขึ้นไป
2. ประกันสุขภาพ คือ ระเบิดเวลาที่อันตรายอย่างมาก
ประกันสุขภาพ หนึ่งในแบบประกันที่สามารถก่อให้เกิดความขัดแย้งและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้มากที่สุด เนื่องจากผู้ขายก็ไม่อยากบอกข้อจำกัดเพื่อให้ขายได้ง่าย และผู้ซื้อเองก็ไม่เน้นทำความเข้าใจก่อนซื้อ แต่เน้นเชื่อใจแล้วยกให้เป็นหน้าที่ของผู้ขายที่มีชื่อเสียงหรือที่คนรู้จักแนะนำมาอย่างเดียว
ซึ่งได้กลายเป็นระเบิดเวลาที่น่ากลัวอย่างมาก และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ใครหลายคนโดนระเบิดลูกนี้แล้วเกลียดประกันหรือเกลียดตัวแทนอย่างมาก
เพราะ "ความเชื่อใจ" ไม่เท่ากับ (≠) "ความเข้าใจ" และไม่มีผู้ขายหรือผู้ซื้อคนใดเลยที่จะมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในประวัติการรักษา และลายลักษณ์อักษรเงื่อนไขความคุ้มครองในกรมธรรม์
โดยเนื่องจากเป็นตัวอักษร หากใครเข้าใจเงื่อนไขในสัญญาได้ครบถ้วนมากกว่า ก็มีทางที่จะตีความเงื่อนไขให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองได้มากขึ้น หรือ สามารถโต้แย้งในบางประเด็นที่มีการตีความแตกต่างกันไปได้ ดังนั้นการอธิบายถึงเงื่อนไขของสัญญาจึงเป็นหน้าที่สำคัญอย่างมากของตัวแทนประกัน
3. หน้าที่ของตัวแทนประกัน ถอดสลักระเบิดเวลา
โดยที่ก่อนจะสมัครทำประกันสุขภาพ ทางตัวแทนจะต้องอธิบายทุกเรื่องที่จำเป็นทั้งหมดให้กับผู้ทำประกันได้เข้าใจก่อนการตัดสินใจ เพื่อลดปัญหาระเบิดเวลาแห่งความขัดแย้ง ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในภายหลัง
นอกจากนี้ตัวแทนยังมีหน้าที่อื่น ๆ เพิ่มเติมร่วมด้วย ซึ่งจะสามารถสรุปหน้าที่ของตัวแทนได้ดังต่อไปนี้
4. ความเสี่ยง และ ค่ารักษาของโรคต่าง ๆ
ในปัจจุบันค่ารักษาโรคร้ายแรงนั้นมีราคาในหลักล้านบาทขึ้นไป เพราะมักเป็นการรักษาแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่การรักษาครั้งเดียวจบ จึงทำให้ค่ารักษาบานปลาย (ควบคุมไม่ได้เลย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโรคมะเร็ง
ดังนั้นหากไม่ทราบค่ารักษาเหล่านี้ก่อนทำประกันสุขภาพ ก็อาจจะได้ประกันสุขภาพที่ไม่ครอบคลุมค่ารักษาโรคร้ายแรงได้
5. หมวดความคุ้มครองประกันสุขภาพ
ประกอบไปด้วย 13 หมวดมาตรฐาน และหมวดเสริมอื่น ๆ ตามแต่ที่แบบประกันสุขภาพนั้น ๆ จะเสริมขึ้นมาเพื่ออุดช่องโหว่ของ 13 หมวดมาตรฐาน
โดยหากไม่ทำความเข้าใจหมวดความคุ้มครองเหล่านี้เพื่อมาเปรียบเทียบกับขั้นตอนค่าตรวจวินิจฉัย ค่ารักษาโรคร้าย ให้ดีแล้ว ก็ย่อมจะมีส่วนต่างของค่ารักษาพยาบาลที่ต้องรับความเสี่ยงเองเพิ่มขึ้นมาก หรือถ้าหากเลือกให้มีหมวดความคุ้มครองมากจนเกินไป ก็ย่อมจะส่งผลต่อเบี้ยประกันที่สูงอย่างมากได้เช่นกัน
ที่สำคัญการเลือกหมวดความคุ้มครอง ต้องพยายามเลือกหมวดที่เฉพาะเจาะจงหน้าที่ชัดเจน มากกว่าหมวดที่คุ้มครองกว้าง เพราะหมวดคุ้มครองกว้างจะทำให้ค่าเบี้ยประกันสูงขึ้นมาก แต่ความคุ้มครองที่ได้รับกับลดลงอย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่น ความคุ้มครองแบบ OPD หรือผู้ป่วยนอก ที่มีทั้งแบบเจาะจงและไม่เจาะจงดังนี้
- OPD แบบเฉพาะเจาะจง ได้แบบจ่ายตามจริง (ค่าใช้จ่ายเกิน 15,000 บ. ได้ทุกหมวด)
- OPD ตรวจฉายภาพขั้นสูง MRI CT PET-Scan (Fax-Claim)
- OPD Follow up อุบัติเหตุ 15 วัน จ่ายตามจริง (Fax-Claim)
- OPD Follow up ไม่จำกัดจำนวนครั้งใน 30 วันหลังแอดมิต IPD (Fax-Claim)
- OPD ตรวจยีนส์มะเร็ง (สำรองจ่ายแล้วเคลมตรง)
- OPD ค่ารักษามะเร็งนวัตกรรมใหม่ในอนาคต (สำรองจ่ายแล้วเคลมตรง)
- OPD แบบไม่เจาะจง ได้วงเงินที่ 15,000 บ. ต่อปี
- OPD ค่ารักษาทั่วไป (Fax-Claim) รวมถึง OPD ตามหมวดเจาะจงด้านบนแต่ดูแลไม่เกินวงเงิน
- OPD ค่าฉีดวัคซีน ตรวจสุขภาพ (สำรองจ่ายแล้วเคลมตรง)
ทั้ง 2 แบบ OPD นี้ จะอยู่ในประกันสุขภาพคนละแบบ ที่มีเบี้ยใกล้เคียงกัน โดยแบบหนึ่งให้ OPD แบบเฉพาะเจาะจงที่จ่ายตามจริง แต่แบบหนึ่งให้ OPD ไม่เจาะจงกับวงเงิน 15,000 บ. ต่อปี เท่านั้น
ดังนั้นการเลือกว่าจะเอา OPD แบบใดนั้น จะจำเป็นต้องมองว่า แบบใดที่ตนเองจะสามารถรับความเสี่ยงเองได้ราคาไม่แพงมาก แบบใดที่ตนเองอยากที่จะโอนความเสี่ยงมากกว่าด้วยราคาสูงเกินไป
โดยต้องไม่ลืมว่า หน้าที่ของประกันสุขภาพ คือ เพื่อโอนความเสี่ยงที่รับเองไม่ไหวหรือไม่ทราบค่าใช้จ่ายออกไปเป็นหลัก
6. ขบวนการพิจารณารับทำประกัน
การทำประกันสุขภาพ เป็นหนึ่งในแบบประกันที่มีการคัดกรองที่ละเอียดมากที่สุดก่อนรับทำประกัน ซึ่งจะไม่ได้คัดกรองเฉพาะก่อนรับทำประกันเท่านั้น โดยหลังรับทำประกันไปแล้ว หากพบว่ามีการปกปิดประวัติ/ไม่แถลงสุขภาพบางอย่าง ก็อาจส่งผลให้ถูกยกเลิกสัญญาหรือไม่ต่ออายุได้
และที่สำคัญ บันทึกที่แพทย์บอกกว่าปกติ(ไม่ต้องรักษา) อาจจะไม่ปกติในสายตาของแพทย์ที่พิจารณารับประกัน(ความเสี่ยง) ดังนั้น ไม่ต้องรักษา จึงไม่เท่ากับ (≠) ไม่มีความเสี่ยง
การทำความเข้าใจขบวนการพิจารณาให้ดีจึงสำคัญอย่างมาก และจะทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า แพ็คเกจโปรโมชันการตรวจสุขภาพของ รพ.เอกชน นั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง
7. แบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุมความเสี่ยงค่าใช้จ่ายสูง
คนส่วนใหญ่มักจะข้ามการทำความเข้าใจข้อ 1-3 มาที่แบบประกันสุขภาพกับเบี้ยประกันในงบประมาณที่คาดไว้แทน ทำให้การเลือกแบบประกันสุขภาพมีโอกาสสูงที่จะไม่ครอบคลุมความเสี่ยงที่จำเป็นต้องโอนออกไปจริง ๆ อย่างค่ารักษามะเร็งโรคร้ายแรงที่ค่าใช้จ่ายสามารถสูงถึงหลักสิบล้านได้ และหมวดคุ้มครองที่ต้องใช้อาจเป็นผู้ป่วยนอกเป็นหลักไม่ใช่ผู้ป่วยใน
ทำให้มักเกิดความเสียดายในภายหลังที่ทราบว่าวงเงินค่ารักษาอาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะกับอีก 10-30 ปีข้างหน้าตอนเกษียณ แต่ไม่สามารถทำประกันสุขภาพใหม่ได้อีกแล้วเนื่องจากปัญหาสุขภาพ
ดังนั้นข้อ 1-3 จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนอย่างมาก เพราะจะช่วยให้การพิจารณาเปรียบเทียบ แบบประกันสุขภาพแต่ละแบบได้ตอบโจทย์และครอบคลุมความเสี่ยงที่จำเป็นได้
ซึ่งในปัจจุบันบริษัทประกันได้นำค่ารับผิดส่วนแรก (Deductible) มาใช้ในแบบประกันสุขภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อที่จะสามารถลดเบี้ยประกันลงได้ แต่ยังคงให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมและวงเงินสูงได้เหมือนเดิม
และยังทำให้ผู้ทำประกันสุขภาพได้ทราบชัดเจนว่าต้องจ่ายเอง (หรือใช้ประกันกลุ่ม) ในค่ารับผิดส่วนแรกนี้เท่าไรเท่านั้น ไม่ต้องกังวลว่าจะมีส่วนต่างที่เกินวงเงินที่สูงของประกันสุขภาพแบบมี Deductible อีก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการจ่ายเบี้ยน้อยลงแต่ต้องลุ้นจ่ายส่วนที่เกินวงเงินให้กับแบบประกันสุขภาพที่ให้วงเงินลดลงหรือหมวดความคุ้มครองลดลงเพราะไม่มี Deductible
8. การพิจารณาทุนชีวิต และ สัญญาเพิ่มเติม
ต้องยอมรับว่าประกันสุขภาพนั้นจะเน้นเพียงค่ารักษาเฉพาะที่แพทยสภารับรองอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่ได้คุ้มครองไปถึงนวัตกรรมการรักษาแบบใหม่ในทันที ต่อให้แบบประกันสุขภาพนั้น ๆ จะมีการระบุว่ารองรับนวัตกรรมการรักษาแบบใหม่ก็ตาม (แต่ก็ต้องรอให้แพทยสภารับรองก่อน)
รวมถึงประกันสุขภาพไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ต่อไปนี้
- ค่าเดินทาง
- ค่าชดเชยที่ต้องนอน รพ.
- ค่าชดเชยการขาดรายได้ระหว่างการรักษา โดยเฉพาะการรักษาโรคร้ายแรงที่ทำให้ต้องหยุดการทำงานมากกว่า 1 ปีขึ้นไป
- ค่าใช้จ่ายระหว่างการปรับตัวหลังการรักษาโรคร้าย ที่ร่างกายไม่สามารถกลับมาทำงานหนักเหมือนเดิมได้อีก
- ค่ารักษาอุบัติเหตุผู้ป่วยนอกที่ต้องติดอาการนานหลายเดือน
ทำให้การพิจารณาสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองอื่น ๆ ที่จะใช้แนบเพิ่มความคุ้มครองให้กับสัญญาหลักประกันชีวิต (ทุนชีวิตขั้นต่ำควรเน้นเพียงพอกับค่าฌาปนกิจ) นั้นมีความจำเป็นอย่างมาก เพื่อสามารถโอนความเสี่ยงอื่น ๆ ที่สัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองประกันสุขภาพไม่ได้ครอบคลุม
9. ขบวนการเคลมประกันสุขภาพ
การเข้าใจขั้นตอนทั้งหมดตั้งแต่เข้า/ออกจาก รพ. เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ได้เตรียมความพร้อมไว้ก่อน เช่น การตรวจสอบ รพ.คู่สัญญาว่า Fax-Claim ในเรื่องใดได้บ้าง จะมีโอกาสต้องสำรองจ่ายในเรื่องใดได้บ้าง ขบวนการเคลมเป็นอย่างไร ต้องระวังเรื่องใดบ้างในตอนพบแพทย์ เป็นต้น ซึ่งแม้ขั้นตอนในปัจจุบันโดยเฉพาะในรพ.เอกชน จะอำนวยความสะดวกอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามก็จำเป็นต้องเข้าใจขบวนการเคลมก่อนเคลมจริงเสมอ
10. วิธีจัดการเบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณ
เมื่อมีประกันสุขภาพเรียบร้อย สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้ยังคงสามารถมีประกันสุขภาพ หรือจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพได้ไหวในช่วงอายุเกษียณ เพราะช่วงอายุเกษียณเป็นช่วงที่มีโอกาสใช้ประกันสุขภาพมากที่สุด แต่ก็มักเป็นช่วงที่ขาดรายได้เข้ามา
ดังนั้นการวางแผนการเงินผ่านเครื่องมือการเงินอย่าง ประกันบำนาญและกองทุนรวม จึงเป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้เงินก้อนน้อยได้เติบโตมาเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับทยอยจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพได้ตลอดชีพ
และนี้คือเรื่องสำคัญทั้งหมดที่ควรทำความเข้าใจก่อนซื้อประกันสุขภาพ เพราะหากเข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริษัทประกัน หรือตัวแทนที่ไม่ดีแบบใด ๆ ก็ยากที่จะใช้โฆษณาชวนเชื่อเพื่อหลอกให้ซื้อประกันสุขภาพแบบมีระเบิดเวลาได้อีก รวมถึงหากเข้าใจเรื่องสำคัญเหล่านี้ยังสามารถช่วยให้รรักษาผลประโยชน์ของตนเองได้มากที่สุดด้วย
สรุปเลือกประกันสุขภาพแบบใดดี
การเลือกแบบประกันสุขภาพที่ดีนั้น จะไม่ได้มองหาประกันสุขภาพเฉพาะให้เต็มสิทธิลดหย่อนภาษี 25,000 บ. เท่านั้น แต่จะมองลึกมากขึ้นถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ร่วมด้วย
เป็นแบบประกันสุขภาพที่คุ้มครองค่ารักษาโรคที่แพงที่สุดได้
"มะเร็ง" ยังคงเป็นโรคที่มีค่ารักษาสูงที่สุดในปัจจุบัน ดังนั้นในเมื่อต้องจ่ายเบี้ยไปแล้ว ก็ต้องมั่นใจว่าจะได้รับความสบายใจเรื่องค่ารักษาแลกมาจริงๆ ไม่ใช่จ่ายเบี้ยแล้วยังต้องเก็บความกังวลใจในบางโรคไว้อยู่ ซึ่งแบบนี้จะไม่ค่อยมีใครอยากได้
โดยต้องให้ความคุ้มครองการรักษามะเร็งตั้งแต่ การตรวจวินิจฉัยOPD การผ่าตัดIPD การฟื้นฟูร่างกายIPD/OPD การให้ยาOPD การตรวจติดตามผลOPD เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนใดก็ตาม ค่าใช้จ่ายการรักษาโรคมะเร็งใน รพ.เอกชน มักจะสูงถึงหลักแสนขึ้นไปเสมอ (ยังไม่นับรวมไปถึงว่ามะเร็งเป็นโรคที่ต้องรักษาต่อเนื่องกว่า 5 ปีขึ้นไปจนถึงตลอดชีวิต)
เป็นแบบประกันสุขภาพที่สามารถคุ้มครองได้ตลอดชีวิต
คือให้ความคุ้มครองที่รวมไปถึงวิทยาการสมัยใหม่ในอนาคตด้วย เพื่อจะได้ไม่ต้องคอยเปลี่ยนแบบประกันสุขภาพให้ทันสมัยตามวิทยาการการรักษา (เช่น ยาภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งผู้ป่วยนอก)
เพราะหากมีการเคลมบางโรคไปแล้ว การเปลี่ยนแบบประกันสุขภาพเป็นตัวใหม่อาจจะทำได้ยาก และโดนยกเว้นความคุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนแน่นอน
อย่างไรก็ตามด้วยความคุ้มครองที่ครอบคลุมและวงเงินที่สูง แบบประกันสุขภาพลักษณะนี้ จึงมีเบี้ยประกันตอนสูงอายุที่สูงอย่างมาก ทำให้การศึกษาและเตรียมการจัดการเบี้ยประกันหลังเกษียณตั้งแต่ยังอยู่ในวัยทำงาน จะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
เพราะจะสามารถช่วยประหยัดเบี้ยประกันได้สูงถึง 50%-90% และเครื่องมือการเงินที่ใช้ในการจัดการก็ยังสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
ทั้งนี้หากมีประกันสุขภาพตัวหลักที่ดูแลค่ารักษามะเร็งแบบผู้ป่วยนอก 5 ล้านบาทขึ้นไปต่อปีเรียบร้อย (ค่ารักษาในปัจจุบัน) แต่ประกันสุขภาพตัวหลักให้ค่าห้องที่ค่อนข้างน้อย การเสริมด้วยประกันสุขภาพที่เน้นเรื่องค่าห้อง ให้เป็นตัวเสริมอย่างเช่น "สัญญา Happy Health แบบมีรับผิดส่วนแรก 100,000 บ." จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
เนื่องจากแบบประกันสุขภาพลักษณะนี้จะจ่ายตามจริงของห้องเดี่ยวราคาเริ่มต้นของ รพ. นั้น ๆ จึงเป็นประกันสุขภาพตัวเสริมที่ดีที่สุดตัวหนึ่งในตลาดปัจจจุบัน
แบบประกันสุขภาพ BLA
ประกันสุขภาพเป็นรูปแบบประกันที่ควรให้เวลาศึกษาทำความเข้าใจให้ดีที่สุดก่อนตัดสินใจ โดยอย่างน้อยควรเข้าใจหมวดความคุ้มครองตามมาตรฐานประกันสุขภาพให้ได้ และควรมีโอกาสได้ศึกษาตัวอย่างกรมธรรม์จริงๆ ของแบบประกันสุขภาพที่สนใจ
การศึกษาแบบประกันสุขภาพตอนแรกอาจมองเป็นเรื่องยุ่งยากแต่ก็คุ้มค่า เพราะเสียเวลาทำความเข้าใจเพียงครั้งเดียวก็สามารถใช้ได้ไปตลอดชีวิต โดยเฉพาะกับแบบประกันสุขภาพที่เน้นตลอดชีวิต หรือ สำหรับวางแผนเกษียณในอนาคตจริง ๆ
ทั้งนี้จะสามารถศึกษารายละเอียดเจาะลึกเกี่ยวกับแบบประกันสุขภาพเพิ่มเติมของทาง BLA ได้ที่ปุ่มด้านล่างนี้
การวางแผนเกษียณอย่างจริงจัง
เริ่มขึ้น..เมื่อ
เข้าใจธรรมชาติของเครื่องมือทางการเงิน