วิธีแถลงสุขภาพตอนยื่นทำประกัน ที่ทำให้เคลมประกันสุขภาพ/โรคร้ายแรงได้ง่ายที่สุด
หมายเหตุ : การอ่านบทความวิธีแถลงสุขภาพนี้ รวมถึงบทความระเบิดเวลา 10 ลูก อย่างละเอียดครบถ้วนทั้งหมด จะช่วยให้ท่านรักษาผลประโยชน์ของตัวท่านเองก่อนสมัครทำประกันสุขภาพ/โรคร้ายแรงได้ เนื่องจากในปัจจุบันบริษัทประกันจะเน้นคัดคนออกมากกว่าจะรับคนเข้าทำประกัน ด้วยเพราะค่ารักษาที่พุ่งสูงขึ้นในทุก ๆ ปีเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันที่น้อยกว่า ทำให้การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนยื่นสมัครทำประกันเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก
การทำประกันส่วนที่สำคัญที่สุดคือ ส่วนการแถลงสุขภาพ
แถลงสุขภาพอย่างไร จึงจะดีที่สุด
แพทย์ที่ตรวจสุขภาพแจ้งว่าปกติดีทุกอย่าง.. ต้องแถลงหรือไม่
ยิ่งอายุมากขึ้น ทำไมการแถลงสุขภาพยิ่งยากมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทำไมการแถลงที่ดีส่งผลต่อการเคลมประกันอย่างมาก
ทำไมควรยื่นประวัติทั้งหมด (IPD/OPD/ตรวจสุขภาพ) พร้อมยื่นทำประกันสุขภาพ
ตอนยื่นพิจารณาทำประกันควรเตรียมพร้อมกับความไม่สะดวก ในเรื่องเอกสารประวัติและการตรวจสุขภาพให้มากที่สุด เพื่อจะเคลมได้ง่ายที่สุดนั้นจริงหรือไม่
ปัญหาใหญ่ของการเคลมประกัน
คือ การขอสืบประวัติการรักษา
เรียน ท่านที่ต้องการวางแผนค่ารักษาด้วยประกันสุขภาพอย่างจริงจัง และต้องการให้ตอนเคลมประกันสบายใจมากที่สุด รวมถึงเมื่อต้องการทำประกันสุขภาพกับทางเรา
ประกันสุขภาพ/โรคร้ายแรงนั้น เปรียบเสมือนระเบิดเวลาและกับระเบิดที่ไม่มีวันเสื่อม ถ้าหากทำประกันโดยไม่ได้เข้าใจเงื่อนไขของสัญญาก่อนทำประกัน ซึ่งเป็นได้ทั้งระเบิดเวลาฝั่งผู้ทำประกันและฝั่งตัวแทน (จึงเป็นแบบประกันที่ทางเราไม่กล้านำเสนอแบบเน้นขายอย่างเดียวเท่านั้นได้)
เพราะจำเป็นที่จะต้องอธิบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาสัญญาให้ดีก่อนตัดสินใจทำประกันเสมอ โดยเฉพาะในส่วนของการแถลงสุขภาพตอนยื่นขอทำประกัน ที่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ที่จะส่งผลต่อการเคลมประกันหรือการสิ้นผลความคุ้มครองโดยตรงได้
▸ ประกันชีวิต/ประกันบำนาญ เป็นระเบิดเวลาที่มีเวลาเสื่อมได้ คือ หากพ้น 2 ปีไปแล้ว บริษัทประกันฯ จะไม่สามารถยื่นโต้แย้งหรือยกเลิกความคุ้มครองใด ๆ ได้ แม้ผู้ทำประกันอาจปกปิดข้อมูลสุขภาพบางอย่าง ซึ่งถ้าสุดท้ายเกิดการเคลมสัญญาชีวิตขึ้นด้วยโรคที่ปกปิด ก็จะกลายเป็นตัวแทนประกันที่จะถูกเตือน ภาคทัณฑ์ และยกเลิกสัญญาตัวแทน ขึ้นอยู่กับว่ามีเคสลักษณะนี้บ่อยครั้งแค่ไหน ทำให้แม้เกิน 2 ปีไปแล้วก็ยังมีการย้อนสืบประวัติได้อยู่เช่นกัน
▸ แต่ประกันสุขภาพ บริษัทประกันฯ จะสามารถย้อนตรวจสอบและสืบประวัติการรักษาในโรคที่เป็นก่อนทำประกันสุขภาพ 5 ปี และหลังทำประกันสุขภาพ 3 ปีได้ตลอดอายุสัญญา โดยเฉพาะกับโรคหรืออาการที่สามารถเป็นเรื้อรังได้นานหลายปี แล้วจึงค่อยสะสมจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล รวมไปถึงหากพบว่ามีการปกปิดสาระสำคัญที่ส่งผลต่อผลการพิจารณารับทำประกันโดยตรง จะส่งผลรุนแรงให้ถูกบอกล้างสัญญาได้หากตรวจพบภายใน 2 ปี หรือ ถูกไม่ต่ออายุสัญญาได้หากตรวจพบหลัง 2 ปีขึ้นไป (ประกันสุขภาพเป็นสัญญาปีต่อปี)
▸ ในขณะที่ประกันโรคร้ายนั้น จะมีการระบุชัดเจนว่าจะไม่คุ้มครองโรคหรืออาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโรคร้ายที่คุ้มครอง ซึ่งเป็นมาก่อนทำประกัน หรือตรวจพบในช่วงระยะเวลาไม่คุ้มครอง (ระยะเวลารอคอย 90 วัน) โดยจะไม่ได้มีการนับ 5 ปีและ 3 ปีใด ๆ แบบประกันสุขภาพ จะเป็นการสืบย้อนหลังได้ทั้งหมดตลอดไป โดยหากพบว่ามีการปกปิดสารสำคัญ บริษัทจะบอกล้างได้ภายใน 2 ปีเช่นกัน แต่หากเลย 2 ปีไปแล้วหากสืบพบว่าปกปิดก็จะไม่สามารถเคลมโรคร้ายนั้น ๆ ได้
▸ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อคัดกรองบุคคลที่จะฉวยโอกาสนำเงินกองกลางของทุกคนที่เข้าร่วมเฉลี่ยความเสี่ยง ออกไปใช้อย่างไม่ยุติธรรม เพราะค่าใช้จ่ายการรักษามาจากเงินกองกลางของทุกคน
ดังนั้นสิ่งสำคัญและดีที่สุดในการแถลงสุขภาพที่ป้องกันระเบิดเวลานี้ได้ คือ การแถลงสุขภาพ ผ่านการยื่นประวัติ การรักษา/ผลตรวจสุขภาพ ทั้งหมด ตั้งแต่ตอนยื่นขอทำประกัน และควรมีสำเนาประวัติเก็บไว้กับตนเองด้วย (หรือมีเก็บในรูปแบบไฟล์จะดีมาก)
เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบสาเหตุของทางฝ่ายพิจารณา เวลาได้รับข้อเสนอยกเว้นความคุ้มครองบางอย่างจากในประวัติ ซึ่งอาจช่วยให้ทำการโต้แย้งหรือตรวจพิสูจน์เพิ่มเติมต่าง ๆ ต่อไปได้ง่ายขึ้น
สมัครง่ายเคลมยาก หรือ สมัครยากเคลมง่าย สิ่งสำคัญที่ท่านต้องเลือกและตัดสินใจ โดยทางเราทำหน้าที่ในส่วนการแจ้งเงื่อนไขและอธิบายทุกอย่าง เพื่อท่านได้อ่านทั้งหมดก่อนสมัคร และเข้าใจว่าทั้ง ประกันสุขภาพกับโรคร้ายแรง จะไม่ได้คุ้มครองโรคหรืออาการที่เป็นมาก่อนทำประกัน โดยเฉพาะกำลังเป็นอยู่ หรือ เคยเป็นแล้วแต่ยังไม่ครบเวลาที่ถือว่าหายขาด
ซึ่งแน่นอนว่าการแถลงตามจริงและให้ประวัติทั้งหมดนี้ ตอนยื่นทำประกันย่อมจะมีความไม่สะดวกเกิดขึ้น โดยอาจเสียค่าขอประวัติ ค่าตรวจพิสูจน์ และใช้เวลามากกว่าเดิม แต่ขอให้เชื่อได้ว่า ภายหลังทำประกันจะคุ้มค่ากับความไม่สะดวกนี้ ด้วยเพราะสามารถเคลมประกันได้อย่างสบายใจและมั่นใจว่าจะเคลมได้
เนื่องจากได้แสดงประวัติการรักษาทั้งหมดตั้งแต่แรก ได้รู้ว่า อะไรคุ้มครอง อะไรไม่คุ้มครอง และได้ทำการโต้แย้งและยอมรับกันเรียบร้อยตั้งแต่ตอนยื่นทำประกัน ทำให้ในตอนเคลมประกันจะไม่ต้องเครียด ไม่ต้องลุ้นว่าหากถูกสืบประวัติแล้วจะเคลมไม่ได้ ซ้ำเติมการเจ็บป่วยลงไปอีก
หมายเหตุ :
การยื่นประวัติการรักษาทั้งหมดสำหรับการแถลงสุขภาพตอนขอทำประกันนั้น จะเป็นหลักฐานทางตัวอักษรที่เกิดก่อนทำประกันเท่านั้น โดยจะยังมีหลักฐานทางตัวอักษรหรือประวัติการรักษาที่สามารถเกิดขึ้นหลังทำประกันได้อีกด้วย
เช่นประวัติที่เกิดจาก การซักประวัติ ซักอาการโดยแพทย์ ว่าเคยมีอาการหรือเป็นอาการนี้มานานแค่ไหน โดยหากตอบว่ารู้สึกมีอาการตั้งแต่ก่อนทำประกัน หรือ เริ่มมีอาการในระยะเวลารอคอยที่ยังไม่ได้เริ่มคุ้มครอง ก็จะทำให้เกิดประวัติและหลักฐานใหม่ขึ้นมาที่พร้อมจะส่งผลให้กลายเป็นปัญหาใหญ่ต่อการเคลมได้ในทันที
และนี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญว่า ทำไมควรรีบทำประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงตั้งแต่สุขภาพยังแข็งแรงดีให้เร็วที่สุด ไม่รู้สึกมีอาการผิดปกติใด ๆ เพราะอย่างไรแล้ว เมื่อเกิดการซักประวัติขึ้น การตอบตามจริงกับแพทย์จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีประสิทธิภาพได้มากที่สุด ซึ่งย่อมดีกว่าการตอบเลี่ยงเพราะกลัวที่จะเกิดประวัติการรักษาใหม่แล้วจะทำให้เคลมประกันไม่ได้อย่างแน่นอน
แถลงอย่างไรให้ปลอดภัยต่อการสืบประวัติมากที่สุด
จากประสบการณ์ของทางเรา ที่เน้นทำการตลาดออนไลน์หาผู้สนใจทำประกันผ่านการค้นหาจาก Google เป็นหลัก จึงทำให้ทาง Release your Risk ได้ดูแลเคสของผู้จะทำประกันที่มักจะมีปัญหาด้านสุขภาพที่เป็นมาก่อนทำประกันโดยส่วนใหญ่
- บางครั้งยื่น 7 ใบคำขอพร้อมกัน ทั้ง 7 ใบคำขอต้องขอข้อมูลเพิ่มเติมหมดเลยก็มี
- บางครั้งทั้ง ๆ ที่ในใบคำขอมีปัญหาสุขภาพ แต่ยื่นตอนเช้าตอนเย็นรับประกันเลยก็มี
- บางใบคำขอใช้เวลากว่าจะจบขบวนการเกือบ 2 เดือนก็มี
ทางเราจึงได้เห็นขบวนการพิจารณา การโต้แย้ง การทบทวน มาในหลายรูปแบบ
จึงทำให้เริ่มตกผลึกออกมา ว่าการแถลงสุขภาพในรูปแบบใด จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้างดังต่อไปนี้
ตัวอย่าง ข้อเสนอความคุ้มครองต่าง ๆ อันเนื่องมาจากมีประวัติการรักษาที่เป็นมาก่อนทำประกัน
ตัวอย่าง ช่วงอายุที่ทำให้เริ่มมีประวัติการรักษาที่จำเป็นต้องแถลงและส่งผลต่อความคุ้มครอง
จากข้อมูลเหล่านี้เองทางเราจึงได้เห็นขบวนการพิจารณา การโต้แย้ง การทบทวน มาในหลายรูปแบบ จึงทำให้เริ่มตกผลึกออกมา ว่าควรต้องแถลงสุขภาพอย่างไร โดยได้สรุปออกมาทั้งหมดดังหัวข้อถัดไป
1. การแถลงเกี่ยวกับค่าส่วนสูง น้ำหนัก อาชีพ ตามการตรวจสุขภาพ หรือ การพบแพทย์ครั้งล่าสุด
ส่วนนี้ผู้ขอเอาประกันหลายคนอาจรู้สึกว่าไม่สำคัญ แต่จริง ๆ แล้วส่งผลต่อค่าเบี้ยประกันอย่างมาก
เพราะทางฝ่ายพิจารณา จะพิจารณาการรับประกันจากค่าดัชนีมวลกาย (สามารถคำนวณได้ที่ลิงก์นี้ https://www.gapsfit.com/bmi-calculator/ )
โดยหากเกินเกณฑ์ปกติเมื่อใด ก็มีโอกาสที่จะถูกให้ตรวจสุขภาพเพื่อยืนยันน้ำหนักส่วนสูง และทำการปรับเบี้ยเพิ่มได้ตั้งแต่ 25% เป็นต้นไป
จนกว่าในปีต่อมา สามารถตรวจสุขภาพและยืนยันว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติได้ จึงสามารถขอยืนทบทวนเบี้ยใหม่ได้อีกครั้ง
ซึ่งทั่วไปแล้วมักจะเลือกปฏิเสธข้อเสนอเพิ่มเบี้ยและขอไปลดน้ำหนักก่อน แล้วค่อยสมัครทำประกันใหม่ แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอจริง ๆ สุดท้ายแล้วก็อาจจะลดน้ำหนักไม่สำเร็จ และอาจมีอาการอื่น ๆตามมาอีกก็เป็นได้
ทั้งนี้ค่าน้ำหนัก ส่วนสูง อาชีพ มักจะอยู่ในเวชระเบียนของ รพ. ที่เข้ารับการรักษา การแถลงส่วนนี้จึงควรแถลงค่าล่าสุดที่อยู่ในประวัติ เพราะปกปิดได้ยาก รวมถึงหากมีการเคลมค่ารักษา ความจริงเหล่านี้จะทยอยถูกสืบในที่สุด
ทั้งนี้แต่ละอาชีพมีความเสี่ยงต่างกัน อาชีพที่มีระดับความเสี่ยงมากกว่าโดยเฉพาะระดับจะมีเบี้ยประกันที่สูงกว่าเสมอ
2. การแถลงเกี่ยวกับประกันที่เคยมีมาก่อน หรือกำลังมีอยู่
ส่วนนี้ฝ่ายผู้พิจารณามักจะตรวจสอบว่าคุณมีการทำประกันมากไปโดยผิดปกติหรือไม่ เช่น ทุนชีวิต ค่าชดเชยรายวัน ที่สูงไม่สอดคล้องกับรายได้ที่แถลง
ประเด็นข้อนี้มีความสำคัญสูงมาก เพราะหากไม่แถลงตามจริง อาจนำไปสู่การบอกล้างสัญญาเพราะมีการปกปิดข้อมูลนี้ภายใน 2 ปีได้
3. แถลงเกี่ยวกับ
..การเคยถูกปฏิเสธ
..เลื่อนการรับประกันภัย
..เพิ่มเบี้ยประกันภัย
..มีข้อเสนอยกเว้นความคุ้มครอง
จากบริษัทประกันใดหรือไม่
เป็นข้อแตกต่างหนึ่งกับประกันรถยนต์ (ที่หากเคยมีประวัติการเคลมกับอีกที่แล้ว จึงจะย้ายไปทำประกันกับบริษัทใหม่เพื่อให้ไม่มีประวัติที่จะถูกเพิ่มเบี้ย)
แต่สำหรับประกันสุขภาพ จะมีฐานข้อมูลส่วนกลางตรงนี้ที่สามารถช่วยตรวจสอบได้ว่ามีการปกปิดหรือไม่ ซึ่งหากมีเจตนาปกปิด.. โอกาสการรับประกันก็จะน้อยลงมากทันที
แต่ถ้าไม่ปกปิดแล้วแถลงตามจริง ฝ่ายพิจารณาก็จะใช้รายละเอียดที่แจ้งมาเป็นเกณฑ์ช่วยตัดสินใจ และเน้นขอประวัติสุขภาพล่าสุดเพื่อพิจารณาได้โดยตรง และลดระยะเวลาการพิจารณาลงไปได้พอสมควร
โดยหากไม่ต้องการจะมีประวัติเหล่านี้ในตอนยื่นขอทำประกัน ทางเรามักจะแจ้งผู้ขอเอาประกันว่า หากมีประวัติการรักษาบางอาการอยู่ ควรจะต้องขอประวัติการรักษาด้วยตนเองและทำสำเนาเก็บไว้ให้เรียบร้อย (กรณีตัวแทนขอประวัติฯ ให้ จะไม่สามารถทำสำเนาได้ ตาม พรบ.ข้อมูลส่วนบุคคล) เพื่อใช้ยื่นทำประกันหลาย ๆ บริษัทพร้อมกัน
ทำให้สุดท้ายจะได้มีโอกาสเลือกข้อเสนอความคุ้มครองที่ดีที่สุดจากแต่ละบริษัทได้ โดยที่ยังไม่มีประวัติว่าเคยถูกเสนอเงื่อนไขเพิ่มเบี้ย หรือเลื่อนการรับประกันใด ๆ มาก่อน
ทั้งนี้จากเคสที่ทางเราเจอมา ผู้ขอเอาประกันยื่น 2 บริษัทฯ พร้อมกัน บริษัท(1) เพิ่มเบี้ยแต่คุ้มครองทุกอย่าง บริษัท(2) ไม่เพิ่มเบี้ยแต่ยกเว้นความคุ้มครองบางอย่าง ซึ่งผู้ขอเอาประกันก็ได้พิจารณาเลือกตามความต้องการตนเองได้ ทั้งยังไม่มีประวัติได้ข้อเสนอมาก่อน เมื่อเทียบกับการยื่นทีละบริษัทฯ
4. แถลงเกี่ยวกับ ความถี่ดื่มสุรา ความถี่สูบบุหรี่ ตัวเลขน้ำหนักที่เปลี่ยนแปลงในรอบ 6 เดือน
การแถลงสุราและบุหรี่ บริษัทฯ จะดูที่ปริมาณและความถี่เป็นสำคัญ โดยหากไม่ได้(เคย)ดื่มหรือสูบเป็นประจำทุกสัปดาห์มาก่อน มักจะแถลงว่าไม่มี/ไม่เคยได้ (แถลงโดยยึดจากประวัติการรักษาเวลาที่ถูกซักประวัติตอนไปตรวจสุขภาพหรือเข้ารับการรักษาเป็นหลัก)
แต่ถ้ามีการดื่ม/สูบเป็นประจำทุกสัปดาห์ และเฉลี่ยปริมาณต่อวันมากเกินเกณฑ์อ้างอิงที่แนะนำ ทางบริษัทมักจะขอให้แถลงการดื่มและการสูบโดยละเอียดในใบแถลงแยกต่างหากภายหลัง
และมีโอกาสสูงที่ฝ่ายพิจารณาจะขอดูหรือขอให้ตรวจผล X-Ray ปอด และค่าตับ ว่าอาการล่าสุดอย่างไรบ้าง ซึ่งถ้าผลออกมาเกินเกณฑ์ที่จะรับทำประกันได้ ก็มักจะให้เลื่อนการรับประกันออกไปก่อน (หรือบางรายก็ขอเพิ่มเบี้ย)
เพื่อให้ไปปรับลด/งด บุหรี่/สุรา แล้วนำผลตรวจมายื่นใหม่อีกครั้งในอีก 6-9 เดือนข้างหน้า เพื่อดูว่าค่าปอดและตับฟื้นฟูกลับมาได้บ้างแล้วหรือไม่
โดยส่วนนี้หากไม่แถลงตามจริง สุดท้ายตอนเข้าไปตรวจสุขภาพประจำปี หรือการเข้ารักษาตัวใน รพ. เกี่ยวกับอาการ/โรคที่มีผลมาจากสุราหรือบุหรี่ ก็ต้องแจ้งแพทย์อยู่ดี เพราะแพทย์จะสอบถาม/ซักประวัติถึงปริมาณ ความถี่ และระยะเวลาที่ดื่ม/สูบโดยอัตโนมัติ
ซึ่งจะกลายเป็นประวัติการรักษา และกลายเป็นปัญหาทำให้ไม่สามารถเคลมได้เพราะปกปิดอาการส่วนนี้ไว้ก่อนทำประกัน (เนื่องจากปอดกับตับเป็น 2 อวัยวะที่จะเริ่มมีปัญหาสุขภาพอย่างชัดเจนจนต้องเข้า รพ. เมื่อสูบกับดื่มมานานหลายปี)
ในขณะที่การเปลี่ยนน้ำหนักในรอบ 6 เดือนอย่างชัดเจน เช่น ขึ้นหรือลงมากกว่า 5 กก. มักจะถูกขอให้ตรวจสุขภาพเพื่อดูว่ามีความผิดปกติในเบื้องต้นในส่วนใดหรือไม่ หรือเขียนแถลงเพิ่มเติมแยกต่างหาก (เรื่องน้ำหนักมักเป็นคำถามจากแพทย์ขณะที่เข้ารักษาใน รพ. เช่นกัน)
5. แถลงเกี่ยวกับการได้รับตรวจวินิจฉัย หรือได้รับการรักษา หรือถูกตั้งข้อสังเกตโดยแพทย์ว่า เจ็บป่วยหรือมีอาการตามรายการเหล่านี้หรือไม่
( การสืบประวัติการรักษาของบริษัทประกันนั่นเข้มข้นมาก นอกจากฐานข้อมูลที่บริษัทมีแล้ว ยังมีการลงภาคสนามเพื่อสอบถามตามคลินิกและร้านยา (ร้านยาเริ่มทำเป็นระบบสมาชิกมากขึ้นและมีประวัติให้ค้นได้แล้ว) ในระแวกถิ่นที่อยู่อาศัย ถิ่นกำหนด ถิ่นที่ทำงาน ถิ่นของสถานพยาบาล โดยเฉพาะที่มีการกล่าวอ้างถึงในประวัติการรัษา ทั้งนี้ความเข้มข้นจะลดลงเรื่อย ๆ เมื่อได้ทำประกันสุขภาพมานานหลายปีแล้ว และโรค/อาการที่จะเคลมนั้นไม่ได้พบแพทย์มากกว่า 5 ปีขึ้นไปภายหลังทำประกัน)
สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ตรงที่ การตั้งข้อสังเกตจากแพทย์ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นจากการไปรักษาโรคทั่วไปอื่น ๆ เช่น ไข้หวัด ท้องเสีย
หรือจากการตรวจสุขภาพประจำปี แล้วแพทย์ตรวจเบื้องต้นพร้อมตั้งข้อสังเกตไว้ เพื่ออยากให้มาตรวจแบบละเอียดติดตามผลอีกที่ (บางครั้งก็เป็นการ upsell ของ รพ.)
แต่ในแง่มุมของการรับความเสี่ยง การตั้งข้อสังเกตไว้ ก็เหมือนว่ามีความเสี่ยงเรียบร้อยนั่นเอง ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอ่านผลตรวจสุขภาพที่ได้อย่างละเอียดว่าแอบมีการตั้งข้อสังเกตเหล่านี้ไว้หรือไม่
เพราะถ้ามีการตั้งข้อสังเกตเฉย ๆ และไม่ได้แถลงไป หากในอนาคตมีการเคลมอาการที่เกี่ยวข้องกับข้อสังเกตเหล่านี้ ฝ่ายสินไหมจะยึดว่ามีข้อสังเกตในประวัติสุขภาพที่สืบได้มานี้อยู่แต่ไม่ได้แถลง
แล้วจะไม่มีการให้ตรวจพิสูจน์ยืนยันใด ๆ ว่าไม่ได้เป็นมาก่อนทำประกันสุขภาพจริง ๆ เพราะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปตรวจพิสูจน์ได้อีกแล้วนั้นเอง (ก็ถือได้ว่า เป็นมาก่อนทำประกัน)
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งความน่ากลัวของการตรวจสุขภาพโดยยังไม่ได้ทำประกันสุขภาพไว้ก่อน เพราะเป็นการเพิ่มงานให้กับทั้งฝ่ายพิจารณาและผู้ขอทำประกันเอง
ที่สำคัญประวัติการตรวจสุขภาพเหล่านี้ รพ. จะมีการเก็บข้อมูลไว้นานกว่า 10 ปีได้ แม้จะไม่ได้มีการเข้ารับการรักษาหรือตรวจใด ๆ เพิ่มเติมอีกแล้วก็ตาม (ในขณะที่บาง รพ. อาจเก็บไว้เพียง 5 ปีกรณีผู้ป่วยทั่วไป)
ซึ่งอาการหรือโรคจะแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกัน และมีมุมมองความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
ส่วนที่ 1 : มีประวัติโรคหรืออาการที่ส่งผลถึงชีวิตได้โดยตรง และเป็นปัจจัยหลักต่อการ ปฏิเสธการรับทำประกัน หากยังรักษาไม่หาย (สาระสำคัญห้ามปกปิด)
เนื่องจากบริษัทประกันชีวิต จะต้องทำสัญญาประกันชีวิตคู่กับสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองอื่น ๆ เสมอ อย่างสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ/โรคร้ายแรง จึงทำให้จะต้องมีการคัดกรองโรคหรืออาการที่เกี่ยวข้องกับชีวิตโดยตรงออกไปก่อน
เช่น อาการที่เกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจ อวัยวะสำคัญถึงชีวิตอย่าง หัวใจ สมอง ปอด ตับ ไต เป็นต้น จึงทำให้บริษัทประกันชีวิตจะรับความเสี่ยงจำนวนโรคได้น้อยกว่าบริษัทประกันภัย แต่ถ้าไม่มีการปกปิดข้อมูลบริษัทประกันชีวิตจะต้องต่ออายุสัญญาประกันสุขภาพทุกปี
ในขณะที่บริษัทประกันภัยสามารถรับทำประกันสุขภาพตรง ๆ ได้ โดยไม่ต้องคัดกรองด้วยสัญญาประกันชีวิตก่อน แต่เพื่อไม่ให้บริษัทประกันภัยรับความเสี่ยงที่สูงเกินไป จึงจะเน้นพิจารณาต่ออายุเป็นปีต่อปีและบริษัทสามารถไม่ต่อสัญญาได้ รวมถึงลดอายุการรับประกันลง
นอกจากนี้ทั้ง 2 บริษัท แม้รับประกันโรคหรืออาการที่เสี่ยงถึงชีวิตโดยตรงที่ได้รักษาหายขาดแล้ว ก็มีโอกาสค่อนสูงที่จะยัง ยกเว้นความคุ้มครองบางอย่าง หรือ ขอเพิ่มเบี้ยประกัน หรือ ทั้งยกเว้นความคุ้มครอง และขอเพิ่มเบี้ยประกัน
ตัวอย่างเช่น โรคซึมเศร้า (ไม่ว่าจะเป็นในระยะใด) โอกาสรับทำประกันสุขภาพจะยากมาก แม้ประกันสุขภาพจะไม่ได้ครอบคลุมค่ารักษาส่วนนี้ก็ตาม แต่ด้วยที่มีสัญญาประกันชีวิตเป็นตัวคัดกรองอยู่ จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ไม่สามารถทำประกันได้
อย่างไรก็ตามหากมีประวัติการรักษาชัดเจนว่ารักษาหายขาดแล้วอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะหากมีการ follow up เรื่อย ๆ จนแพทย์ให้หยุดยาได้ และไม่มีการนัด follow up อีก
บริษัทประกันชีวิตจะมีโอกาสรับทำประกันได้ แต่ทั้งนี้อาจมีการเพิ่มเบี้ยรับความเสี่ยงได้ รวมถึงจะยกเว้นความคุ้มครองโรคที่สืบเนื่องได้นานถึง 3 ปี ขึ้นไป
ทำให้สภาพแวดล้อมในปัจจุบันที่มีเครื่องเร้าเพิ่มโอกาสทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้สูงนั้น ก่อนตัดสินใจไปพบแพทย์เพื่อการตรวจรักษาโรคซึมเศร้านี้ จึงควรทำประกันสุขภาพให้เรียบร้อยก่อนเสมอ ไม่อย่างนั้นจะทำประกันสุขภาพส่วนบุคคลจะเป็นเรื่องยากขึ้นอีกมาก
ส่วนที่ 2 : มีประวัติโรคหรืออาการที่จำเป็นต้องมีการตรวจวินิจฉัยเพิ่ม เพราะอาจมีความเสี่ยงที่เป็นโรคที่ต้อง ปฏิเสธการรับทำประกัน แต่หากยังไม่มีข้อมูลเพิ่มมักจะถูก เลื่อนการพิจารณา จนกว่าจะมีข้อมูลเพิ่ม (สาระสำคัญห้ามปกปิด)
แม้บางอาการดังกล่าวที่เป็นอยู่เหล่านี้จะยังไม่เคยพบแพทย์ และสามารถเลือกที่จะไม่แถลงได้ เพราะไม่มีประวัติการรักษา แต่ปัญหาคือ ประกันสุขภาพมีระยะรอคอย หรือ
ระยะเวลาไม่คุ้มครองที่นานได้สูงสุดถึง 120 วัน หลังอนุมัติรับทำประกัน เพื่อเป็นการคัดกรองอาการเหล่านี้โดยเฉพาะ
ซึ่งถึงแม้ว่าจะรอให้พ้นระยะรอคอยไปก่อน แล้วจึงเข้าพบแพทย์ตรวจวินิจฉัย (การรอเพราะอาการเหล่านี้อันตรายอย่างมาก เพราะระยโรคอาจล่ามไปถึงขั้นที่รักษาหายไม่ได้แล้ว)
แพทย์ย่อมมีการซักถามอาการเหล่านี้ได้ว่า.. เป็นมานานหรือยัง นานเท่าใด และแน่นอนก็จะมีการบันทึกไว้ในประวัติการรักษา ที่ทางบริษัทประกันสามารถสืบได้ว่า มีอาการมาก่อนทำประกัน
และสามารถปฏิเสธความคุ้มครอง บอกล้างสัญญา และหรือ ไม่ต่ออายุสัญญาได้
อย่างไรก็ตามหากเลี่ยงที่จะตอบแพทย์ตามตริงว่าเป็นมานานเพียงใด ก็ย่อมส่งผลต่อการวินิจฉัยและการรักษาของแพทย์ในการประเมินระยะโรคได้ ทำให้มีโอกาสสูงที่จะไม่ได้รับการรักษาที่ทันถ่วงที และยิ่งรวมกับระยะรอคอย 120 วันอีก ก็ยิ่งอันตรายอย่างมาก
หรือแม้แต่ ค่าน้ำตาลในเลือด ที่ไม่ใช่เพียงรอให้พ้นระยะรอคอยแล้วจึงไปตรวจ เพราะค่าน้ำตาลสามารถวัดได้ทั้งค่าปัจจุบัน และค่าน้ำตาลสะสม 3-4 เดือนล่าสุดได้ ซึ่งหากค่าน้ำตาลสะสมเกินเกณฑ์ ก็อาจเป็นข้อพิสูจน์ว่าเป็นมาก่อนทำประกันได้ แต่ถ้ามัวรอให้ทำประกันมานานกว่า 1 ปีแล้วค่อยไปตรวจ ทั้ง ๆ ที่เริ่มมีอาการของเบาหวานแล้ว ก็จะอันตรายอย่างมาก
ดังนั้นอาการเหล่านี้หากมีแล้วจะแนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้เรียบร้อยก่อนจะทำประกัน เพราะอาการที่อันตรายจริง ๆ ไม่ควรเลือกปกปิดเพราะยังไม่มีประวัติ และรอนานอย่างมากกว่าที่จะเริ่มการรักษาโดยหวังที่จะใช้ประกันสุขภาพ
ส่วนที่ 3 : โรคหรืออาการที่จำเป็นต้องพิจารณาประวัติการรักษาเพิ่มเติม เพื่อพิจารณาได้ว่าจะเพียง ยกเว้นความคุ้มครอง หรือ เพิ่มเบี้ย หรือ เลื่อนการรับทำประกัน (สาระสำคัญห้ามปกปิด)
ส่วนนี้มักเป็นการคัดกรองโรคที่เกี่ยวข้องกับประกันสุขภาพโดยตรง และมีอันตรายน้อยกว่า แต่อย่างไรก็ตามจะยังเป็นความเสี่ยงที่ในมุมมองแพทย์ผู้พิจารณารับทำประกันจะไม่สามารถมองข้ามได้ จึงต้องมีประวัติการรักษาประกอบการพิจารณาเสมอ
และจำเป็นที่ต้องมีข้อยกเว้นความคุ้มครอง จนกว่าจะมีการรักษาอาการเหล่านี้ให้หายขาดแล้วจึงสามารถยื่นทบทวนเพื่อนำข้อยกเว้นออกได้ภายหลังทำประกัน
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของการรักษา ผลตรวจที่ระบุว่าเป็นมากน้อยเพียงใด รักษาหายขาดหรือยัง หายขาดนานเท่าใด มีการติดตามผลก่อนจะหายขาดหรือไม่ หรือ พอรู้สึกว่าหายแล้วก็เลือกที่จะหยุดพบแพทย์เอง
ซึ่งถ้าไม่มีรายละเอียดการติดตามผลที่ดีพอ การประเมินการถอดข้อยกเว้นออก จะต้องใช้เวลาที่ไม่พบแพทย์นานมากขึ้นกว่าที่แพทย์ระบุว่าหายขาดแล้ว
รวมถึงต้องระวังการตรวจติดตาม หรือ ตรวจวินิจฉัยที่ไม่ละเอียดพอก่อนทำประกันสุขภาพ เช่น เป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตที่ได้จากการตรวจสุขภาพ เพราะ อาจนำมาซึ่งการยกเว้นความคุ้มครองที่กว้างอย่างมาก เช่น ยกเว้นทั้งระบบทางเดินอาหารได้ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าอาการหรือโรคเหล่านี้อาจดูไม่รุนแรงถึงชีวิต แต่ล้วนรุนแรงต่อสุขภาพทั้งสิ้น ดังนั้นหากมีอาการดังกล่าวจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแถลงพร้อมยื่นประวัติการรักษาทั้งหมดเข้ามา เพื่อให้การยกเว้นความคุ้มครองในบริเวณน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
6. แถลงเกี่ยวกับ ในระหว่าง 5 ปีที่ผ่านมา เคยได้รับการตรวจสุขภาพ หรือ การตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค (เช่น ความดันโลหิต การตรวจปัสสาวะ การตรวจเลือด การตรวจเอ็กซเรย์ การตรวจอัลตราซาวด์ การตรวจแมมโมแกรม MRI CT-Scan การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจโดยการส่องกล้อง การตรวจชิ้นเนื้อ การตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ การตรวจแบบอื่น) หรือไม่ (สาระสำคัญหากมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ในผลการตรวจ)
ปัญหาใหญ่ที่สุดของการแถลงส่วนนี้คือ ข้อมูลส่วนนี้ล้วนจำเป็นต้องแถลงทั้งหมด ซึ่งมักจะกระทบกับคนที่มีสวัสดิการตรวจสุขภาพประจำปีของบริษัท หรือของหน่วยงานอยู่
ที่ยังไม่ทราบว่าการตรวจสุขภาพประจำปีเหล่านี้จะต้องนำผลการตรวจมาแถลงตอนทำประกันสุขภาพส่วนตัวด้วย
รวมถึง อาจยังไม่ได้นึกถึงความจำเป็นที่ต้องมีประกันสุขภาพส่วนตัวของตนเอง เพราะมีประกันกลุ่มของบริษัทอยู่แล้ว ซึ่งสามารถใช้ประกันกลุ่มของบริษัทแทนได้อย่างเต็มที่ (โดยเฉพาะกับผู้ป่วยนอก ที่เข้า รพ. ทุกครั้งก็ย่อมถูกตรวจวัดความดันเรียบร้อยแล้ว)
ซึ่งพอผลตรวจสุขภาพมีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น หรือแพทย์เริ่มตั้งข้อสังเกตบางอย่าง และอาจต้องมีการผ่าตัด ตรงจุดนี้เองจึงเริ่มเห็นความสำคัญของประกันสุขภาพส่วนตัว เพราะประกันกลุ่มไม่เพียงพอ แต่พอถึงตรงนี้การทำประกันสุขภาพส่วนตัวจะเริ่มยากขึ้นแล้ว
เพราะการตรวจสุขภาพ กับรักษาผู้ป่วยนอกทั้งหมดนี้จะถูกบันทึกเป็นประวัติสุขภาพ/การรักษาทั้งหมด ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่เมื่อจะทำประกันสุขภาพขึ้นมา
จะต้องแถลงและเตรียมส่งประวัติการรักษาทั้งหมดให้กับฝ่ายพิจารณา รวมถึงยังต้องระวังการตั้งข้อสังเกตของแพทย์ในประวัติว่าอาจเป็นบางอย่างแต่ยังไม่ได้ตรวจละเอียด
ทำให้ต้องไปตรวจละเอียดเพิ่มเติมอีก เพราะไม่อย่างนั้นฝ่ายพิจารณาอาจยกเว้นความคุ้มครองในอาการที่ตั้งข้อสังเกตนั้น หรืออาจต้องเลื่อนการรับทำประกันออกไปก่อนได้
ซึ่งยิ่งมีการตรวจสุขภาพประจำปี หรือใช้ประกันกลุ่มกับการรักษาผู้ป่วยนอกมากเท่าเท่าใด.. ก็ยิ่งมีข้อสังเกตเยอะมากขึ้นไปตามด้วย และล้วนเป็นข้อมูลที่ทางฝ่ายพิจารณาต้องนำไปใช้
ดังนั้นโดยเบื้องต้นแนะนำว่าหากมีการใช้สวัสดิการด้านสุขภาพของบริษัทอย่างเต็มที่ การขอประวัติการรักษาทั้งหมดมาให้พร้อมสำหรับการยื่นสมัครทำประกันจะดีที่สุด
ซึ่งจะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนมากกว่าผลตรวจสุขภาพอย่างเดียว หรือถ้าจะใช้ผลตรวจสุขภาพอย่างเดียวก็จำเป็นจะต้องส่งมาทั้งหมดโดยเฉพาะหากปีล่าสุดมีค่าที่สูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์อ้างอิง แล้วทำให้ต้องอาศัยผลตรวจสุขภาพปีก่อน ๆ ในการพิจารณาร่วมด้วย
7. แถลงเกี่ยวกับ ในระหว่าง 5 ปีที่ผ่านมาเคยบาดเจ็บ หรือ เจ็บป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทั้งผู้ป่วยในผู้ป่วยนอก หรือ รับการผ่าตัด หรือ การแนะนําจากแพทย์แผนปัจจุบัน หรือแพทย์ทางเลือก เพื่อรับการรักษาใด ๆ หรือไม่ (จะเป็นสาระสำคัญหากมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญอยู่ในผลการตรวจรักษา)
ส่วนนี้เป็นการแถลงเพิ่มเติมถึง บางโรค บางการเจ็บป่วย (ที่ไม่ได้มีรายชื่อโรคหรืออาการที่ระบุไว้ในใบคำขอทำประกัน) แต่มีการเข้าพบรักษาโดยแพทย์ เช่น อุบัติเหตุกระดูกหัก ไฟไหม้ อาการนอนไม่หลับ เป็นต้น
ซึ่งหลายครั้งก็มักจะปรากฏอยู่ในประวัติการรักษา แม้จะไม่มีในแบบฟอร์มให้เลือกแถลง แต่ก็จำเป็นจะต้องมาแถลงส่วนนี้เพิ่มเติม โดยเฉพาะกับอาการที่มีประวัติใน 5 ปีก่อนทำประกัน
(แต่หากมีประวัติมานานกว่า 5 ปีก่อนทำประกัน จะสามารถไม่แถลงได้ แต่แน่นอนว่าถ้าไม่ได้ยื่นประวัติส่วนนี้เข้าไป จะมีโอกาสที่ต้องรอฝ่ายสินไหมสืบประวัติส่วนนี้ได้เช่นกัน ซึ่งการรอการสืบประวัติที่นานขึ้นกว่าจะได้เงินที่สำรองค่ารักษาไปก่อนคืนนั้น อาจไม่ใช่เรื่องที่อยากให้เกิดขึ้นนักภายหลังทำประกัน)
การแถลงเพื่อให้ทางฝ่ายพิจารณารับทราบ และหากรับประกันเรียบร้อย ผู้เอาประกันเองจะได้สบายใจและไม่ต้องกังวลว่าจะเคลมไม่ได้
ที่สำคัญหากเคยต้องเข้ารับการผ่าตัดใน รพ. โดยเฉพาะการผ่าตัดใหญ่ หรือ ผ่าตัดส่องกล้อง จะมีโอกาสสูงมากที่จะรับการตรวจวินิจฉัยในข้อ 6 อย่างละเอียดเกือบทั้งหมด
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการผ่าตัดของแพทย์ รวมถึงต้องตรวจสภาพร่างกายให้เรียบร้อยก่อนว่า ร่างกายพร้อมที่จะเข้ารับการผ่าตัดได้หรือไม่ หรือมีความเสี่ยงส่วนใดต้องระวังเป็นพิเศษหรือไม่
ปัญหาคือ การตรวจละเอียดเหล่านี้ล้วนตรวจเจอรอยโรคต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นตามอายุ แม้ยังไม่ต้องรักษา แต่อาจส่งผลถึงการพิจารณาความเสี่ยงในการรับทำประกันได้ จึงทำให้อย่างไรแล้วการแถลงที่ดีที่สุดของขั้นตอนนี้จึงเหมือนกับข้อ 6 คือ การเตรียมประวัติการรักษาทั้งหมดเพื่อใช้ในการยื่นขอทำระกัน
ตัวอย่างผลการพิจารณา โรค/อาการ ที่เป็นมาก่อนทำประกัน
ตัวอย่าง : ข้อยกเว้นความคุ้มครองที่เนื้องอกถุงน้ำ
ข้อยกเว้นความคุ้มครอง เช่น เนื้องอก/หินปูน/ถุงน้ำ ทรวงอกใน "ประกันสุขภาพ" จะแบ่งขนาดจากเล็กไปใหญ่ได้ดังต่อไปนี้
▸ ขนาด BIRADS 1 : รับทำประกันสุขภาพได้โดยไม่มีข้อยกเว้นความคุ้มครอง
▸ ขนาด BIRADS 2 : รับทำประกันสุขภาพโดยมีข้อยกเว้นความคุ้มครอง เนื้องอกและถุงน้ำในเต้านมทั้ง 2 ข้าง (บางแบบประกันที่ให้ความคุ้มครองสูงอย่างตระกูล Prestige Health อาจยกเว้นความคุ้มครองเต้านมทั้ง 2 ข้าง) ระวังหากผู้หญิงอายุ 30+ ขึ้นไปแล้ว ผลตรวจแมมโมแกรมโดยทั่วไปมักออกมาในรูปแบบนี้ตามธรรมชาติ ดังนั้นหากยังไม่มีประกันสุขภาพที่ชอบจริง ๆ จะไม่ควรตรวจสุขภาพด้วยแมมโมแกรมเป็นอันขาดเพราะจะถูกยกเว้นความคุ้มครองทันที
▸ ขนาด BIRADS 3 : รับทำประกันโดยมีข้อยกเว้นความคุ้มครองเต้านมทั้ง 2 ข้าง (ตระกูล BLA Happy Health) แต่ไม่รับทำประกันสุขภาพ (ตระกูล Prestige Health)
▸ ขนาด BIRADS 4 : ไม่รับทำประกันสุขภาพ (แต่อาจรับทำประกันชีวิตหรือโรคร้ายแรงแบบมีข้อยกเว้นความคุ้มครองทั้งเต้านมได้ แต่ต้องมีผลตรวจชิ้นเนื้อว่าไม่เป็นเนื้อร้าย)
▸ ขนาด BIRADS 5 : ปฏิเสธการรับทำประกัน
ตัวอย่าง : การเพิ่มเบี้ยรับความเสี่ยงจากปกติ
นอกเหนือจากการยกเว้นความคุ้มครองแล้ว ยังมีตัวอย่างของการเพิ่มเบี้ยรับความเสี่ยงด้วย เช่น ของโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่สามารถเชื่อมโยงไปยังโรคอีกจำนวนมาก จนไม่สามารถระบุข้อยกเว้นความคุ้มครองได้ การเพิ่มเบี้ยจึงเป็นทางออก ตามค่าความดันต่อไปนี้
▸ ความดันปกติ : น้อยกว่า 130/85 เบี้ยมาตราฐาน
▸ ความดันเกือบสูง : 130-139 / 85-89 เบี้ยอาจเพิ่ม 25% (แต่คุ้มครองทุกโรค)
▸ ความดันสูงระดับ1 : 140-159 / 90-99 เบี้ยอาจเพิ่ม 50-75% และ ยกเว้นความคุ้มครองบางโรค
▸ ความดันสูงระดับ2 : 160-179 / 100-109 เบี้ยอาจเพิ่ม 100-200% หรือ อาจเลื่อนการรับทำประกัน
▸ ความดันสูงระดับ3 : มากกว่า 180 / 110 อาจเลื่อนการรับทำประกัน
โดยอาการที่เข้าข่ายการเพิ่มเบี้ยนี้ยังมี
- ภาวะไขมันพอกตับ
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับแบบรุนแรง ได้อีกด้วย
ตัวอย่าง : ปฏิเสธรับทำประกัน
ในส่วนที่มีโอกาสถูก ไม่รับทำประกัน ก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะกับแบบประกันสุขภาพตระกูล PRESTIGE HEALTH ที่จะไม่รับทำประกันในกรณีที่เป็นโรคเกี่ยวกับ
- Office Syndrome หรือ
- อาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง (myofascial pain syndrome: MPS) [แต่หากเป็นเพียงปวดกล้ามเนื้อ Myalgia จะยังสามารถรับทำประกันได้] หรือ
- กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและพังผืดไฟโบรมัยอัลเจีย (fibromyalgia: FM)
- หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเลย
- อาการทางจิตเวชทุกอย่างที่แพทย์ยังให้หยุดยายังไม่ถึง 2 ปี
ตัวอย่าง : การเลื่อนรับทำประกัน (โควิด)
FAQs : การพิจารณารับทำประกัน
ขอบเขตหน้าที่ของฝ่ายพิจารณาเป็นอย่างไร
หน้าที่ของฝ่ายพิจารณา คือ ด่านแรกในการคัดกรองผู้ขอเข้าร่วมเฉลี่ยภัย เพื่อปกป้องเงินกองกลางของทุกคนที่เข้าร่วมเฉลี่ยภัยกันอยู่ เพราะหากคัดกรองไม่ดีแล้ว อาจจะทำให้เงินกองกลางของทุกคนมีความเสี่ยงสูงเกินมาตรฐานจากการเคลมอย่างไม่เป็นธรรมได้
ขบวนการพิจารณารับประกันจึงมีความเข้มงวดและยึดมั่นในประวัติทางการแพทย์และแพทย์ผู้ตรวจ/รักษาสูงมาก เพื่อทำให้ทุกท่านที่ร่วมเฉลี่ยความเสี่ยง มีโอกาสจ่ายเบี้ยหลักพันหลักหมื่น แต่ช่วยในการแบกรับค่ารักษาหลักล้านได้
ทางผู้พิจารณาจึงจะสามารถพิจารณาได้เฉพาะบันทึกของแพทย์หรือหลักฐานทางการแพทย์ที่ออกโดยสถานพยาบาลเป็นหลักได้เพียงเท่านั้น จะไม่สามารถพิจารณาหลักฐานจากทางฝ่ายผู้ขอเอาประกันได้เลยค่ะ
ประเด็นสำคัญที่สุดจะอยู่ตรงที่ เมื่อมีประวัติหรือหลักฐานว่าแพทย์ได้ทำการตรวจและรักษา รวมถึงมีการจ่ายยาเรียบร้อย จะถือว่าได้เข้าสู่ขบวนการรักษาเต็ม 100% แล้ว
โดยขบวนการรักษาข้างต้น หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็จะถือว่ายังไม่ครบขบวนการรักษาจากฝั่งแพทย์ และจะถือว่ายังไม่หายขาดในทางการแพทย์ที่ผู้พิจารณาใช้พิจารณา
แม้ผู้พิจารณาจะเชื่อบันทึกแพทย์เป็นหลัก แต่ก็อาจเกิดกรณีนี้ได้ เช่น อาจเกิดกรณีค่าความดันขึ้นสูงเป็นครั้งคราวแบบไม่ต้องทานยารักษาในครั้งก่อน ๆ แต่แพทย์ได้บันทึกว่า follow up hypertension (แพทย์ระบุว่าติดตามอาการ โรคความดันโลหิตสูง แทนที่เป็นติดตามค่าความดัน)
ทำให้ฝ่ายพิจารณาจำเป็นต้องพิจารณาค่าความดันปัจจุบันล่าสุดที่เป็นหลักฐานร่วมด้วย ว่ากลับมาเป็นปกติหรือยัง
และทำการหาค่าเฉลี่ยความดันของแต่ละปีรวมกันเพื่อให้เกิดความแน่ใจสูงสุด ดังนั้นทั้งบันทึกแพทย์และหลักฐานค่าสุขภาพ จึงต้องพิจารณาพร้อมกันไป
หากไม่แถลง ฝ่ายพิจารณาจะทราบหรือไม่ ส่งผลอย่างไร
เนื่องจากบริษัทประกันจะมีฐานข้อมูลกับ รพ.คู่สัญญาอยู่ โดยเฉพาะหากผู้สมัครทำประกันมีการแอดมิตเป็นผู้ป่วยใน IPD ใน รพ.คู่สัญญา ซึ่งถึงแม้ไม่ได้แถลง แต่ฝ่ายพิจารณาก็จะทราบ และอาจขอให้ผู้สมัครทำประกันส่งประวัติการรักษาทั้งหมดของ รพ. นั้น เพื่อมาประกอบการพิจารณาได้
โดยผู้ป่วยใน IPD นั้น แม้เป็นเพียงการเจ็บป่วยเล็กน้อย อย่างไข้หวัดใหญ่หรือท้องเสียรุนแรง แต่ทาง รพ. ก็จะมีการตรวจวินิจฉัยครบทั้งความดัน ส่วนสูงน้ำหนัก การสอบถามสูบบุหรี่ดื่มสุรา ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ หรือแม้แต่ X-Rays (ในขณะที่ผู้ป่วยนอก OPD จะมีการวัดความดัน และส่วนสูงน้ำหนักเสมอ)
โดยการตรวจเหล่านี้ล้วนทำให้ได้ค่าสุขภาพที่ส่งผลต่อการรับหรือไม่รับทำประกันโดยตรง ซึ่งจะอันตรายอย่างมากหากปกปิดเพราะไม่รู้ว่ามีค่าเหล่านี้อยู่ เนื่องจากเข้าใจว่าหายปวดแล้วคือจบ แต่จริงๆ แล้วไม่จบ เมื่อมีค่าสุขภาพบางตัวที่ต่ำหรือเกินเกณฑ์การรับทำประกัน หรือ ต้องรับทำประกันแบบเพิ่มเบี้ยรับความเสี่ยง เกิดขึ้น
แล้วบริษัทไม่ทราบเพราะไม่ได้แถลงจึงไม่ได้ขอประวัติ แล้วสุดท้ายบริษัทรับทำประกันไปเรียบร้อย ทำให้หากมีการเคลมเกิดขึ้นใน 2 ปีแรก แล้วบริษัทสืบประวัติจนได้ค่าสุขภาพที่รับทำประกันไม่ได้หรือต้องเพิ่มเบี้ยเหล่านี้ขึ้นมา ย่อมถูกบอกล้างสัญญาเนื่องจากปกปิดสาระสำคัญในที่สุด หรือหากเลย 2 ปีไปแล้ว ก็จะถูกทำให้ไม่ต่ออายุสัญญาแทนได้
ดังนั้นการเจ็บป่วยใด ๆ ที่ต้องเข้า รพ. ในรอบ 5 ปี (แม้ไม่ปรากฏรายชื่อโรคหรืออาการในใบคำขอ) จะเป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องแถลง มากกว่าจะลุ้นให้ทางฝ่ายพิจารณาขอประวัติการรักษาจากฐานข้อมูลเอง
เพราะหากฝ่ายพิจารณาไม่ขอ แล้วเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง จะสายเกินไปทั้งต่อตัวผู้ทำประกันที่จะได้เพียงเบี้ยประกันที่จ่ายไปคืนแทนที่จะได้เคลมประกัน และตัวแทนเองที่จะเริ่มถูกบันทึกว่ามีปัญหา ถูกเรียกค่าตอบแทนคืน และอาจโดนภาคทัณฑ์ตามมาภายหลังได้ กับระเบิดสำหรับการไม่แถลงนี้จึงรุนแรงอย่างมากได้
ไม่ได้ตั้งใจปกปิด ไม่รู้มาก่อนว่ามีค่าสุขภาพที่ผิดปกติ จะทำอย่างไรดีหากรับทำประกันไปแล้ว
โดยส่วนใหญ่หลังการรักษาที่ รพ. ทั้ง IPD/OPD มักจะไม่ได้สนใจ ค่าสุขภาพเหล่านี้ โดยจะสนใจเพียงว่า โรคหรืออาการที่เป็นหายหรือยังเท่านั้น แล้วจึงไม่แถลงเพราะเห็นว่าเป็นโรคไม่สำคัญ ไม่มีในใบคำขอทำประกัน ไม่น่าส่งผลใด ๆ
ทั้งที่หากแถลงอาจจะมีโอกาสโต้แย้งหรือถูกขอให้ตรวจสุขภาพใหม่ เพื่อนำข้อมูลค่าสุขภาพใหม่มาทดแทนข้อมูลเดิมได้ แต่พอไม่แถลงจึงไม่มีโอกาสโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น และกลายป็นมีประกันแบบมีกับระเบิดติดตัวมา
โดยแนวทางแก้ไข การที่ตนเองมีกับระเบิดติดตัวมาเพราะปกปิดคิดว่าไม่สำคัญนั้น คือต้องย้อนกลับไปตรวจสอบค่าสุขภาพเหล่านี้ในประวัติให้มั่นใจว่าไม่มีค่าสุขภาพใดผิดปกติจากเกณฑ์อย่างแน่นอน และที่ดีที่สุดคือ ติดต่อตัวแทนเพื่อขอส่งประวัติเพิ่มเข้าไปร่วมด้วย
แต่หากประวัติที่ไม่ได้ส่งมีค่าสุขภาพใดต่ำหรือเกินเกณฑ์ จะต้องพยายามดูแลสุขภาพ (โดยที่ไม่ได้ปรึกษาแพทย์เพื่อทานยาใด ๆ แต่อาจทานวิตามินช่วยได้) และทำการตรวจสุขภาพจนได้ค่าสุขภาพที่กลับเข้าเกณฑ์ปกติมาให้ได้ (แต่ต้องยอมรับว่าบางค่าเช่น ความดัน น้ำตาล จะกลับมาเป็นปกติได้ยากมาก)
และควรได้ผลตรวจปกตินี้มาอย่างน้อย 2-3 ครั้งขึ้นไปในการตรวจล่าสุด รวมถึงพยายามหลีกเลี่ยงการเคลมใน 2 ปีแรกที่จะถูกบอกล้างสัญญาทันทีหากพบว่ามีการปกปิดสาระสำคัญได้
จากนั้นเมื่อได้ค่าสุขภาพเป็นปกติและรักษาไว้ได้จนกระทั่งถึงตอนเคลมแล้ว เมื่อมีการสืบประวัติก่อนหลังทำประกันทั้งหมด จะมีโอกาสลุ้นให้ทางฝ่ายพิจารณาอนุโลมให้ได้
เนื่องด้วยค่าสุขภาพปัจจุบันนั้นเป็นปกติเป็นเวลานานติดต่อกันแล้ว (แต่อย่างไรก็ตามก็ยังต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของฝ่ายพิจารณาทั้งในเรื่องการเคลมและการต่ออายุสัญญาเนื่องจากมีการปกปิดสาระสำคัญ)
ในทางกลับกันหากยอมแถลงตั้งแต่แรก แล้วโดนเลื่อนรับทำประกัน หรือเพิ่มเบี้ย ก็ยังมีเวลาในการดูแลสุขภาพให้ค่าสุขภาพกลับมาเป็นปกติได้ แล้วจึงค่อยขอทำประกันใหม่ หรือขอทบทวนเอาเบี้ยที่เพิ่มออก
โดยที่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเคลมไม่ได้ หรือจะถูกบอกล้างสัญญาใด ๆ เลย ที่สำคัญภายหลังการทบทวนแล้ว ก็จะไม่จำเป็นต้องพยายามดูแลสุขภาพให้อยู่ในเกณฑ์ปกติแบบเคร่งเครียดใด ๆ อีก
ดังนั้น ถ้าไม่ต้องการให้มีระเบิดเวลา หรือ กับระเบิด เกิดขึ้นภายหลังทำประกัน อย่างไรแล้วการแถลงและส่งประวัติการรักษาทั้งหมด จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด มากกว่าการปกปิดแล้วไปพบว่ามีปัญหาให้ต้องแก้ตามหลัง
มีอะไรปกปิดได้บ้าง อยากสมัครทำประกันแบบรวดเร็ว
สิ่งที่ต้องเข้าใจ คือ การปกปิดนี้จะต้องไม่กระทบต่อการรับทำประกันหรือเพิ่มเบี้ย เพราะหากกระทบ ต่อให้ปกปิดอย่างไรจนสามารถสมัครทำประกันได้ ก็จะเหมือนกับยังไม่มีประกันอยู่เลยนั้นเอง เพราะเป็นการปกปิดสารสำคัญ
และที่สำคัญตอนที่ยังไม่ป่วยสภาพจิตใจยังเข้มแข็ง ควรเป็นช่วงที่การเสียเวลาเพื่อเตรียมเอกสารขอประวัติการรักษาทั้งหมดเพื่อยื่นทำประกัน จะเป็นช่วงเวลาที่เครียดและรู้สึกยุ่งยากน้อยอย่างมาก เมื่อเทียบกับ รอให้ถึงตอนป่วยทั้งกายและจิตใจแล้วยังต้องมาลุ้นว่าจะเคลมได้หรือไม่ จะต้องขอประวัติ ต้องรอสืบประวัตินานแค่ไหน
ทำให้การเลือกแนวทางสมัครง่ายโดยการปกปิดตั้งแต่แรก จะไม่คุ้มกันเลยกับการเคลมยากที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง แต่ถ้าหากถามว่าพอจะปกปิดอะไรได้บ้าง
ก็จะสามารถปกปิดการเข้า รพ. ที่ผลการรักษาโรคไม่เรื้อรัง แพทย์ระบุว่าหายขาดหรือกลับมาเป็นปกติแล้ว รวมถึงผลค่าสุขภาพทุกอย่างจากการเข้า รพ. ครั้งนี้เป็นปกติทั้งหมด และโรคหรืออาการที่จะปกปิด ไม่มีชื่อโรคอยู่ในใบคำขอทำประกัน
แต่ถ้าหากมีชื่อโรคอยู่ในใบคำขอทำประกัน (มักเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาหายขาดได้ยากหรือไม่ได้) จะต้องไม่ได้พบแพทย์มานานกว่า 5 ปีขึ้นไปก่อนทำประกัน (หรือนานกว่านั้นและอาจโทรสอบถาม รพ. ว่ายังเก็บประวัติไว้อยู่หรือไม่) และต้องมั่นใจว่าภายใน 3 ปีหลังทำประกันจะไม่มีการเคลมเกี่ยวกับโรคที่ปกปิดนี้เลย
ซึ่งหากรอได้นานรวมกว่า 8 ปีนี้ จะสามารถเคลมโรคที่ปกปิดได้ และจากนั้นจะอยู่ในดุลยพินิจของฝ่ายพิจารณาว่าจะต่ออายุสัญญาให้หรือไม่ เนื่องจากมีการปกปิดสาระสำคัญ
โดยการพิจารณาอนุโลมให้ต่อสัญญาได้ จะขึ้นอยู่กับค่ารักษาที่จะเกิดขึ้นต่อไปของโรคที่ได้ปกปิดว่าต้องไม่สูงและใช้เวลารักษานานมาก รวมถึงบางโรคด้วยเวลานานถึง 8 ปี จะสามารถหายได้จริง ๆ แต่บางโรคต่อให้รอนานเพียงใด ก็ยังมีปัจจัยความเสี่ยงสูงกว่าปกติอยู่ดีนั้นเอง
ดังนั้นการสมัครทำประกันแบบรวดเร็วนั้นทำได้ แต่ก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าตอนเคลมก็จะต้องรอนานหลายปีเช่นกัน แถมการพิจารณาเคลมจะดูเพียงประวัติย้อนหลังเท่านั้น ไม่สามารถโต้แย้งด้วยการตรวจใด ๆ ใหม่ได้ เหมือนตอนยื่นสมัครทำประกัน
ไม่อยากขอประวัติการรักษาทั้งหมดจากทุก รพ. เนื่องจากมีประวัติอยู่ในหลาย รพ. มาก
ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นกับอาชีพเซลที่ต้องมีการเดินทางระหว่างจังหวัดบ่อยครั้ง ทำให้หากมีการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บจะจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาใน รพ. จังหวัด ที่เดินทางไปในขณะนั้น และทำให้สุดท้ายกลายเป็นว่ามีประวัติการรักษากระจายอยู่หลาย รพ. มาก
ซึ่งแนวทางการแก้ไขเบื้องต้น คือ ทุกครั้งที่มีการรักษาที่ รพ. ควรจะต้องขอใบรับรองแพทย์ รวมถึงค่าสุขภาพและค่าผล Lab ต่าง ๆ เก็บไว้เสมอ ทำให้ตอนยื่นประกันสุขภาพก็จะง่ายมากขึ้นโดยอาศัยใบรับรองแพทย์และผล Lab ดังกล่าวที่ทยอยเก็บไว้ หรือสแกนถ่ายรูปเก็บไว้
แต่ในความเป็นจริงส่วนใหญ่แล้วจะไม่ได้ทำการเก็บไว้ และจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า รพ. ที่ไปรักษาในจังหวัดต่าง ๆ ชื่อว่าอะไร ทำให้การโทรสอบถาม รพ. ว่ามีประวัติอยู่หรือไม่ หรือการโทรเพื่อประสานขอประวัติจะเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นอีก
ทั้งนี้ผู้ที่มีปัญหาลักษณะเดียวกันกับอาชีพเซล คือ ผู้ที่มีประกันผู้ป่วยนอก OPD หรือ สวัสดิการจากบริษัท ทำให้มีการเคลมบ่อยครั้งในหลาย รพ. แตกต่างกันไปตามที่สะดวกในตอนนั้น ซึ่งก็จะทำให้การรวบรวมประวัติการรักษามีความยุ่งยากเพิ่มขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามในกรณีดังกล่าวแม้จะยุ่งยาก แต่จะจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยอมรับความยุ่งยากและเก็บรวบรวมประวัติการรักษาทั้งหมดจากทุก รพ. มายื่นพร้อมสมัครทำประกันให้ได้
เนื่องจากหากแถลงตามจริงว่าในรอบ 5 ปี มีการเข้ารับการรักษาใน 4-5 รพ. ขึ้นไป มีโอกาสสูงที่ฝ่ายพิจารณาจะไม่ขอประวัติการรักษา แต่อาจจะเลื่อนการรับประกันไปแทน เพราะอาจเกินวงเงินค่าธรรมเนียมขอประวัติการรักษาที่บริษัทตั้งไว้ต่อราย หรือ อาจถูกมองว่ามีอัตราความเสี่ยงที่สูงกว่าปกติได้
และด้วยเพราะปัจจุบันเป็นยุคที่ค่ารักษาแพงอย่างมาก จึงแทบจะไม่มีบริษัทประกันใดเลยที่จะง้อผู้ที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพสูง และเลือกที่จะคัดออกทันทีไม่ว่าจะก่อนหรือหลังทำประกัน (หากพบว่าปกปิด) โดยจะมุ่งเน้นหาผู้สนใจทำประกันที่ยังสุขภาพแข็งแรงอยู่ มากกว่าจะใช้เวลากับผู้สมัครที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพสูง
ดังนั้นผู้ที่มีประวัติการรักษาอยู่ในหลาย ๆ รพ. อย่างไรแล้วจะจำเป็นต้องทำการเตรียมประวัติไว้ให้พร้อมมากที่สุดเท่านั้น ในการยื่นสมัครทำประกัน
ถึงแม้จะยุ่งยาก แต่ก็ยังดีกว่าจะถูกปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่ได้รับการพิจารณา หรือดีกว่าถูกบอกล้างสัญญาหลังทำประกัน โดยเพราะการปกปิดในโรคที่ไม่เรื้อรังแต่ค่าสุขภาพมีปัญหา (แต่จำไม่ได้ว่ามีปัญหา หรือไม่ทราบมาก่อน)
แถลงแล้วรอมอบอำนาจให้ตัวแทนไปขอประวัติแทนดีกว่าหรือไม่ วิธีนี้มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
อย่างที่กล่าวมาด้านบนว่าถ้าหากมีประวัติหลาย รพ. มาก แม้แถลงเรียบร้อย จะไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะให้ขอประวัติโดยออกค่าใช้จ่ายให้ แต่อาจตัดสินใจเลื่อนการรับทำประกันออกไปแทนได้
หรือ แม้แต่การแถลงว่าเป็นโรคที่มีในรายการของใบคำขอทำประกัน โดยไม่ให้ประวัติการรักษาใด ๆ มาพร้อมการสมัคร บริษัทก็อาจจะเลื่อนการรับทำประกันออกไปก่อนได้เช่นกัน โดยอาศัยเพียงดูเพียงชื่อโรคที่เป็นอยู่เท่านั้น (โดยเฉพาะหากเป็นโรคที่รุนแรง)
เพราะหากเข้าข่าย 2 กรณีนี้ จะถือว่าประวัติการรักษาไม่คลีน และลุ้นที่จะถูกปฏิเสธแม้แต่การพิจารณาได้หากไม่มีประวัติแนบมาด้วย ส่งผลให้การขอประวัติเองมาใช้ตั้งตอนยื่นสมัครจึงเป็นสิ่งจำเป็น และดีกว่าจะรอลุ้นให้บริษัทร้องขอ เพื่อให้ทางตัวแทนสามารถขอประวัติให้ได้
ที่สำคัญการแถลงและหวังพึ่งตัวแทนให้ช่วยขอประวัติโดยเฉพาะต้องขอมากกว่า 2-3 รพ. ขึ้นไป พอถึงเวลาที่ได้รับข้อเสนอจากบริษัทมา ว่าจะไม่คุ้มครองอะไรบ้าง หรือเพิ่มเบี้ยอะไรบ้าง เนื่องจากประวัติการรักษา
ก็จะทำให้ไม่กล้าที่จะปฏิเสธข้อเสนอเท่าใดนัก เพราะเกรงใจตัวแทนที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการให้ หรือ หากปฏิเสธก็อาจจะสูญเสียโอกาสที่จะทำกับตัวแทนท่านนี้อีกตลอดไป เพราะตัวแทนอาจรู้สึกไม่โอเคกับผู้สมัครแล้ว (โดยเฉพาะในเคสที่ทางตัวแทนพยายามหาทางโต้แย้งกับฝ่ายพิจารณาให้อย่างเต็มที่แล้ว)
นอกจากความเกรงใจตัวแทนแล้ว ยังส่งผลให้ไม่สามารถยื่นหลาย ๆ บริษัทประกันพร้อมกันเพื่อพิจารณาเลือกข้อเสนอความคุ้มครองที่ดีที่สุดได้อีกด้วย เพราะประวัติที่บริษัทร้องขอและเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมขอประวัติ ตัวแทนจะที่ได้รับมอบอำนาจให้ขอประวัติที่ต้องส่งให้บริษัทเท่านั้น ไม่สามารถขอทำสำเนาเพื่อมาใช้ส่งบริษัทประกันอื่นได้อีก
ทำให้หากต้องการเห็นข้อเสนอบริษัทอื่น และไม่ได้เตรียมขอประวัติการรักษาไว้เอง
ก็ต้องผ่านขั้นตอน การยื่นทำประกัน การรอให้ฝ่ายพิจารณาร้องขอประวัติ การมอบอำนาจให้ตัวแทนดำเนินการแทน การรอตัวแทนดำเนินการให้ การรอประวัติจาก รพ. การรอการจัดส่งเอกสารประวัติเข้าสู่บริษัทในวันทำการ และทั้งหมดนี้หากมีหลาย รพ. โดยเฉพาะหากเป็น รพ. รัฐ อาจจะต้องใช้เวลาร่วมกันถึงเกือบ 1 เดือนได้
แล้วหากไม่โอเคกับข้อเสนอของบริษัทประกันนี้อีก ก็จะต้องเริ่มขบวนการเดิมใหม่อีกครั้งทั้งหมด
ในขณะที่หากทำการขอประวัติเองในรูปแบบไฟล์ PDF หรือ นำมาทำสำเนาเป็นไฟล์ PDF ที่อาจใช้เวลาเพียง 1-2 สัปดาห์ (ไม่ต้องเสียเวลามอบอำนาจ ไม่เสียเวลาขนส่งเอกสาร) ทั้งยังสามารถส่งพิจารณาหลายบริษัทประกันพร้อมกันได้ในทีเดียว ไม่ใช่ส่งพิจารณาได้เดือนละบริษัท กว่าจะรู้ว่าบริษัทแรกดีที่สุดก็อาจเสียเวลาไปหลายเดือนแล้วได้
ดังนั้นก่อนทำประกันแบบไม่ปกปิดบริษัทประกันจะถือไผ่เหนือกว่าเสมอ (แต่ถ้าทำประกันแบบปกปิดบริษัทประกันจะถือไผ่เหนือกว่าตลอดไป)
ซึ่งการเตรียมตัวโดยการขอประวัติตนเองมาให้พร้อม (โทรเช็คให้แน่ใจว่าบริษัทยังเก็บประวัติไว้หรือไม่) จะช่วยให้ทั้งบริษัทประกัน หรือทั้งความเกรงใจตัวแทน ไม่ได้เป็นผู้ถือไผ่เหนือกว่าหรือเป็นผู้เลือกต่อไปอีก เพราะตัวท่านเองจะได้เป็นผู้เลือกด้วยเนื่องจากส่งพิจารณาได้หลายบริษัทพร้อมกันนั่นเอง
ซึ่งข้อเสนอจะมีทั้งยกเว้นความคุ้มครองบางโรค บางอวัยวะ เพิ่มเบี้ยรับความเสี่ยง หรือทั้งเพิ่มเบี้ยและยกเว้นโรค โดยแต่ละบริษัทก็จะแตกต่างกันไป
ทำไมจึงต้องพิจารณาเพิ่มเบี้ยประกัน (แทนการยกเว้นความคุ้มครอง)
การเพิ่มเบี้ยนั้นมักใช้กับอาการที่เป็นปัจจัยความเสี่ยงต่อสุขภาพโดยตรงและยากที่จะวัดออกมาเป็นค่ารูปธรรมได้ว่าอย่างไรจึงเรียกว่าหายแล้ว เช่น อาการนอนไม่หลับ ค่าความดันที่ผันผวนในการตรวจแต่ละครั้ง ค่าน้ำตาลที่ผันผวนในการตรวจแต่ละครั้ง
จึงได้แต่ดูบันทึกทางการแพทย์หลาย ๆ ครั้งเข้าช่วย เช่น การบันทึกว่าหายขาดร่วมกับระยะเวลาการหยุดยา และการหาค่าเฉลี่ยในการตรวจแต่ละครั้ง
แต่บางทีการมีบันทึกแพทย์จำนวนมากอาจกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ เมื่อมีประวัติพบแพทย์ก่อนทำประกันหลาย ๆ ครั้ง ในหลาย ๆ อาการ
ซึ่งพอมีหลายอาการ แพทย์ที่ตรวจรักษาอาจลืมสอบถามติดตามบางอาการก่อนหน้าไปได้ ทำให้ไม่ได้มีบันทึกการรักษาติดตามล่าสุดว่า อาการนี้หายหรือไม่หาย หรือเป็นอย่างไร
ฝ่ายพิจารณาจึงไม่สามารถพิจารณาได้ว่า ความคืบหน้าของการรักษาอาการนี้เป็นอย่างไรบ้าง และต้องยึดว่ายังไม่ได้รักษาให้หายขาด ซึ่งส่งผลอาจยังต้องเพิ่มเบี้ยต่อไป หรือ ยกเว้นความคุ้มครองต่อไปได้
ดังนั้นคนไข้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทักท้วงแพทย์ เพื่อให้บันทึกแพทย์ครบถ้วนในอาการนั้น ๆ ก่อนยื่นทำประกันสุขภาพ ไม่อย่างนั้นจะจำเป็นต้องพบแพทย์อีกครั้งเพื่อให้ได้ข้อมูลล่าสุดเพิ่ม
ทำไมการ พบแพทย์ ทานยา หายแล้ว และไม่ได้ไปติดตามอาการ เพื่อให้แพทย์ระบุได้ว่าหายขาดแล้ว.. จึงอันตรายอย่างมาก
เนื่องจากแพทย์เป็นผู้ตรวจวินิจฉัยและระบุอาการที่เป็นอยู่ รวมถึงทำการรักษา แพทย์จึงจำเป็นต้องเป็นผู้ประเมินเองว่าได้รักษาหายขาดหรือยังเพื่อจบขบวนการการรักษา
การหายขาดแต่ละอาการ/โรคนั้น จะต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ว่า ไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก ซึ่งใช้เวลาแตกต่างกันไปในแต่ละอาการ/โรค เช่น อย่างน้อยคือ 1 ปีขึ้นไป หรือ 2-3 ขึ้นไป หรือ 5 ปีขึ้นไปก็มี
ซึ่งอาการ/โรคใดที่เป็นมาก่อนทำประกัน และยังไม่ได้รับการรักษาให้หายขาด ฝ่ายพิจารณาบริษัทฯ จำเป็นต้องพิจารณาว่า จะยกเว้นความคุ้มครองอย่างไร หรืออาจจะเพิ่มเบี้ยประกันรับความเสี่ยงหากไม่สามารถระบุการยกเว้นความคุ้มครองได้
ฝ่ายพิจารณาจะสามารถพิจารณาตัดสินใจว่าหายขาดหรือไม่ จากประวัติการรักษาเท่านั้น เพราะหากนอกเหนือจากนี้หรือไม่เป็นไปตามหลักฐานทางการแพทย์ จะเป็นหลักฐานผูกมัดที่สามารถย้อนกลับมาให้โทษแก่ฝ่ายพิจารณาได้เช่นกัน (ภายใต้กรอบสัญญาประกันภัย)
ทั้งนี้หากเหตุการณ์เปลี่ยนจากการตรวจรักษาในโรงพยาบาล มาเป็น การปรึกษาเภสัชกรร้านยา และซื้อยาทานเองครั้งคราว ก็จะยังถือว่าไม่ได้มีประวัติการรักษาจากสถานพยาบาล และสามารถมองว่า ยังไม่รุนแรงถึงขนาดเข้าสถานพยาบาล และไม่ได้ถือว่ามีประวัติเป็นโรคได้ การพิจารณารับประกันภัยก็จะเป็นในอีกแนวทางหนึ่งได้
หากไม่ได้ตรวจติดตามอาการใด ๆ อีกเลย นานหลาย ๆ ปีจะถือว่าหายขาดได้หรือไม่
หากเป็นโรคที่มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ และไม่ได้พบแพทย์เพื่อติดตามอาการใด ๆ อีกเป็นระยะเวลาที่นานมากพอ ก็สามารถถือว่า หายขาดได้เช่นกัน โดยไม่ต้องมีใบรับรองจากแพทย์
ซึ่งโดยปกติ วิธีนี้จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป หรือตามที่ฝ่ายพิจารณาแนะนำในแต่ละโรค หรือก็คือการใช้ระยะเวลาและการไม่มีประวัติพบแพทย์ในการยืนยันการหายขาดแทนนั้นเอง
โดยจุดที่แตกต่างกว่าวิธีที่พบแพทย์และแพทย์รับรองว่าหายขาดคือ วิธีที่แพทย์รับรองว่าหายขาด จะใช้เวลารอคอยว่าหายขาดนานน้อยกว่า
เช่น อาจจะใช้เพียง 1 ปีเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโรคหรืออาการนั้น ๆ
เมื่อเสร็จสิ้นขบวนการรักษาสามารถยื่นทบทวนการพิจารณาหลังทำประกันได้
การยื่นทบทวนภายหลังทำประกัน เพื่อปรับลดเบี้ยประกันที่ถูกเพิ่มขึ้น หรือ ถอดข้อยกเว้นความคุ้มโรคหรืออาการบางอย่างออกแต่ละโรคหรืออาการนั้น จะต้องมีประวัติการรักษาหายขาดอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป (และจะต้องยื่นทบทวนภายใน 2 เดือนก่อนครบกำหนดชำระเบี้ย)
ทั้งนี้แล้วแต่โรคนั้น ๆ ว่าจะต้องการเวลาหายขาดมากกว่า 1 ปีหรือไม่ ซึ่งฝ่ายพิจารณาจะแจ้งให้ทราบตอนมีข้อเสนอหรือตอนขอทบทวน โดยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาหายขาด จึงจะสามารถยื่นทบทวนได้ ซึ่งจะสามารถสรุปขั้นตอนยื่นทบทวนได้ดังต่อไปนี้
สรุปขั้นตอนยื่นทบทวนข้อเสนอ
จากนั้นทางฝ่ายพิจารณาจะดำเนินการพิจารณาการลดเบี้ย ถอดข้อยกเว้น หรืออาจขอเอกสารใด ๆ เพิ่มเติมต่อไปค่ะ
หรือหากเป็นโรคที่หายขาดเองได้ โดยไม่ตรวงพิสูจน์แต่ใช้ระยะเวลาที่หายขาดไม่พบแพทย์ที่นาน 5 ปีขึ้นไป
อย่างเช่น กรดไหลย้อน ก็สามารถยื่นทบทวนเข้ามาได้ พร้อมประวัติการรักษาล่าสุดเพื่อยืนยันว่าไม่ได้พบแพทย์จริง ๆ
มุมมองแพทย์ผู้ตรวจรักษา กับ มุมมองแพทย์ผู้พิจารณารับความเสี่ยง ไม่เหมือนกัน
แพทย์ผู้ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้ทำการตรวจส่องกล้องอย่างละเอียดพบว่าปัจจุบันยังปลอดภัยจากมะเร็งแน่นอน และให้เวลาอีกหลายปี ค่อยมาตรวจซ้ำอีก
ในมุมมองแพทย์ผู้พิจารณารับประกันจะไม่ได้มองเพียงเรื่องมะเร็งเท่านั้น แต่จะดูผลลัพธ์ทั้งหมดของการตรวจว่าปรากฎอะไรขึ้นมาบ้าง เช่น อาจพบติ่งเนื้อในลำไส้ที่ถึงแม้จะเล็กมาก อาจพบการอักเสบของลำไส้บางจุด อาจพบอาการริดสีดวงทวาร เป็นต้น
ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงอาการเริ่มต้น ไม่ต้องรักษา และไม่ได้ส่งผลต่อมะเร็งใด ๆ ในทันที แต่ก็ถือได้ว่า มีอาการหรือความเสี่ยงเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งแพทย์ผู้พิจารณาก็จะยกเว้นความเสี่ยงเหล่านี้ทั้งหมดรวมถึงอาการสืบเนื่องในอนาคตทันที
เพราะถือว่าเป็นมาก่อนทำประกันตามกฎและเงื่อนไขการรับประกันที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด
ดังนั้น การตรวจสุขภาพ การตรวจคัดกรองโรคใด ๆ ก่อนทำประกันสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมากต่อการถูกยกเว้นความคุ้มครอง หากวางแผนจะทำประกันสุขภาพในอนาคต
เนื่องจากต้องยอมรับว่า อาการหรือลักษณะผิดปกติบางอย่างก็เป็นตามอายุขัย (เช่น กระดูกเสื่อม ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น) คือ เมื่อตรวจแล้วอย่างไรก็ต้องเจอ และกลายเป็นหลักฐานทางการแพทย์ว่าตรวจเจอแล้ว ก็เป็นเหตุสุดวิสัยที่อย่างไรทางแพทย์ผู้พิจารณาก็จำเป็นต้องยกเว้นความคุ้มครองแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
บทสรุปการแถลงสุขภาพ
จากประสบการณ์ของทีมงานเราที่เคยส่งเคสอายุ 80 ปี ซึ่งคาบเกี่ยวจะอายุ 81 ปีนั้น ไม่มีทางเลยที่เราจะแถลงสุขภาพได้ครบถ้วน เพราะประวัติรักษาหนาหลายร้อยหน้าจนเกือบถึงพันหน้า (รวมแล้ว 3-4 โรงพยาบาล) เนื่องจากมีการติดตามอาการรักษาเป็นระยะ และผู้เอาประกันเองก็จำไม่ได้แล้วว่าตนเองเคยเป็นโรคหรืออาการใดบ้าง
แต่ข้อดีอย่างมากคือ ผู้ขอเอาประกันเตรียมประวัติการรักษาทั้งหมดไว้เรียบร้อย และในนั้นมีผลการตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี จึงทำให้สามารถแจ้งหมายเหตุไปกับผู้พิจารณาได้ว่า
การแถลงอาจแถลงได้ไม่ครบ แต่ให้ยึดตามประวัติการรักษาทั้งหมด ซึ่งผลสุดท้ายทางบริษัทก็พิจารณารับทำประกัน ด้วยเบี้ยมาตรฐาน และมีการขอยกเว้นเฉพาะโรคที่เป็นมาก่อนทำประกันเท่านั้น
เพราะสิ่งที่ยากของการทำประกันสุขภาพก็คือ การต้องจำให้ได้ว่า รักษาที่ใด รักษาตอนไหน ผลเป็นอย่างไร ดังนั้นการขอประวัติการรักษามาทั้งหมดก่อนยื่นทำประกันสุขภาพไปหลาย ๆ บริษัทพร้อมกัน (ปัจจุบันนี้อาจจะต้องยื่นพร้อมชำระเบี้ยประกัน ต่างจากแต่ก่อนที่สามารถยื่นพิจารณาโดยยังไม่ต้องชำระเบี้ยประกันได้)
รวมกับผลการตรวจพิสูจน์ข้อสังเกตทั้งหมด หรืออาการที่รู้สึกว่าเป็นอยู่ จึงเป็นทางออกหนึ่งที่สำคัญ ที่จะทำให้สบายใจได้แน่นอนว่า หากบริษัทรับทำประกันแล้ว จะไม่มีปัญหาเรื่องการเคลมแน่นอน ต่อให้บริษัทจะสืบประวัติก่อนหรือหลังทำประกันอย่างไรก็ตาม และได้ประกันสุขภาพจริง ๆ โดยไม่มีความกังวลหรือติดค้างอะไรในใจ ดังบทความนี้
ทั้งนี้จะสามารถพิจารณาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในขั้นตอนต่อไปภายหลังการแถลงสุขภาพดังบทความต่อไปนี้ค่ะ
การวางแผนเก็บเงินและเกษียณอย่างจริงจัง เริ่มขึ้น เมื่อเข้าใจ..
วิธีใช้ธรรมชาติของเครื่องมือการเงินที่จำเป็นให้เกิดประโยชน์สูงสุด
"ตน (ในปัจจุบัน) จักเป็นที่พึ่งของตน (ในอนาคต)"