หากทำการ กันเก็บเงิน และ กำหนดหน้าที่ของเงินส่วนนี้ ให้เป็น..
- เงินสำหรับ ดูแลคนข้างหลังโดยตรง หรือ จัดการภาระที่อาจทิ้งไว้ให้คนข้างหลัง โดยที่ไม่ต้องผ่าน ผู้จัดการมรดก เจ้าหนี้ หรือ สรรพากร (ภาษี)
- เงินที่มี กลไกเพิ่มมูลค่า "ในทันทีหลายสิบหลายร้อยเท่า" เมื่อใช้เงินถูกวัตถุประสงค์
- เงินที่มี กลไกป้องกันการนำเงินออกไปใช้ อย่างผิดวัตถุประสงค์
- เงินที่มี กลไกช่วยทำตามแผน "อย่างมีวินัย" และยังช่วย "ประหยัดภาษี" ได้ด้วย
- เงินที่ อาจช่วยให้ดวงแข็งมากขึ้น ด้วยการเฉลี่ยดวงกับคนที่สุขภาพแข็งแรงจำนวนมาก
จากหน้าที่ทั้งหมดนี้เองจะมีอยู่หนึ่งเครื่องมือการเงิน ที่สามารถทำให้เงินส่วนนี้ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างครบถ้วนที่สุด นั่นก็คือ..
ประกันชีวิต
เครื่องมือลดหย่อนภาษีลำดับแรกที่ควรเลือกใช้
เพื่อเป็นตัวแทนของคุณในยามที่โชคร้ายที่สุด หรือ อาจช่วยเสริมดวงให้คุณในทางกลับกัน
ประกันชีวิตกับสิทธิลดหย่อนภาษี

ประกันชีวิตเป็นเครื่องมือลดหย่อนภาษีแรก ที่ควรให้เงินใช้งาน ด้วยเพราะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการกับความยุ่งยากหลายอย่างที่จะถูกส่งต่อให้คนข้างหลัง
และด้วยความสำคัญนี้เอง ภาครัฐจึงทำให้เบี้ยประกันชีวิตสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บ. หรือ เสมือนได้ส่วนลดเบี้ยประกันกลับมาในรูปแบบเงินคืนภาษี
ยกตัวอย่างเช่น
จากฐานภาษี 30% ตารางด้านบนนี้ ทำให้เห็นได้ว่าการลดหย่อนภาษี จะได้ความคุ้มครองของเบี้ยที่ 100,000 บ. โดยใช้เงินจริงที่ 70,000 บ. เท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนลดที่ค่อนข้างมาก
ถึงแม้จะใช้ลดหย่อนได้เฉพาะกับเบี้ยประกันชีวิตไม่เกิน 100,000 บ. แต่ถ้าหากวางแผนเลือกแบบประกันชีวิตที่เหมาะสม ด้วยเบี้ยไม่เกิน 100,000 บ. นี้ จะสามารถให้ความคุ้มครองชีวิตสูงสุดถึง หลักสิบล้านบาท ได้
ทุนประกันชีวิตควรเป็นเท่าใด

อย่างไรก็ตามสิทธิลดหย่อนภาษีจะไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่สามารถช่วยให้เห็นความสำคัญของประกันชีวิต รวมไปถึงการเลือกทุนประกันชีวิตที่เหมาะสมได้
แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่จะสนับสนุนถึงความสำคัญส่วนนี้อยู่ โดยจะเห็นปัจจัยนี้ได้เฉพาะกับผู้ที่เริ่มทำบัญชีงบรายรับรายจ่ายส่วนบุคคลหรือส่วนครอบครัวอย่างจริงจัง ที่อย่างน้อยสามารถทราบงบประมาณหมวดใช้จ่ายต่าง ๆ ในรอบ 1 ปีล่วงหน้าได้ (บทความ : ประโยชน์ของการทำบัญชีรายรับรายจ่ายล่วงหน้า)
ซึ่งการทำบัญชีจะทำให้ ทราบถึงปัจจัยด้านสถานะทางการเงิน ภาระ/รายจ่ายต่าง ๆ และ วินัยการเงินส่วนบุคคลหรือครอบครัวในปัจจุบันได้
และด้วยปัจจัยเหล่านี้เอง ทำให้การตัดสินใจเลือกทุนประกันชีวิตที่เหมาะสมสามารถเกิดขึ้นได้ มากกว่าการตัดสินใจเลือกทุนประกันชีวิตเพียงเพราะจะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเท่านั้น
ประกันชีวิตไม่ได้คุ้มครองรายได้จากการเสียชีวิตเพียงเท่านั้น

จากบทความวิธีคำนวณทุนประกันข้างต้นจะเห็นได้ว่า ประกันชีวิตสามารถถูกขยายเพิ่มความคุ้มครองของสาเหตุที่บริษัทประกันจะจ่ายเงินก้อนให้มากกว่าการเสียชีวตอย่างเดียวได้ โดยอาศัยผ่านทางอนุสัญญาที่นำมาแนบกับประกันชีวิต ดังรูปด้านล่างนี้
จากรูป..แม้เริ่มต้นด้วยการคุ้มครองชีวิตของสัญญาหลัก แต่อนุสัญญาที่เลือกแนบเพิ่มเข้ามาเหล่านี้ยังสามารถทำให้เกิดการขยายความคุ้มครองของที่มากขึ้นได้
- ทั้งการได้เงินก้อนที่มากขึ้น หากเสียชีวิตในช่วงกาลเวลาที่กำหนด หรือ หากเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุถูกทำร้าย
- รวมไปถึงการได้เงินอีกก้อนแม้ยังไม่เสียชีวิต แต่ทุพพลภาพถาวร หรือ เป็นโรคร้ายแรง
ซึ่งอนุสัญญาเหล่านี้จะเป็นอนุสัญญายอดนิยมสำหรับกรมธรรม์ที่เน้นความคุ้มครองลักษณะการจ่ายเงินก้อนใหญ่ตามทุนประกันที่เลือกไว้ โดยอนุสัญญาจะมีอายุสัญญาของตนเอง แต่อย่างไรแล้วจะไม่เกินอายุสัญญาของสัญญาหลักประกันชีวิตที่ไปแนบด้วย
ดังนั้นเมื่อพูดถึงการคำนวณหาทุนประกัน จึงจะไม่จบที่ทุนประกันชีวิตเพียงอย่างเดียว แต่จะหมายรวมถึงทุนประกันของอนุสัญญาเหล่านี้ร่วมด้วย
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเน้นไปที่อนุสัญญาต่างๆ สิ่งแรกที่ควรต้องคำนึง คือ ระยะเวลาความคุ้มครองที่ต้องการของกรมธรรม์ ซึ่งจะถูกกำหนดผ่านทางแบบประกันชีวิตที่เป็นสัญญาหลักที่จะเลือกเป็นตัวแรกสุดก่อน
รูปแบบของประกันชีวิตแบ่งตามระยะเวลาความคุ้มครอง
การคำนวณทุนประกันชีวิตผ่านปัจจัยบัญชีงบรายรับรายจ่ายนั้น หากคำนวณล่วงหน้าได้นานพอจะสามารถเห็นได้ว่า ภาระทางการเงินไม่ได้เท่ากันในทุกช่วงอายุ

ด้วยเพราะ ภาระบางอย่างอาจจะอยู่เพียงไม่กี่ปี ภาระบางอย่างอาจจะอยู่ถึงเพียงช่วงก่อนเกษียณ หรือ ภาระบางอย่างอาจจะอยู่นานไปตลอดชีวิตก็ได้
จึงทำให้ประกันชีวิตจำเป็นต้องแบ่งประเภทออกมาตามระยะความคุ้มครอง ที่จะมีทั้งแบบที่เน้นคุ้มครองตลอดชีวิต และแบบที่เน้นคุ้มครองจำกัดเวลาตามจำนวนปีที่เลือก ดังต่อไปนี้
1. ประกันชีวิตตลอดชีพ (WHOLE LIFE)

เพื่อรองรับภาระทั้งก่อนและหลังเกษียณ รวมถึงให้กรมธรรม์สามารถรองรับการต่ออายุของอนุสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองได้นานที่สุด สัญญาหลักจึงมักมีอายุสัญญาคุ้มครองได้ถึงอายุ 85 ปี 90 ปี 95 ปี หรือ 99 ปี ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันนั้น ๆ ว่ามีอนุสัญญาที่ต้องการต่ออายุได้นานที่สุดถึงอายุเท่าใด และด้วยระยะเวลาของสัญญาที่นานมากนี้เอง จึงเป็นเหตุผลที่เรียกประกันชีวิตแบบนี้ว่า ประกันชีวิตตลอดชีพ

1.1 ตลอดชีพแบบดั่งเดิม
เป็นแบบดั่งเดิม ที่เน้นทั้ง ความคุ้มครองชีวิต และ การเก็บมูลค่าเงินสดไว้ในสัญญาสำหรับช่วยให้สามารถคุ้มครองได้นานตลอดชีพ ทำให้ทุนประกันชีวิตมักจะอยู่ใน "หลักสิบเท่า" ของเบี้ยประกันต่อปี โดยสามารถแบ่งออกเป็น
A. ตลอดชีพแบบ ไม่มีเงินปันผล

เป็นแบบที่เน้นให้ มูลค่าเงินสด หรือ มูลค่าเวนคืนหากยกเลิกสัญญา เกินเบี้ยทั้งหมดที่จ่ายไปได้ โดยมูลค่าเงินสดจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ดังกราฟด้านบนจนเท่ากับทุนประกันชีวิตที่เลือกเมื่อครบอายสัญญา ทั้งนี้มูลค่าเงินสดส่วนหนึ่งจะถูกหักไปช่วยจ่ายค่าประกันภัยตอนสูงอายุเรียบร้อย เพื่อการันตีความคุ้มครองได้ตลอดชีพ
**ดังนั้นเบี้ยประกันที่ชำระไปจะถูกนำไปใช้ทั้งเป็นค่าประกันภัย และเป็นค่าการลงทุนที่เน้นไม่ให้ความเสี่ยงเกินตราสารหนี้เพื่อสร้างมูลค่าเงินสดแบบการันตีมาทำหน้าที่ดังกล่าว
B. ตลอดชีพแบบ มีเงินปันผล (โบนัสอายุยืนคืนเบี้ย)
แบบตลอดชีพไม่มีเงินปันผล จะมีปัญหาตรงที่จะไม่ได้เบี้ยประกันที่ชำระไปคืนกลับมา จนกว่าจะยกเลิกสัญญาในตอนที่ มูลค่าเงินเวนคืนเกินเบี้ยที่ชำระทั้งหมดไปแล้ว (ซึ่งส่วนใหญ่จะยังต้องการให้คุ้มครองต่อไม่ต้องการยกเลิก)
ดังนั้นแบบตลอดชีพมีเงินปันผล จึงเข้ามาแก้ปัญหานี้โดยพยายามที่จะให้โบนัสอายุยืนในทุกปีไปเรื่อย ๆ ผ่านเงินปันผล (ไม่การันตีขึ้นอยู่กับผลการลงทุนของบริษัท) เสมือนเป็นการได้เบี้ยประกันกลับคืนมาตามอายุที่ยืนเพิ่มมากขึ้น
กล่าวคือได้ทั้งมูลค่าเงินสดในสัญญาที่เกินเบี้ยทั้งหมดได้ และ ได้ปันผลหากอายุยืนมาช่วยลดเบี้ยที่จ่ายไปได้อีกทาง (ทั้งนี้หากทำประกันตั้งแต่อายุยังน้อยที่เบี้ยประกันไม่สูง ร่วมกับปันผลที่ได้นานมากขึ้น จะทำให้เงินปันผลสามารถเกินเบี้ยทั้งหมดได้อีกทาง)
*เนื่องจากต้องมีการแบ่งเบี้ยส่วนหนึ่งไปลงทุนเพิ่มเพื่อให้ได้เงินปันผล เบี้ยประกันจึงจะสูงกว่าแบบที่ไม่มีปันผล แต่ด้วยไม่ต้องการันตีเงินปันผล บริษัทประกันจึงสามารถเลือกลงทุนที่เสี่ยงขึ้นได้ โดยสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างเช่นหุ้นได้ถึง 20% ของพอร์ต (ไม่ใช่เฉพาะสินทรัพย์เสี่ยงต่ำแบบตราสารหนี้อย่างเดียว)
สามารถเปรียบเทียบประกันชีวิตตลอดชีพของ BLA ได้ดังบทความนี้

1.2 ตลอดชีพแบบ วัตถุประสงค์พิเศษ
แบบนี้จะมีการปรับให้ประกันชีวิตตลอดชีพ มีความคุ้มครองพิเศษจากเดิม แต่ยังมีประเด็นหลักที่เหมือนกัน คือ สัญญาระยะยาวตลอดชีพ ดังต่อไปนี้
A. ตลอดชีพแบบควบโรคร้ายแรง เพื่อให้ประกันโรคร้ายแรงเป็นเบี้ยแบบคงที่ได้
เป็นแบบประกันที่คุ้มครองทั้ง ชีวิต เก็บมูลค่าเงินสดในสัญญา และ คุ้มครองโรคร้ายแรง ไปในตัว ทำให้เบี้ยประกันสูงเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก ในขณะที่ได้ทุนประกันเท่าเดิม เนื่องจากเบี้ยประกันต้องแบ่งมาจ่ายค่าประกันภัยโรคร้ายเพิ่มจากค่าประกันภัยส่วนชีวิต
ทำให้เป็นแบบประกันที่ไม่ควรทำหลังอายุ 45 ปี เนื่องจากเบี้ยทั้งสัญญาอาจจะมากกว่าทุนประกันที่ได้ เสมือนเป็นการทยอยเก็บเงินเพื่อรับความเสี่ยงเองทั้งหมด เพียงแต่ในช่วงเวลาที่ทยอยเก็บเงินจะได้ความคุ้มครองก่อนเท่านั้น
ดังนั้นก่อนเลือกแบบประกันลักษณะนี้ ควรทำความเข้าประกันโรคร้ายแรงโดยตรงให้เข้าใจมากขึ้นก่อนตัดสินใจเลือกแบบประกันลักษณะนี้ โดยเฉพาะหากจะทำตอนอายุมากแล้ว
B. ตลอดชีพแบบ ประกันบำนาญ
เป็นแบบประกันที่มีความตลอดชีพตรงที่ ช่วงก่อนรับบำนาญจะให้ความคุ้มครองชีวิตตามเงื่อนไขที่กำหนดซึ่งจะได้ทุนประกันชีวิตไม่สูงมากนัก เพราะเมื่อถึงอายุรับบำนาญจะทยอยได้รับเงินคืนทุกปีไปตลอดชีพ
ซึ่งประกันแบบนี้จะมีเงื่อนไขให้เลือกหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น
- ทุนประกันชีวิตที่เป็นแบบเกือบเท่าเบี้ยสะสม หรือแบบมากกว่าหลายเท่าในช่วงแรก
- เงินบำนาญที่จะได้รับหากจากไปเร็วจะเป็นแบบ การันตี หรือ แบบคืนเบี้ยที่เหลือหลังหักบำนาญที่ได้รับไปแล้ว
- บำนาญจะเป็น แบบบำนาญคงที่ หรือ แบบบำนาญทยอยเพิ่มขึ้นในแต่ละปี
- เริ่มรับบำนาญตอนอายุ 55 หรือ อายุ 60 หรือ อายุ 65 ปี
- รับบำนาญถึงอายุ 85 ปี หรืออายุ 99 ปี
ดังนั้นการศึกษาทำความเข้าใจแบบประกันนี้ก่อนตัดสินใจเลือกจึงสำคัญมากเช่นกัน
C. ตลอดชีพแบบประกันสะสมทรัพย์ มีเงินคืนทุกปี
ปกติประกันสะสมทรัพย์อายุสัญญาอย่างมากจะไม่เกิน 25 ปี แต่หากกำหนดอายุสัญญาด้วยอายุผู้ทำประกัน เช่นถึง อายุ 80 หรือ อายุ 99 ปี แบบนี้จะเรียกว่า ประกันสะสะสมทรัพย์ตลอดชีพ หรือ มีความเป็นประกันชีวิตตลอดชีพที่มีเงินคืนแบบการันตีตามสัญญาในทุกปี หรือตามปีที่กำหนด
ทำให้ประกันแบบนี้จะได้รับเงินคืนเร็วไม่ต้องรอรับตอนอายุ 55 ปี หรือ อายุ 60 ปี แบบประกันบำนาญ และมีทุนประกันชีวิตให้ด้วยทั้งก่อนและหลังเกษียณแม้จะไม่สูงมากกว่าเบี้ยมากก็ตาม
จุดประสงค์ของประกันแบบนี้จะไม่ใช่มาเทียบกับประกันบำนาญ แต่เป็นการป้องกันไม่ให้เงินก้อนใหญ่ที่ได้รับมา หรือที่ส่งต่อให้ลูก ถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังสามารถให้เงินเติบโตมากขึ้นแบบการันตีด้วย
D. ตลอดชีพแบบ ประกันชีวิตควบการลงทุนชำระเบี้ย ครั้งเดียว (Single Premium)
เป็นแบบประกันที่เน้นการลงทุนเป็นหลัก ความคุ้มครองเพียง 110% ของเบี้ยที่จ่ายครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะทำตอนอายุ 61 ปีขึ้นไป ที่อายุเกินไม่สามารถทำประกันบำนาญได้แล้ว
แต่ยังต้องการเปลี่ยนเงินก้อน ให้กลายเป็นกองทุนรวมในกรมธรรม์ประกันชีวิต ที่สามารถกำหนดให้ขายกองทุนรวมออกมาเป็นเงินบำนาญให้ใช้ทุกปีหรือทุกเดือนจนกว่าเงินในกองทุนรวมจะหมด (ซึ่งอาจจะหมดเร็วกว่าที่คาดการณ์ว่าจะเป็นตลอดชีพได้)
จุดประสงค์ คือ
- ป้องกันการถูกมิจฉาชีพหลอกเอาเงินไปทั้งหมดได้ง่ายในตอนเกษียณ
- ยังมีความคุ้มครองชีวิตให้บ้างสำหรับค่าใช้จ่ายสุดท้าย
- เงินก้อนใหญ่ที่เหลือสามารถส่งต่อให้ผู้รับประโยชน์โดยตรงหลังการจากไปได้
อย่างไรก็ตามประกันลักษณะนี้จะมีเงื่อนไขที่ต้องทำความเข้าใจให้เรียบร้อยก่อนพอสมควร
2. ประกันชีวิตชั่วระยะเวลา (TERM LIFE)

เน้นเฉพาะคุ้มครองชีวิตตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น 10-20 ปี หรือจนถึงเกษียณอายุ 60 ปี โดยความคุ้มครองมักจะอยู่ที่หลักร้อยเท่าของเบี้ยที่จ่ายต่อปี (เริ่มทำประกันไม่เกินอายุ 40 ปี) จุดประสงค์จะคล้ายกับประกันรถยนต์ที่ชำระเบี้ยแลกความคุ้มครองทุกปี..เพียงเปลี่ยนจากรถมาเป็นคนเท่านั้น
ซึ่งประกันแบบนี้จะไม่มีความซับซ้อน
และแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ ด้วยกันคือ

2.1 ชั่วระยะเวลาแบบ อนุสัญญา
เป็นอนุสัญญาที่ต้องแนบกับสัญญาหลักประกันชีวิตตลอดชีพ ทำให้เมื่อครบอายุอนุสัญญานี้ จะยังเหลือสัญญาหลักประกันชีวิตตลอดชีพที่ทำงานต่อไปแทน

เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองก่อนเกษียณด้วยทุนประกันชีวิตที่สูงเพิ่มขึ้นจากประกันชีวิตตลอดชีพสัญญาหลักเดิมที่มีอยู่ แต่ต้องการจ่ายเบี้ยให้น้อยที่สุด
โดยตัวอย่างของ BLA จะเรียกอนุสัญญาลักษณะนี้ว่า "สัญญาเฉพาะกาล" ซึ่งมีเบี้ยประกันชีวิตที่ประหยัดที่สุดในปัจจุบัน เพียงแต่มีระยะเวลาคุ้มครองให้เลือกที่ 10 15 18 ปี และ จำกัดทุนประกันชีวิตสูงสุดที่ทำได้ไม่เกิน 10 เท่าของทุนประกันชีวิตสัญญาหลัก

2.2 ชั่วระยะเวลาแบบ สัญญาหลัก
เป็นแบบที่เมื่อครบอายุสัญญา กรมธรรม์จะปิดตัวลงทันที
สัญญาหลักแบบนี้จะสามารถให้ ทุนประกันชีวิต ได้สูงโดยไม่มีเงื่อนไขจำกัดทุนประกันชีวิตที่ต้องอ้างอิงกับสัญญาหลัก เพราะเป็นสัญญาหลักเอง โดยจะมีระยะเวลาความคุ้มครองให้เลือก เช่น คุ้มครอง 10 15 20 ปี เป็นต้น

2.3 ชั่วระยะเวลาแบบ ประกันชีวิตควบการลงทุน (จ่ายเบี้ยประจำ)
เป็นแบบประกันชีวิตสัญญาหลัก (Unit-Linked) ที่สามารถเลือกทุนประกันชีวิต ได้เองว่าต้องการกี่เท่าของ *เบี้ยประกันต่อปี เพียงแต่สัญญาจะคงอยู่จนกระทั่งพอร์ตกองทุนรวมในกรมธรรม์ไม่พอจะที่จะนำไปใช้จ่ายค่าประกันภัยที่สูงขึ้นตามอายุในทุกเดือน
เนื่องจากแบบนี้ไม่ได้การันตีอายุสัญญาเหมือนแบบประกันชึวิตชั่วระยะเวลาอื่น ๆ จึงทำให้การคำนวณเลือก ทุนประกันชีวิตที่เหมาะสมต่อเบี้ยรายปีที่ชำระ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้อายุสัญญาอยู่ได้นานถึงอายุที่ต้องการได้ เช่น ถึงอายุ 60 ปี หรือ อายุก่อนเกษียณ เป็นต้น
ทำให้แบบประกันนี้มีข้อดีตรงที่อายุของสัญญาสามารถนานกว่า ประกันชีวิตชั่วระยะเวลาที่มักนานสุดเพียง 20 ปีได้ และยังสามารถเลือกปรับทุนประกันชีวิตสูงที่สุด เช่น 200 - 250 เท่าของเบี้ยประกันต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนเท่าที่สูงกว่าแบบประกันชีวิตชั่วระยะเวลาทั่วไปในบางช่วงอายุของผู้ทำประกันได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามหากเลือกทุนประกันชีวิตสูงสุดที่ทำได้ ในส่วนพอร์ตกองทุนรวมควรเลือกพอร์ตกองทุนรวมความเสี่ยงต่ำที่มีความผันผวนน้อย (ผลตอบแทนคาดหวัง 2% ต่อปี) เพื่อให้การคำนวณคาดการณ์อายุกรมธรรม์เป็นไปได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
หมายเหตุ :
*เบี้ยประกันที่ชำระ จะถูกนำไปลงทุนในพอร์ตกองทุนรวมที่ผู้ทำประกันเลือก และระบบจะทยอยขายกองทุนรวมมูลค่าเท่ากับค่าประกันภัยที่ต้องจ่ายตามทุนประกันชีวิตที่เลือกไว้ในทุกเดือน
เบี้ยของประกันนี้จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ด้วยกัน คือ
1. เบี้ยแบบปกติทึ่ไว้กำหนดทุนประกันสูงสุดที่ทำได้ (บังคับชำระ)
2. เบี้ยแบบเพิ่มพิเศษที่ไว้เติมเงินเข้าพอร์ตกองทุนรวมโดยตรง (ไม่บังคับชำระ) สำหรับกรณีที่มูลค่าพอร์ตของแบบที่ 1 ไม่เหลือพอจ่ายค่าประกันภัย
เบี้ยแบบที่ 1 กับ แบบที่ 2 สามารถมีพอร์ตกองทุนรวมที่แตกต่างกันได้ โดยพอร์ตของเบี้ยแบบที่ 1 มักเน้นความเสี่ยงต่ำ ในขณะที่พอร์ตของเบี้ยแบบที่ 2 ความเสี่ยงของพอร์ตจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่จะเริ่มใช้งาน (เช่น 10 ปีขึ้นไป สามารถเลือกพอร์ตความเสี่ยงปานกลางถึงสูงขึ้นไปได้)
จะสามารถเปรียบเทียบประกันชีวิตชั่วระยะเวลาของ BLA ได้ดังบทความต่อไปนี้
ควรเลือกประกันชีวิตแบบใด : ชั่วระยะเวลา VS ตลอดชีพ VS ลงทุนเอง

คำตอบของคำถามนี้จะสามารถแตกต่างกันไปตามสถานการณ์และความต้องการของแต่ละบุคคลดังต่อไปนี้
1. แบบลงทุนเอง เพื่อรับภาระไว้เองทั้งหมด

แบบนี้จะเน้นลงทุนเองอย่างสม่ำเสมอ โดยหากตลาดขาขึ้นก็อาจใช้เวลาไม่กี่ปี ที่เงินลงทุนจะเติบโตได้เท่ากับภาระที่ต้องการจัดการ และอาจใช้เงินลงทุนเพียง 10%-75% ของภาระเท่านั้น
แต่หากตลาดเป็นขาลง หรือ มีความผันผวนสูง หรือ ลงทุนผิดพลาด ก็มีโอกาสที่เงินจะไม่ได้เติบโตตามเวลาที่คาดไว้ และ หากเกิดเหตุร้ายขึ้นก่อน ก็จะอันตรายต่อคนข้างหลังอย่างมากได้
ข้อดี
- เป็นการเก็บออมลงทุนเอง ไม่ได้เฉลี่ยความเสี่ยงกับผู้ใด ดังนั้นสามารถลงมือทำได้ทันที ไม่ต้องมีการพิจารณาเรื่องสุขภาพ หรือ ประวัติการรักษาโรคเรื้อรังใด ๆ ที่มีอยู่
- ไม่มีการบังคับให้ต้องออมเท่ากันทุกปี ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้
ข้อจำกัด
- ต้องมีวินัยสูง เพื่อบังคับให้ตนเองลงทุนอย่างต่อเนื่องให้สำเร็จได้ตามเป้าหมาย
- ต้องห้ามเสียชีวิตในระหว่างทยอยลงทุนให้เงินเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
- ต้องห้ามใจตนเองหรือลูกหลานไม่ให้ใช้เงิน ก่อนเงินเติบโตได้ตามเป้าหมาย
- เงินลงทุนที่ได้ตามเป้าหมาย เมื่อจากไปเงินจะเข้าสู่กองมรดก ซึ่งอาจต้องรอกว่า 6 เดือน กว่าที่คนข้างหลังจะนำเงินออกมาใช้ได้ถูกต้องตามกฏหมาย
- เงินที่ได้ตามเป้าหมาย ถือเป็นมรดกที่หากทายาทจะรับมรดกนี้ก็จะต้องรับหนี้ไปด้วย ดังนั้นเจ้าหนี้จะมีสิทธิในมรดกนี้ก่อนทายาทเสมอ
- หากเงินตามเป้าหมายเกิน 100 ล้านบาท ส่วนที่เกินจะเสียภาษีมรดก 10% หากผู้รับมรดกตามพินัยกรรมไม่ใช่บุพการี หรือ ทายาทโดยตรง (หากเป็นบุพการีหรือทายาทโดยตรงเสียภาษี 5% และหากเป็นคู่สมรสจะไม่เสียภาษี)
เหมาะกับ
- ผู้ที่ต้องการ ใช้เงินตนเอง 100% ในการรับความเสี่ยงด้านชีวิต
- ผู้ที่ยังไม่พร้อมทำความเข้าใจเครื่องมือทุนแรงแบบประกันชีวิต และ ชอบการลงทุนที่มีความซับซ้อนและความเสี่ยงสูงกว่า
- ผู้ที่มีเกณฑ์สุขภาพ อายุ หรือ อาชีพ ที่ไม่สามารถทำประกันชีวิตได้
- ผู้ที่มีวินัยในการลงทุนและห้ามใจไม่ให้ใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ได้
- ผู้ที่คนข้างหลังมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เดือน ระหว่างที่ดำเนินเรื่องทางศาล เพื่อนำเงินลงทุนนี้ออกมาจากกองมรดก
- ผู้ที่ไม่มีเจ้าหนี้ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าหนี้จะเอาเงินสดจากทายาทไปทั้งหมด และเหลือแต่มรดกที่สภาพคล่องน้อยกว่าอย่างบ้านและที่ดินไว้ให้
- ผู้ที่มีมรดกมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาท หรือ ผู้ที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านแต่ยินดีเสียภาษีมรดกเอง 100% (มรดกอยู่ในรูปแบบ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น หุ้นกู้ หน่วยลงทุน ตราสารหนี้ เงินฝาก เงินสด ยานพาหนะ)
2. แบบชั่วระยะเวลาคุ้มครองก่อนเกษียณ + ทยอยลงทุนเพื่อรับความเสี่ยงเองหลังเกษียณ
แบบนี้จะเป็นการแก้ไขปัญหาของข้อ 1 กรณีที่หากโชคร้ายต้องจากไปก่อนที่เงินลงทุนจะได้เติบโตถึงตามเป้าหมายที่ต้องการ
ซึ่งวิธีนี้จะกันเงินลงทุนบางส่วนมาทำประกันชีวิตชั่วระยะเวลา ตามจำนวนปีที่คาดว่าเงินจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย (หากต้องการความยืดหยุ่นของระยะเวลามักจะใช้ ประกันชีวิตควบการลงทุน แทนประกันชั่วระยะเวลาแบบกำหนดจำนวนปีที่แน่นอน)
ประกันชีวิตชั่วระยะเวลาเน้นคุ้มครองถึงอายุ 60 ปี ชายอายุ 30

โดยวิธีนี้จะเลือกให้ทุนประกันชีวิตสูงเท่ากับภาระที่มี โดยใช้เบี้ยประกันชีวิตให้น้อยที่สุด ดังกราฟด้านบนของชายอายุ 30 ที่เบี้ยสะสมจนถึงอายุ 60 ปี ประมาณ 2.5 แสนบาท แลกกับทุนประกันชีวิต 15 ล้านบาททุกปี เป็นระยะเวลานาน 30 ปี

และในระยะเวลา 30 ปีที่ประกันชีวิตคุ้มครองอยู่นี้ ก็จะทยอยลงทุนเอง เพื่อให้เงินได้เติบโตเท่ากับภาระหลังเกษียณ + เงินเฟ้อ (หรือ อาจ + เบี้ยประกันที่จ่ายไปร่วมด้วย) ได้
ข้อดี
- ปลอดภัยระหว่างรอให้เงินลงทุนได้เติบโต เครื่องมือประกันชีวิตชั่วระยะเวลาจะรับความเสี่ยงด้านชีวิตไว้ให้
- ใช้เบี้ยประกันชีวิตที่น้อยมากเมื่อเทียบกับทุนประกันชีวิตที่ได้ โดยเฉพาะในช่วงอายุก่อน 60 ปี
- เงินที่ต้องใช้ในการลงทุนเองลดลงมาก เพราะตั้งเป้าหมายที่ภาระหลังเกษียณเท่านั้น ไม่ต้องรวมภาระก่อนเกษียณแบบวิธีที่ 1
ข้อจำกัด
- ต้องอยู่ในเกณฑ์รับทำประกันชีวิตชั่วระยะเวลา ทั้งสุขภาพ อายุ อาชีพ และมีแหล่งที่มาของรายได้ชัดเจน
- อาจต้องเลือกประกันชีวิตชั่วระยะเวลาแบบที่สามารถยืดหยุ่นจำนวนปีที่คุ้มครองได้ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่เงินลงทุนใช้เวลามากกว่าที่คาดการณ์ในการเติบโตได้ตามเป้าหมาย
- ต้องห้ามใจตนเองหรือลูกหลานไม่ให้ขอใช้เงินที่กำลังลงทุนให้เติบโตอยู่นี้ หรือ อาจลงทุนในกองทุน RMF เพื่อใช้เรื่องภาษีในเพิ่มวินัย
- เงินลงทุนที่ได้ตามเป้าหมายเมื่อจากไปจะเข้าสู่กองมรดก ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือน กว่าที่คนข้างหลังจะนำเงินออกมาได้ถูกต้องตามกฏหมาย
- เงินลงทุนที่ได้ตามเป้าหมายถือเป็นมรดกที่หากทายาทรับมรดกจะต้องรับหนี้ไปด้วย ดังนั้นเจ้าหนี้จะมีสิทธิในมรดกนี้ก่อนทายาทเสมอ
- หากเงินลงทุนตามเป้าหมายมีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท ส่วนที่เกินจะเสียภาษีมรดก 10% หากผู้รับมรดกตามพินัยกรรมไม่ใช่บุพการี หรือ ทายาทโดยตรง (หาดเป็นบุพการีหรือทายาทโดยตรงเสียภาษี 5% และหากเป็นคู่สมรสจะไม่เสียภาษี)
เหมาะกับ
- ผู้ที่มีกำลังเงินยังไม่มาก หรือ ไม่ต้องการใช้เงินลงทุนของตนเอง 100% ในการรับความเสี่ยงด้านชีวิต
- ผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวในการลงทุนเพื่อเป็นมรดกโดยไม่นำออกมาใช้ก่อน ให้เงินได้เติบโตทันตามระยะเวลาที่ประกันชั่วเวลายังคงให้ความคุ้มครอง
- ผู้ที่หลังเกษียณ มีผู้รับมรดกที่มีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เดือน ก่อนที่จะนำเงินมรดกออกมาใช้ได้จากกองมรดก
- ผู้ที่หลังเกษียณ ไม่มีเจ้าหนี้
- ผู้ที่หลังเกษียณ มีมรดกไม่เกิน 100 ล้านบาท หรือ หากเกิน 100 ล้านแต่ยินดีจ่ายภาษีมรดกเอง 100% (มรดกอยู่ในรูปแบบ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น หุ้นกู้ หน่วยลงทุน ตราสารหนี้ เงินฝาก เงินสด ยานพาหนะ)
3. แบบชั่วระยะเวลาคุ้มครองก่อนเกษียณ + ทยอยลงทุนในประกันควบการลงทุนเพื่อหลังเกษียณส่งต่อให้คนข้างหลังโดยตรงได้
ด้วยข้อจำกัดของวิธีที่ 2 ที่จะเยกเลิกประกันชีวิตในตอนเกษียณ และใช้เงินที่ทยอยลงทุนมาคุ้มครองหลังเกษียณเอง
จึงทำให้วิธีที่ 2 จะมีปัญหาเรื่องการส่งต่อเงินไปยังคนข้างหลังโดยตรง และ ทำให้เกิดวิธีที่ 3 นี้ขึ้นมา ที่จะอาศัยเบี้ยประกันเพิ่มพิเศษของประกันชีวิตควบการลงทุน ในการทยอยลงทุนในกรมธรรม์งแทนการลงทุนข้างนอกกรมธรรม์

ทำให้เมื่อถึงช่วงเกษียณจะไม่ยกเลิกกรมธรรม์แบบวิธีที่ 2 แต่ยังคงให้ประกันชีวิตคุ้มครองต่อไป แต่ปรับลดทุนประกันชีวิตและเบี้ยประกันปกติลงเป็นขั้นต่ำที่สุด (เช่น ทุนประกันชีวิต 60,000 บ. ดังรูปด้านล่าง)
ประกันชีวิตชั่วระยะเวลาเน้นคุ้มครองถึงอายุ 60 ปี โดยหลังจากนั้นจะปรับเป็นทุนประกันชีวิตขั้นต่ำที่สุด ของชายอายุ 31

จากรูปจะเห็นได้ว่า หลังอายุ 60 ปี จะไม่ได้ชำระเบี้ยใด ๆ อีก แต่ด้วยทุนประกันชีวิตที่ 60,000 บ. จึงทำให้เงินในพอร์ตการลงทุนของเบี้ยปกติจะยังเหลือพอจ่ายค่าประกันภัยไปเรื่อย ๆ ไม่ให้กรมธรรม์ปิดตัวลงได้จนถึงอายุ 87 ปี
โดยในระหว่างนี้ตั้งแต่อายุ 61-87 ปี หากเสียชีวิต เงินในพอร์ตการลงทุนของเบี้ยเพิ่มพิเศษที่ได้ทยอยลงทุนมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ก่อนเกษียณเพื่อไว้รับความเสี่ยงเอง จะถูกส่งต่อให้คนข้างหลังโดยตรง (รวมทุนประกันชีวิตขั้นต่ำ 60,000 บ.) ผ่านกลไกของกรมธรรม์ประกันชีวิต
อย่างไรก็ตามปัญหาจะเกิดภายหลังอายุ 87 ปี ที่ค่าประกันภัยจะเริ่มมาหักจากพอร์ตการลงทุนของเบี้ยเพิ่มพิเศษแทนเบี้ยปกติที่ไม่เหลือมูลค่าในพอร์ตแล้ว ซึ่งค่าประกันภัยจะค่อนข้างสูงมากดังตารางด้านล่าง และอาจทำให้เงินที่จะส่งต่อให้คนข้างหลังน้อยลงกว่าที่ควรได้
ค่าประกันภัย ผู้ชาย ตอนสูงอายุ ทุนประกันชีวิต 60,000 บ.

จากตารางจะเห็นได้ว่าการจ่ายค่าประกันภัยของทุนประกันชีวิต 60,000 บ. ต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยพอร์ตการลงทุนของเบี้ยเพิ่มพิเศษ จะสามารถใช้เงินได้สูงถึง 300,000 บ. ได้ หากอายุยืนถึงอายุครบ 99 ปี
ซึ่งถ้าหากมูลค่าพอร์ตเบี้ยเพิ่มพิเศษนี้ ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 5 ล้านบาท เงินจำนวน 3 แสนนี้ ก็จะถือว่าค่อนข้างมาก และลดการเติบโตของพอร์ตเบี้ยเพิ่มพิเศษได้พอสมควร โดยเฉพาะหากมีการปรับให้พอร์ตเป็นความเสี่ยงต่ำที่มีความผันผวนน้อย เพื่อให้มั่นใจว่าสภาพตลาดการลงทุนจะไม่กระทบเงินที่จะส่งต่อให้คนข้างหลังมากนัก
ข้อดี
- แก้ไขปัญหาไม่สามารถส่งต่อให้คนข้างหลังโดยตรงในตอนเกษียณของวิธีที่ 2 ได้ โดยใช้กลไกของประกันชีวิตควบการลงทุนแทน
- กองทุนรวมบางกองทุนค่าธรรมเนียมของกองทุน หากซื้อในประกันชีวิตควบการลงทุนจะ "น้อยกว่า" กองทุนรวมที่ซื้อข้างนอกกรมธรรม์
- ตอนก่อนเกษียณพอร์ตเบี้ยเพิ่มพิเศษสามารถเน้นความเสี่ยงสูง เพื่อโอกาสในการเติบโตของเงินที่มากขึ้น ได้เหมือนกับการลงทุนนอกกรมธรรม์ โดยมีพอร์ตเบี้ยปกติที่เป็นความเสี่ยงต่ำคอยดูแลค่าประกันภัยให้อยู่แล้ว
ข้อจำกัด
- เงินที่ลงทุนในประกันชีวิตควบการลงทุน จะไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้
- ค่าการประกันภัยตอนสูงอายุค่อนข้างสูง และเบียดบังเงินที่ส่งต่อให้คนข้างหลังได้
- ควรทำตั้งแต่อายุไม่มาก เพื่อมีเวลาให้พอร์ตเบี้ยเพิ่มพิเศษได้เติบโต และสามารถนำมาจ่ายค่าประกันภัยของทุนประกันชีวิตขั้นต่ำ สำหรับให้กรมธรรม์ไม่ปิดตัว
- ไม่การันตีเงินที่จะส่งให้คนข้างหลังขึ้นอยู่กับสภาพตลาดการลงทุนในตอนนั้น
เหมาะกับ
- ผู้ที่ชอบวิธีที่ 2 และต้องการกลไกการส่งต่อให้คนข้างหลังของประกันชีวิต
4. แบบชั่วระยะเวลาคุ้มครองก่อนเกษียณ + ทยอยลงทุนเองแล้วนำมาทำ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพตอนเกษียณ (หากสุขภาพยังแข็งแรงทำประกันชีวิตได้)
แบบนี้จะนำข้อดีของการลงทุนเองในวิธีที่ 2-3 มาทำประกันชีวิตตลอดชีพแบบมรดกทุนสูงในตอนเกษยีณ เพื่อสามารถลดจำนวนเงินที่ต้องกันไว้สำหรับส่งต่อให้คนข้างหลังได้เกือบครึ่งหนึ่งของวิธีที่ 2-3 รวมถึงมีความแน่นอนไม่ต้องลุ้นกับสภาพตลาดการลงทุนแบบวิธีที่ 3

จากรูปด้านบนจะเห็นได้ว่า จากที่ตั้งเป้าหมายให้เงินลงทุนเติบโตเป็นเงินจำนวน 5 ล้านบาท จะสามารถลดลงเหลือเพียงประมาณ 30%-60% โดยใช้ประกันชีวิตลอดชีพแบบมรดก ( % ขึ้นอยู่กับอายุ ยิ่งเริ่มทำประกันตอนอายุน้อยกว่าเบี้ยประกันยิ่งลดลง)
ประกันชีวิตตลอดชีพชำระเบี้ย 5 ปี ชายอายุ 60

จากรูปด้านบนจะเห็นได้ว่า ประกันชีวิตตลอดชีพแบบมรดก ชำระเบี้ย 5 ปี ของผู้ชายอายุ 60 ปี หากต้องการทุนประกันชีวิต 15 ล้าน จะใช้เบี้ยประกันทั้งหมดเพียงประมาณเกือบ 10 ล้านบาท
หรือ หากต้องการทุนประกันชีวิต 5 ล้าน เบี้ยทั้งหมดจะประมาณ 3 ล้านกว่า หรือ ลดลงถึงกว่า 38% และในประกันชีวิตยังมีมูลค่าเงินสดที่สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเกินเบี้ยประกัน 3 ล้านกว่าไปตั้งแต่อายุ 72 ปี (หากยกเลิกประกันตอนอายุ 72 ปี จะได้เบี้ยคืนทั้งหมด และได้ความคุ้มครองฟรี 5 ล้านตั้งแต่อายุ 60-71 ปี)
อย่างไรก็ตามวิธีที่ 3 นี้จะต้องมั่นใจว่าตอนอายุ 60 ปี หรือ อายุเกษียณนั้น มีสุขภาพที่แข็งแรงพอที่สามารถทำประกันชีวิตตลอดชีพแบบมรดกนี้ได้ และด้วยความไม่แน่นอนด้านสุขภาพนี้เอง การลงทุนเท่ากับวิธีที่ 2-3 จึงยังเป็นสิ่งจำเป็น โดยหากตอนเกษียณสุขภาพดีทำประกันชีวิตได้ ก็ถือว่าเป็นโบนัสได้เงินประมาณ 38% กลับมาใช้จ่ายอื่น ๆ ช่วงเกษียณได้นั่นเอง
ข้อดี
- ทำให้การลงทุนเองของวิธีที่ 2 มีเป้าหมายที่ลดลงพอสมควร และได้กลไกการส่งต่อมรดกของประกันชีวิตตลอดชีพมาด้วย
- หรือ หากลงทุนเท่ากับวิธีที่ 2 ก็จะมีเงินส่วนเกินมาใช้เป็นบำเหน็จได้ถึงกว่า 30%-70% หากสุขภาพแข็งแรงและสามารถทำประกันชีวิตแบบมรดกตอนอายุเกษียณได้
- มีกลไกของประกันชีวิตสำหรับไว้ดูแลคนข้างหลังโดยตรงในตอนเกษียณ โดยไม่ต้องกังวลถึงความว่าล่าช้าจากการจัดตั้งหแงมรดก
ข้อจำกัด
- ต้องดูแลสุขภาพให้ดี เพื่อตอนที่เกษียณจะแข็งแรงพอที่จะทำประกันชีวิตตลอดชีพแบบมรดกนี้ได้
- ก่อนเกษียณข้อจำกัดจะเหมือนกับวิธีที่ 2 แต่หลังเกษียณหากสามารถใช้ประกันชีวิตดูแลคนข้างหลังแทนการใช้เงินตนเองตรง ๆ ได้ ก็จะแก้ไขข้อจำกัดตอนเกษียณของวิธีที่ 2 ได้ทั้งหมด
เหมาะกับ
- ผู้ที่สามารถดูแลสุขภาพตนเองให้สามารถทำประกันชีวิตตอนเกษียณได้สำเร็จ
- ผู้ที่ไม่ต้องการข้อจำกัดของวิธีที่ 2-3 ในตอนหลังเกษียณ
5. แบบตลอดชีพคุ้มครองทั้งก่อนหลังเกษียณเป็นตัวหลัก + แบบชั่วระยะเวลาคุ้มครองก่อนเกษียณเป็นตัวเสริม
แบบนี้จะเน้นแก้ไขข้อจำกัดของการลงทุนเองตอนก่อนเกษียณของวิธีที่ 2-4 และแก้ไขข้อจำกัดที่ต้องสุขภาพแข็งแรงพอที่จะทำประกันชีวิตได้ในตอนเกษียณของวิธีที่ 4
โดยการทำทั้ง ประกันชีวิตชั่วระยะเวลา และ ประกันชีวิตตลอดชีพ ไปพร้อม ๆ กันตั้งแต่แรก ในตอนที่อายุยังน้อย ที่เบี้ยประกันชีวิตตลอดชีพยังถูกมาก และสุขภาพยังคงแข็งแรง
ประกันชีวิตตลอดชีพชำระเบี้ย 20 ปี ชายอายุ 30

จากรูปจะเห็นได้ว่า ประกันชีวิตตลอดชีพแบบชำระเบี้ย 20 ปีของชายอายุ 30 ปีนั้น มีเบี้ยประกันรวมทั้งหมดประมาณ 5 ล้านกว่า แต่ได้ทุนประกันชีวิตถึง 15 ล้าน หรือ เบี้ยประกันรวมทั้งหมดประมาณเกือบ 2 ล้าน ได้ทุนประกันชีวิตถึง 5 ล้าน
หรือก็คือ ประหยัดเงินตนเองได้ถึงกว่า 60% แบบการันตี ไม่ต้องลุ้นกับการการลงทุนใด ๆ เพิ่มเติมอีกโดยเฉพาะสภาพตลาดการลงทุนในวันที่จะเกษียณ รวมถึงมีมูลค่าเงินสดในสัญญาที่ทยอยเติบโตจนเกินเบี้ยประกันทั้งหมดตั้งแต่อายุ 57 ปีเป็นต้นไปอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าการลงทุนเองอาจใช้เงินน้อยกว่า มีความยืดหยุ่นทั้งจำนวนเงินลงทุนและระยะเวลาลงทุนมากกว่า แต่เพราะความยืดหยุ่นนี้เองที่กลายเป็นข้อจำกัดทางด้านวินัยที่อยู่มาตั้งแต่วิธีที่ 1-4 และ ทำให้วิธีที่ 5 นี้ อาจเป็นทางออกที่น่าสนใจขึ้นมาได้

จากรูปด้านบนจะเห็นได้ว่า มีการ Mapping ภาระก่อนเกษียณกับประกันชีวิตชั่วระยะเวลา และ ภาระทั้งก่อนหลังเกษียณกับประกันชีวิตตลอดชีพ
ซึ่งจะทำให้ภาระก่อนเกษียณที่แต่ก่อนจะมีเพียงประกันชีวิตชั่วระยะเวลาดูแลอย่างเดียว แต่วิธีนี้จะมีประกันชีวิตตลอดชีพมาร่วมดูแลด้วย
และด้วยเป็นประกันทั้งหมดนี้เองวิธีนี้จึงมีความแน่นอนของเงินที่ใช้ กับ ความคุ้มครองที่ได้ อย่างชัดเจน รวมถึงผลประโยชน์จะส่งตรงถึงคนข้างหลังโดยไม่ต้องผ่านกองมรดก เจ้าหนี้ หรือ สรรพากรอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังเกษียณ
ข้อดี
- มีความแน่นอนด้านตัวเลขที่สูง ไม่ต้องกังวลถึงความคลาดเคลื่อนในวันที่เกษียณ ทั้งจำนวนที่ได้ และ สุขภาพในตอนนั้น เหมือนกับในวิธีที่ 1-3
- ด้วยกลไกประกันชีวิต ที่ทำให้การกันเก็บเงินกลายเป็นรายจ่ายประจำที่ต้องชำระทุกปี จึงช่วยให้เป้าหมายด้านการเงินส่วนนี้มีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีที่ 1-3
- ด้วยกลไกของประกันชีวิต จึงทำให้ยากที่จะนำเงินออกมาใช้ผิดวัตถุประสงค์
- ด้วยกลไกของประกันชีวิต ทำให้ทุนประกันชีวิตส่งถึงผู้รับผลประโยชน์โดยตรง ไม่ต้องผ่านผู้จัดการมรดก เจ้าหนี้ และภาษี ทั้งก่อนและหลังเกษียณ
ข้อจำกัด
- มีความยืดหยุ่นน้อยกว่าการลงทุนเองของวิธีที่ 2-3 ในการดูแลภาระหลังเกษียณ
- บังคับชำระเบี้ยเท่ากันทุกปี ตามระยะเวลาของแบบประกัน อาจสร้างความกังวลกว่าว่าบางปีจะขาดสภาพคล่องได้
- ต้องใช้เงินมากกว่าวิธีที่ 2-3 เพื่อแลกกับความแน่นอนทั้งตัวแลขและสุขภาพ
- ต้องมีสุขภาพแข็งแรงอยู่ในเกณฑ์รับทำประกันชีวิต และมีแหล่งที่มาของรายได้ชัดเจนตั้งแต่แรก
- หากต้องการนับเงินในกรมธรรม์ประกันชีวิตออกมาใช้ก่อน จะต้องกู้ยืมออกมาและมีดอกเบี้ยจนกว่าจะนำเงินที่ยืมไปกลับคืนเข้ากรมธรรม์พร้อมดอกเบี้ย เนื่องจากเป็นกลไกปกป้องการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์
เหมาะกับ
- ผู้ที่มีกำลังด้านการเงิน มีความตั้งใจสูง แต่อาจขาดวินัย และต้องการอาศัยกลไกของประกันชีวิตในการบังคับให้เป้าหมายการเงินที่ตั้งไว้ทำได้สำเร็จ
- ต้องการความแม่นยำด้านตัวเลขที่สูงไม่ต้องลุ้นตามสภาพตลาดการลงทุน หรือ แม้แต่ต้องลุ้นกับสุขภาพตนเองในวันที่เกษียณ
- ต้องการลดความขัดแย้ง และความยุ่งยาก ในการแบ่งมรดกส่วนของการลงทุนเองตามวิธีที่ 1-3
- ไม่ต้องการใช้เงินตนเอง 100% สำหรับส่งต่อให้เป็นมรดก
- ไม่ต้องการเสียภาษีมรดกส่วนที่เกิน 100 ล้านบาททั้งหมดเอง แต่ต้องการให้ประกันชีวิตมาช่วยจ่ายภาษีมรดกนี้ด้วย
6. แบบตลอดชีพทั้งก่อนและหลังเกษียณ เนื่องจากภาระหลังเกษียณที่อาจไม่ได้ลดลง
ในวิธีที่ 1-5 นั้น มองว่าภาระก่อนเกษียน จะมากกว่า ภาระหลังเกษียณหลายเท่าเสมอ จึงทำให้การเตรียมเงินสำหรับภาระหลังเกษียณจะใช้เงินน้อยกว่า
อย่างไรก็ตามหากเป็นผู้ที่ทำธุรกิจที่ภาระอาจจะทยอยเพิ่มมากขึ้นตามการเติบโตของกิจการ และ มีโอกาสที่ภาระหลังเกษียณอาจยังเท่ากับหรือมากกว่าภาระก่อนเกษียณได้
หรือ แม้ภาระจะลดลงในตอนสูงอายุแต่ด้วยเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ภาระยังคงอยู่เท่าเดิมหรือไม่ลดลงมากนัก ดังนั้นจึงมีโอกาสที่กราฟภาระจะเป็นดังแบบกราฟด้านล่างนี้ได้

ด้วยเหตุนี้เอง การพิจารณาประกันชีวิตตลอดชีพแบบทุนประกันสูงตั้งแต่ 5 ล้านขึ้นไป ตั้งแต่แรกอาจเป็นทางออกที่น่าสนใจกว่า
ซึ่งแบบประกันลักษณะนี้จะมีเบี้ยรวมทั้งสัญญาที่น้อยมาก โดยจะสูงกว่าเบี้ยรวมทั้งหมดของประกันชีวิตชั่วระยะเวลาไม่มากนัก โดยเฉพาะหากเป็นการชำระเบี้ยแบบ 5 ปี แถมยังมีมูลค่าเงินสดที่เกินเบี้ยประกันทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว ดังกราฟของทั้ง 2 แบบประกันต่อไปนี้
ประกันชีวิตตลอดชีพชำระเบี้ย 5 ปี ชายอายุ 30

ประกันชีวิตชั่วระยะเวลาเน้นคุ้มครองถึงอายุ 60 ปี ชายอายุ 30

จากการเปรียบเทียบนี้เองร่วมกับปัจจัยด้านเงินเฟ้อ จึงทำให้การเลือกประกันตลอดชีพแบบทุนประกันสูงนี้ สามารถเป็นทางออกสำคัญที่จะการันตีความคุ้มครองสูงได้ทันที และได้ตลอดไป ด้วยเบี้ยประกันรวมที่น้อยที่สุดได้
รวมถึงหากตอนเกษียณภาระลดลงจริง ๆ ยังสามารถปรับลดทุนประกันลง และได้มูลค่าเงินสดบางส่วนคืนมาที่มากกว่าเบี้ยที่จ่ายไป ให้สามารถมาใช้ในยามเกษียณได้

ข้อดี
- รองรับสถานการณ์ที่ภาระหลังเกษียณไม่ได้น้อยกว่าภาระก่อนเกษียณ
- เบี้ยประกันตอนอายุน้อยไม่สูงมาก โดยเฉพาะแบบชำระเบี้ย 5 ปี
ข้อจำกัด
- แม้เบี้ยประกันรวมต่อทุนประกันชีวิตที่ได้จะน้อยจนน่าสนใจมาก แต่เนื่องด้วยชำระเบี้ยเพียง 5 ปี เบี้ยต่อปีจึงสูงมาก
- ยังควรต้องลงทุนเองควบคู่ไปด้วย เพื่อให้เงินได้ทำหน้าที่เติบโต และมาช่วยเสริมกับทุนประกันชีวิตนี้ ในกรณีที่ภาระหลังเกษียณมากกว่าก่อนเกษียณ
เหมาะกับ
- เจ้าของกิจการ นักธุรกิจ ที่มีทั้งกำลังเงิน ร่วมกับ ภาระทางกิจการ ที่สามารถมากขึ้นตามการเติบโตของกิจการได้
- ผู้ที่ต้องการตัวเลขความคุ้มครองที่การันตีมีความแน่นอนสูง ไม่ต้องลุ้นจากการลงทุน และ สภาพตลาดการลงทุนใดๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนหรือหลังเกษียณ
บทสรุปการเลือกประกันชีวิต
ถ้าหากต้องการลดหย่อนภาษี ประกันชีวิตตลอดชีพ จะเป็นทางเลือกแรกที่น่าสนใจ โดยเหมาะกับการคุ้มครองภาระส่วนค่าใช้จ่ายการดำรงชีพ NEEDs หรือ ภาระที่ยากจะลดลงได้ตลอดชีวิต แบบการันตีความคุ้มครองทันทีไม่ต้องลุ้นการลงทุนใด ๆ อีก รวมถึงเหมาะกับ ผู้ที่ต้องการเก็บออมเงินสำรองฉุกเฉินไปในตัว แถมมูลค่าเงินสดที่สะสมในกรมธรรม์จะสามารถเกินเบี้ยที่จ่ายไปได้อีกด้วย (เบี้ยไม่จ่ายทิ้ง)

โดยถ้าหากตอนก่อนเกษียณมีภาระอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น และต้องการเพิ่มทุนประกันชีวิตในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ให้มากขึ้น ก็จะยังสามารถ ทำสัญญา ประกันชีวิตแบบชั่วเวลา เพิ่มได้

อย่างไรก็ตาม หากในปัจจุบันมีภาระค่อนข้างมาก แต่สภาพคล่องไม่เอื้ออำนวยให้สามารถทำประกันชีวิตแบบตลอดชีพที่ทุนประกันชีวิตครอบคลุมภาระได้
การพิจารณา ประกันชีวิตชั่วเวลา ก่อน จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อย่างน้อยช่วยทำให้ได้ทุนประกันชีวิตที่สูงในเบี้ยที่น้อยมาก เพื่ออย่างน้อยให้พร้อมที่จะออกไปสู้ลุยทำงานได้โดย มี Peace of Mind ลดความกังวลต่อคนข้างหลังว่า..จะอยู่อย่างไรหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น
และต่อมาหากเริ่มมีสภาพคล่องมากขึ้น หรือเงินที่ลงทุนเติบโตได้ตามเป้าหมาย การค่อยพิจารณาประกันชีวิตตลอดชีพในภายหลังก็ยังสามารถทำได้เช่นกัน (โดยต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเสมอ)

ดังนั้นการเลือกประกันชีวิต จึงจำเป็นต้องพิจารณาทั้ง สภาพคล่อง เบี้ยประกัน อายุ อาชีพ สุขภาพ และความเสี่ยงการลงทุนที่รับได้ในขณะนั้น จึงจะสามารถเลือกแบบที่เหมาะสมที่สุดกับตนเองกับคนข้างหลังได้
การวางแผนเก็บเงินและเกษียณอย่างจริงจัง เริ่มขึ้น เมื่อเข้าใจ..
วิธีใช้ธรรมชาติของเครื่องมือการเงินที่จำเป็นให้เกิดประโยชน์สูงสุด
"ตน (ในปัจจุบัน) จักเป็นที่พึ่งของตน (ในอนาคต)"