ประกันชีวิตที่ไหนดี สำหรับลดหย่อนภาษี 2567

หากดำเนินการ ออมเงิน และ กำหนดหน้าที่ของเงินออม ให้เป็นดังต่อไปนี้ 

  • เงินสำหรับดูแลคนข้างหลังโดยตรงยามจากไป (โดยไม่ผ่านผู้จัดการมรดก ไม่ผ่านเจ้าหนี้ และไม่ผ่านภาษี) 
  • เงินที่คนข้างหลังได้จะต้องมากกว่าเงินออมหลายเท่า โดยเฉพาะตั้งแต่เริ่มออมปีแรก
  • มีกลไกป้องกันการนำเงินออมออกมาใช้ผิดวัตถุประสงค์
  • ต้องการมีเงินออมก้อนสุดท้ายไว้ส่งต่อให้ผู้ที่ดูแลตนเองช่วงสุดท้ายของชีวิต
  • ต้องการออมเงินคงที่เท่ากันทุกปี เสมือนเป็นค่าใช้จ่ายประจำ

จะทำให้เครื่องมือการออมที่เหมาะสมที่สุด คือ..

ประกันชีวิต
เครื่องมือลำดับแรกที่ควรใช้
ลดหย่อนภาษี


เลือกหัวข้อที่สนใจ

ประกันชีวิตกับสิทธิ์ลดหย่อนภาษี

จ่ายเบี้ยประหยัดและคุ้มค่า release your risk

ประกันชีวิตเป็นประกันแบบแรก ที่ควรทำเพื่อใช้ในการลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บ. (ตามสิทธิลดหย่อนส่วนเบี้ยประกันชีวิต) เพื่อให้ ได้ส่วนลดเบี้ยประกันกลับมาในรูปแบบเงินคืนภาษี ตามฐานภาษีตนเอง
ยกตัวอย่างเช่น

ฐานภาษี 30%


ปี 2566 :
จ่ายเบี้ยประกันชีวิตปีแรก 100,000 บ.
(เบี้ยคงที่)


ปี 2567 :
ได้เงินคืนภาษีกลับมาที่ 30,000 บ.
(เพิ่มเงินอีก 70,000 บ. ก็จะได้ เบี้ยปีต่อ ครบที่ 100,000 บ.)


ปี 2568 :
ได้เงินคืนภาษีกลับมาที่ 30,000 บ.
(เพิ่มเงินอีก 70,000 บ. ก็จะได้ เบี้ยปีต่อ ครบที่ 100,000 บ.)


จากฐานภาษี 30% ตารางด้านบนนี้ ทำให้เห็นได้ว่าการลดหย่อนภาษี จะได้ความคุ้มครองของเบี้ยที่ 100,000 บ. โดยใช้เงินจริงที่ 70,000 บ. เท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนลดที่ค่อนข้างมาก แม้จะใช้ได้เฉพาะกับเบี้ยประกันชีวิต 100,000 บ. แรกก็ตาม

โดยประกันชีวิตมีด้วยกันหลายแบบ ทั้งแบบที่เน้นคุ้มครองตลอดชีวิต และแบบที่เน้นคุ้มครองจำกัดเวลาตามจำนวนปีที่เลือก จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนเลือกใช้ตามที่เหมาะสมกับอายุ และ ภาระที่มี

อย่างไรก็ตามสิทธิลดหย่อนภาษีจะไม่ช่วยให้เห็นความสำคัญของประกันชีวิตแบบต่าง ๆ ขึ้นมาได้ โดยผู้ที่จะเห็นความสำคัญส่วนนี้ได้ จะมีเฉพาะผู้ที่เริ่มทำบัญชีงบรายรับรายจ่ายส่วนบุคคลหรือส่วนครอบครัวล่วงหน้าแล้วเท่านั้น

(โดยผู้ที่ไม่ได้ทำบัญชีจะค่อนข้างยากอย่าวมากที่จะเห็นภาระที่แฝงไว้ในครอบครัว ซึ่งสามารถนำเงินผู้อื่นมาช่วยป้องกันไม่ให้ภาระนี้ตกไปถึงครอบครัวแบบ 100% ได้)

ซึ่งการทำบัญชีจะทำให้ ทราบถึงสถานะการเงินและวินัยการเงินส่วนบุคคลหรือครอบครัวแล้ว การตัดสินใจเลือกแบบประกันชีวิตที่เหมาะสมจึงจะเริ่มเกิดขึ้นตามมา 

โดยจะสามารถแบ่งรูปแบบของประกันชีวิตออกเป็นดังต่อไปนี้

ประกันชีวิตตลอดชีพ
 หรือ ประกันมรดก

โดยปกติประกันจะแบ่งออกเป็น สัญญาหลัก (เบี้ยคงที่ - ทำหน้าที่กำหนดอายุของกรมธรรม์) และ สัญญาเพิ่มเติม (เบี้ยปรับเพิ่มตามอายุ - จะต้องแนบกับสัญญาหลัก ทำหน้าที่คุ้มครองปีต่อปี โดยต่ออายุได้นานตามข้อกำหนดของสัญญาเพิ่มเติมแต่ต้องไม่เกินอายุของสัญญาหลัก)

ดังนั้นเพื่อให้กรมธรรม์สามารถรองรับการต่ออายุของสัญญาเพิ่มเติมได้นานที่สุด สัญญาหลักจึงมักอยู่ในรูปแบบของ ประกันชีวิตตลอดชีพ

ที่อายุสัญญาคุ้มครองได้ถึงอายุ 85 ปี 90 ปี 95 ปี หรือ 99 ปี อย่างแน่นอน (ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันนั้น ๆ ว่ามีสัญญาเพิ่มเติมที่ต้องการต่ออายุได้นานถึงอายุเท่าใด)

เช่น บางบริษัทที่สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพต่ออายุได้นานถึงอายุ 99 ปี ก็มักจะต้องมีประกันชีวิตแบบตลอดชีพที่คุ้มครองได้นานถึงอายุ 99 ปี เป็นต้น

ทั้งนี้ควรเลือกระยะเวลาคุ้มครองสั้นถึงอายุ 85 ปี หรือแบบยาวถึงอายุ 99 ปี แบบใดดีกว่ากัน จะขึ้นอยู่กับว่าวัตถุประสงค์ของเงินออมคือ ต้องการส่งต่อให้ลูกตอนจากจากไปเพียงใด หากยิ่งต้องการส่งให้ลูกหรือคนข้างหลังจริง ๆ การเลือกแบบยาวจะสามารถปกป้องเงินจากการใช้จ่ายของตัวเราเองได้นานกว่านั่นเอง

เช่น บางบริษัทที่สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพต่ออายุได้นานถึงอายุ 99 ปี ก็มักจะต้องมีประกันชีวิตแบบตลอดชีพที่คุ้มครองได้นานถึงอายุ 99 ปี เป็นต้น

สัญญาหลัก สัญญาเพิ่มเติม release your risk

คุณสมบัติของผู้ที่ทำประกันชีวิตตลอดชีพจะมีดังต่อไปนี้

เครื่องหมายถูก release your risk

ต้องการทุนชีวิตคงที่ตลอดชีพ ได้ทุนชีวิตสูงกว่าเงินออมทันที

เครื่องหมายถูก release your risk

ต้องการให้มีเงินออมอยู่ในกรมธรรม์สำหรับยามฉุกเฉิน โดยเมื่อถึงจุดหนึ่งเงินออมในกรมธรรม์จะเติบโตจนมากกว่าเบี้ยที่จ่ายไป

เครื่องหมายถูก release your risk

ต้องการรับประกันว่า จะมีมรดกส่งต่อ ให้ลูกหลาน โดยไม่ต้องผ่านกองมรดก ภาษี และเจ้าหนี้

เครื่องหมายถูก release your risk

ต้องการให้ลูกหลานมีความคุ้มครองตลอดชีพด้วยเบี้ยที่ประหยัดที่สุด

เครื่องหมายถูก release your risk

ต้องการทำสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพหรือโรคร้ายแรงที่คุ้มครองตลอดชีวิต

เครื่องหมายถูก release your risk

ต้องการมีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในอนาคต (สามารถกู้เงินออมจากในกรมธรรม์ได้ยามฉุกเฉิน) และ เมื่อจากไปไม่ต้องใช้หนี้ โดยหักจากมรดกที่ส่งต่ออันโนมัติ

เครื่องหมายถูก release your risk

ต้องการส่วนลดหย่อนภาษีส่วนค่าเบี้ยประกัน เพื่อใช้เงินคืนที่ได้นำมาเป็นส่วนลดเบี้ยประกันในปีถัดไป

คุณสมบัติการทำประกันชีวิต 2 release your risl

เบื้องต้นจะสามารถแบ่งประกันชีวิตตลอดชีพ
ออกเป็น 5 แบบดังต่อไปนี้

แบบตลอดชีพ

เป็นแบบดั่งเดิม (ยอดนิยม) เน้นทั้งความคุ้มครองชีวิตและการออมเงินไปในตัว ความคุ้มครองมักจะอยู่ในหลักสิบเท่าของเบี้ยที่จ่ายต่อปี

และเมื่อเวลาผ่านไป 20+ ปีขึ้นไป มูลค่าเวนคืนมักจะเกินเบี้ยที่จ่ายไป (ขึ้นอยู่กับแบบประกันนั้น ๆ โดยมูลค่าเวนคืนยิ่งเกินเบี้ยเร็วเท่าใด ดอกเบี้ยการกู้มูลค่าเวนออกมาใช้จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย)

ซึ่งประกันแบบตลอดชีพนี้สามารถใช้เป็นเงินสำรองฉุกเฉินหรือเงินบำเหน็จโดยการ กู้มูลค่าเวนคืน ออกมาได้โดยเฉพาะตอนที่ชำระเบี้ยครบหมดเรียบร้อย

และโดยหาก จากไป จะได้ทุนชีวิต ลบด้วย เงินที่กู้ออกไป (รวมดอกเบี้ย) ซึ่งยังเป็นเงินก้อนที่ใหญ่กว่าเบี้ยที่จ่ายไป

จึงทำให้..ประกันแบบตลอดชีพนี้

เครื่องหมายถูก release your risk

ได้ความคุ้มครอง ตลอดชีวิต 

เครื่องหมายถูก release your risk

ได้มูลค่าในกรมธรรม์ ที่สามารถกู้ยืมยามฉุกเฉินได้

เครื่องหมายถูก release your risk

ได้เงินมรดก ด้วยเงินออมที่น้อยกว่า

จุดเด่นประกันแบบตลอดชีพ 2 release your risk

โดยประกันของ BLA ที่เป็นตัวอย่างจะมี

ที่ให้ความคุ้มครองต่อเบี้ยที่น่าสนใจที่สุดตัวหนึ่งในตลาดปัจจุบัน

และ

ให้ความคุ้มครองในทุนชีวิตระดับ 5,000,000 บ. ขึ้นไป ที่มีเบี้ยน่าสนใจมากที่สุดในตลาดปัจจุบัน

*แบบตลอดชีพไม่แนะนำให้ใช้ Unit-Linked รวมถึง ไม่แนะนำให้ทำ Unit-Linked เพื่อจะได้ทำประกันสุขภาพเบี้ยคงที่ UDR เนื่องจากไม่การันตีความคุ้มครองตลอดชีพ และในแง่ผลตอบแทนการลงทุน การลงทุนภายนอกหรือกองลดหย่อนภาษี RMF/SSF จะอิสระและได้เงินคืนภาษีมากกว่า Unit Linked (เบี้ยส่วนที่นำไปลงทุนของ Unit Linked จะยังใช้ลดหย่อนภาษีไม่ได้)

แบบตลอดชีพมีเงินปันผล/เงินคืน

เป็นแบบประกันที่เน้นทั้งคุ้มครองชีวิต เก็บเงิน และ ลงทุนความเสี่ยงต่ำ ไปในตัว

ความคุ้มครองต่อเบี้ยที่จ่ายไปมักจะลดลงจากแบบตลอดชีพปกติ เนื่องจากต้องในเบี้ยที่จ่ายไปจะต้องมีการแบ่งส่วนหนึ่งไปลงทุนเพิ่ม เพื่อให้ได้เงินปันผล (ไม่การันตี) หรือ เงินคืน (การันตี) กลับมาในทุกปี หรือตามที่กำหนด

มองว่าแทนที่จะต้องกู้กรมธรรม์ออกมาและเสียดอกเบี้ย สู้ยอมจ่ายเบี้ยสูงขึ้นแล้วออม เงินปันผล/เงินคืน ที่ได้มา มาใช้เป็นแหล่งเงินฉุกเฉินแทนโดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้

คุณสมบัติการทำประกันชีวิต release your risl

โดยประกันของ BLA ที่เป็นตัวอย่างจะมี

และ

แฮปปี้โฮลไลฟ์ หากจากไปด้วยอุบัติเหตุจะได้รับเงิน 2 เท่าของทุนชีวิตปกติ

*แบบตลอดชีพปันผล มีจุดเด่นที่ดอกเบี้ยกู้ยืมกรมธรรม์จะต่ำกว่าตลอดชีพแบบปกติแม้เบี้ยจะสูงกว่า แต่ถ้าหากรวมเงินปันผลที่อาจได้ตลอดสัญญา มาหักกับเบี้ยที่สูงกว่า จะทำให้เบี้ยรวมตลอดชีพปันผลน้อยกว่าเบี้ยรวมของตลอดชีพปกติได้ อย่างไรก็ตามตลอดชีพปกติจะได้เบี้ยรวมน้อยกว่าตั้งแต่ 5-20 ปีแรกในทันที ไม่ต้องรอปันผลจนถึงอายุ 99 ปี จึงทำให้ตลอดชีพปกติยังน่าสนใจกว่า

จะสามารถเปรียบเทียบประกันของ BLA ที่เป็นตัวอย่างได้ดังนี้

แบบตลอดชีพควบโรคร้าย

เป็นแบบประกันที่เน้นทั้งคุ้มครองชีวิต เก็บเงิน และคุ้มครองโรคร้าย ไปในตัว

ทุนความคุ้มครองต่อเบี้ยที่จ่ายไปมักจะลดลงพอสมควรเมื่อเทียบกับแบบตลอดชีพปกติ เนื่องจากต้องแบ่งเบี้ยมาจ่ายความคุ้มครองส่วนโรคร้ายเพิ่มจากส่วนชีวิตด้วย ทำให้ระยะเวลาที่มูลค่าในกรมธรรม์จะเติบโตมากกว่าเบี้ยรวมที่จ่ายไป จะช้ากว่าแบบตลอดชีพปกติพอสมควร

และเป็นแบบประกันที่ไม่ควรทำหลังอายุ 45-47 ปี เนื่องจากเบี้ยรวมที่จ่ายไปจะมากกว่าทุนประกันที่ได้ ทำให้เหมือนเป็นการทยอยเก็บเงินเพื่อรับความเสี่ยงเองทั้งหมด เพียงแต่ในช่วงเวลาที่ทยอยเก็บเงินจะได้ความคุ้มครองก่อนเท่านั้น

ดังนั้นก่อนเลือกแบบประกันลักษณะนี้ ควรเปรียบเทียบระหว่าง ประกันชีวิตตลอดชีพควบโรคร้ายแรง กับ ประกันชีวิตตลอดชีพ + ประกันโรคร้ายเบี้ยคงที่  ดูก่อน

ด้วยเหตุที่..หากเพิ่มเงินอีกเล็กน้อย การได้ทั้งทุนชีวิตและทุนโรคร้ายแยกจากกัน จะดูน่าสนใจกว่าได้ทุนเดียวที่ควบทั้งชีวิตและโรคร้าย

เพราะการแยกกันจะทำให้หากเจอโรคร้ายจะได้รับเงินก้อนเท่ากับทุนโรคร้าย และต่อมาหากเสียชีวิตจะได้เงินก้อนเท่าทุนชีวิตเพื่อดูแลค่าใช้จ่ายที่ทิ้งไว้ได้ด้วย รวม 2 เหตุการณ์

จะไม่ได้ "จ่ายจบ" เพียงเหตุการณ์เดียวเหมือนกับประกันชีวิตตลอดชีพควบโรคร้ายแรง

เหตุการณ์ Critical Illness release your risk

*ในแง่มุมของเครื่องมือการออม การมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพียง 1 หน้าที่ต่อเงินออม 1 ก้อน จะให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า 2-3 หน้าที่ขึ้นไปต่อเงินออม 1 ก้อน เนื่องจากโดยส่วนใหญ่แล้วการเพิ่มหลายหน้าที่ให้เครื่องมือการออม บริษัทมักทำเพื่อหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบกับคู่แข่งตรง ๆ และ เพื่อประโยชน์ทางการตลาด มากกว่าประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้งานเครื่องมือ

แบบตลอดชีพในรูปแบบประกันบำนาญ

เป็นแบบประกันที่มักเน้นเก็บเงินเป็นหลัก ความคุ้มครองชีวิตต่อเบี้ยที่จ่ายจะน้อยมากๆ

ประกันแบบนี้เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการมีมรดก (หรืออาจไม่มีทายาทสืบสกุล) แต่ต้องการมีบำนาญ และมีอายุกรมธรรม์ระยะยาวให้กับสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ

บางรูปแบบประกันบำนาญ อาจมีการควบทั้งมีเงินคืนให้ก่อนอายุรับบำนาญ และมีความคุ้มครองชีวิตตลอดชีพให้ด้วย

แต่จำเป็นต้องพิจารณาดูอีกที เช่นกันว่า แทนที่จะควบรวมแบบ แต่แยกออกมาเป็นสัญญาที่ทำตามหน้าที่ของตนเองหนึ่งหน้าที่ จะดีกว่าหรือไม่

4. เหตุการณ์ Retirement release your risk

แบบตลอดชีพในรูปประกันควบการลงทุน
(แบบจ่ายเบี้ยครั้งเดียว)

เป็นแบบประกันที่เน้นลงทุนเป็นหลัก ความคุ้มครองเพียง 110% ของเบี้ยที่จ่ายครั้งเดียว โดยส่วนใหญ่จะทำตอนอายุ 61 ปีขึ้นไป  

เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถทำประกันบำนาญได้แล้ว แต่ต้องการเปลี่ยนเงินก้อนที่มีอยู่ ให้กลายเป็นกองทุนรวมในกรมธรรม์ประกันชีวิต ที่สามารถกำหนดให้ขายกองทุนรวมออกมาเป็นเงินบำนาญให้ใช้ทุกปีหรือทุกเดือนได้โดยอัตโนมัติ (เพื่อป้องกันการถูกมิจฉาชีพหลอกเอาเงินก้อนใหญ่)

และในระหว่างรับเงินบำนาญ ก็จะมีความคุ้มครองชีวิตให้เลือก 2 แบบ ขึ้นอยู่กับว่าในตอนที่เสียชีวิต แบบใดจะมากกว่ากัน ก็จะได้แบบนั้น

  1. ได้ทุนชีวิต 110% ของเบี้ยที่จ่ายครั้งเดียว - เงินบำนาญที่ได้รับไปแล้วทั้งหมด
  2. ได้มูลค่าหน่วยลงทุนในกรมธรรม์ + เงินอีก 10% ของเบี้ยที่จ่ายครั้งเดียว

โดยทุนชีวิตที่ได้นี้ จุดประสงค์เพียงเพื่อไว้ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายหลังการจากไปเป็นหลัก (ควรเลือกกองทุนรวมความเสี่ยงต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับผลกระทบจากตลาดขาลง)

ตัวอย่างเช่น 

  • เบี้ยครั้งเดียว 10,000,000 บ. จะได้ความคุ้มครองชีวิตอยู่ที่ 11,000,000 บ. โดยทำเรื่องให้ขายกองทุนรวมออกมาเป็นบำนาญอัตโนมัติปีละ 100,000 บ. ผ่านไป 5 ปีเสียชีวิต
  • กรณีตลาดเป็นขาลง
    • มูลค่าในกองทุนเหลือเพียง 9,000,000 บ. เนื่องจากตลาดเป็นขาลง เงินจึงเหลือน้อยกว่า 9,500,000 บ. (จ่ายบำนาญไปแล้ว 500,000 บ.)
    • ผู้รับผลโยชน์จะได้รับเงินแบบที่ 1 คือ 11,000,000 - 500,000  = 10,500,000 บ. (จากเบี้ยที่จ่าย 10 ล้านบาท)
  • กรณีตลาดเป็นขาขึ้น
    • มูลค่าในกองทุนเหลือ 10,000,000 บ. เนื่องจากตลาดเป็นขาขึ้น เงินจึงเหลือมากกว่า 9,500,000 บ. (แม้จ่ายบำนาญไปแล้ว 500,000 บ.)
    • ผู้รับผลโยชน์จะได้รับเงินแบบที่ 2 คือ 10,000,000 + 100,000  = 11,000,000 บ. (จากเบี้ยที่จ่าย 10 ล้านบาท)

นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการบำนาญ แต่เพียงต้องการย้ายเงินจากกองทุนรวมภายนอก ให้มาอยู่กับกองทุนรวมในประกันชีวิตแทน เพื่อที่หากจากไป.. เงินกองทุนรวมในประกันชีวิตจะส่งตรงถึงผู้รับผลประโยชน์โดยตรง เพื่อลดความยุ่งยากของขั้นตอนการจัดตั้งผู้จัดการมรดก และเงินมรดกสามารถทยอยเติบโตเองได้

อย่างไรก็ตาม ควรเปรียบเทียบกับประกันบำนาญให้เรียบร้อยก่อนตัดสินใจซื้อประกันชีวิตแบบนี้ เนื่องจากประกันบำนาญได้ทั้งสิทธิลดหย่อนภาษี (ประกันควบการลงทุนจะไม่สามารถลดหย่อนเบี้ยส่วนที่นำไปลงทุนได้) และการันตีผลตอบแทนที่จะได้ ซึ่งบางบริษัทให้ค่อนข้างดีและดีกว่าที่จะไปเสี่ยงลงทุนเอง

มีเงินใช้ตอนเกษียณ release your risk

ประกันชีวิตชั่วระยะเวลา
 หรือ ชั่วเวลา หรือ จำกัดเวลา

เน้นเฉพาะคุ้มครองชีวิตตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น 10-20 ปี หรือจนถึงเกษียณอายุ 60 ปี โดยความคุ้มครองมักจะอยู่หลักร้อยเท่าของเบี้ยที่จ่ายต่อปี (บางช่วงอายุ) จุดประสงค์จึงจะคล้ายกับประกันรถยนต์..เพียงเปลี่ยนจากรถมาเป็นคนเท่านั้น

คุณสมบัติของผู้ที่ควรทำประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลาจะมีดังต่อไปนี้

เครื่องหมายถูก release your risk

เป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัวจึงต้องการทุนชีวิตที่สูง ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ และยังไม่พร้อมออมเงินในกรมธรรม์ (เพื่อให้ได้ความคุ้มครองตลอดชีพ)

เครื่องหมายถูก release your risk

มีรายจ่ายประจำและมีหนี้สินที่ยังต้องชำระในระยะยาว

เครื่องหมายถูก release your risk

ต้องการใช้ส่วนลดหย่อนค่าเบี้ยประกันเพื่อแลกทุนชีวิตสูงสุด ให้ครอบคลุมค่าใช้จ่าย (เช่น ค่าเทอมลูกจนถึงมหาวิทยาลัย)

ซึ่งประกันแบบนี้จะไม่มีความซับซ้อน
และแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ ด้วยกันคือ

แบบชั่วเวลาที่เป็นสัญญาเพิ่มเติม

พ่วงกับสัญญาหลักประกันชีวิตตลอดชีพ โดยหากสัญญาเพิ่มเติมนี้ครบอายุสัญญาความคุ้มครอง ก็จะยังเหลือสัญญาหลักประกันชีวิตตอดลชีพที่ทำงานต่อไปแทน

จึงเหมาะกับผู้ที่อยากได้ความคุ้มครองก่อนเกษียณ หรือทุนชีวิตให้สูงเพิ่มขึ้นตามภาระที่มี และมากกว่าประกันชีวิตตลอดชีพสัญญาหลักเดิมที่มีอยู่ แต่ต้องการจ่ายเบี้ยให้น้อยที่สุด 


โดยตัวอย่างของ BLA จะเรียกสัญญาเพิ่มเติมนี้ว่า "สัญญาเฉพาะกาล" ซึ่งมีเบี้ยที่ประหยัดที่สุดในปัจจุบัน แต่ให้ทุนชีวิตได้สูงสุด โดยมีระยะเวลาคุ้มครองให้เลือกที่ 10 15 18 ปี สามารถทำแนบกับประกันชีวิตตลอดชีพสัญญหลักได้ โดยทุนสูงสุดที่ทำได้ จะต้องไม่เกิน 10 เท่าของทุนชีวิตสัญญาหลัก

เน้นทุนคุ้มครองชีวิตสูงสุดต่อเบี้ยที่จ่าย โดยเลือกระยะเวลาคุ้มครองได้ที่ 10 15 18 ปี

แบบชั่วเวลาที่เป็นสัญญาหลัก

แบบนี้เมื่อสัญญาหลักครบกำหนดอายุความคุ้มครอง ทั้งกรมธรรม์จะปิดตัวลงทันที

จึงเหมาะกับผู้ที่พิจารณาเห็นแล้วว่า.. แบบนี้จะให้ ทุนชีวิต หรือ ความคุ้มครองอื่น ๆ ที่สูงกว่าในเบี้ยที่เท่ากัน เมื่อเทียบกับแบบประกันชีวิตอื่น ๆ ในระยะเวลาความคุ้มครองที่ต้องการ


โดยประกันของ BLA ที่เป็นตัวอย่างจะมี

จะคุ้มครองชีวิตและคุ้มครองทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวรจำนวน 3 เท่าของทุนชีวิตด้วย โดยเลือกระยะเวลาคุ้มครองได้ที่ 10 15 20 ปี

แบบชั่วเวลาที่เป็นสัญญาหลัก Unit-Linked

แบบยูนิตลิงก์ จะให้อิสระในการเลือกจำนวนเท่าของความคุ้มครองต่อเบี้ยที่จ่ายไปได้ แลกกับการที่ไม่การันตีอายุความคุ้มครอง โดยอายุความคุ้มครองคงอยู่จนกระทั่งมูลค่าพอร์ตกองทุนรวมที่เลือกเองเหลือเป็นศูนย์

เบี้ยที่จ่าย ส่วนหนึ่งจะจ่ายค่าประกันภัย อีกส่วนหนึ่งจะนำไปลงทุนตามกองทุนรวมที่เลือกเอง เพื่อนำผลตอบแทนที่ได้มาช่วยจ่ายค่าประกันภัยในอนาคต

ทำให้บางช่วงอายุ หากเลือกปรับจำนวนเท่าความคุ้มครองต่อเบี้ยให้สูงที่สุด (200 - 250 เท่า) ในช่วงที่อายุยังไม่มาก จะได้ทุนชีวิตที่สูงกว่าแบบจำกัดเวลาทั่วไป เพื่อที่จะพอการันตีให้สามารถคุ้มครองชีวิตได้ยาวถึงอายุ 60 ปี หรือจนกว่าเกษียณได้ 

ดังนั้นจึงควรจะเลือกพอร์ตกองทุนรวมความเสี่ยงต่ำที่มีความผันผวนน้อย ให้พอมั่นใจได้มากขึ้นว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์

เหมาะกับบางช่วงอายุ ที่แบบประกันชั่วเวลาทั่วไป (ข้อ 2.1-2.2) ไม่มีจำนวนปีความคุ้มครองให้เลือกตามที่ต้องการได้ และเหมาะกับช่วงอายุที่เบี้ยต่อความคุ้มครองของแบบ Unit Linked ประหยัดกว่าเบี้ยแบบประกันชั่วเวลาแบบอื่น ๆ


โดยประกันของ BLA ที่เป็นตัวอย่างจะมี

จะสามารถปรับความคุ้มครองได้สูงถึง 145 - 250 เท่า จนถึงอายุ 40 ปี และคุ้มครองได้ถึงอายุ 60 ปี ผ่านพอร์ตกองทุนรวมความเสี่ยงต่ำผลตอบแทนเฉลี่ย 1%-2% ต่อปี


จะสามารถเปรียบเทียบประกันของ BLA ที่เป็นตัวอย่างได้ดังนี้

ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล
 (สัญญาปีต่อปี)

เป็นแบบประกันที่คล้ายกับแบบชั่วเวลา คือ เน้นคุ้มครองชีวิตที่ตรวจพิสูจน์แล้วว่าเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุแบบปีต่อปีเท่านั้น และส่วนใหญ่จะคุ้มครองรวมไปถึงค่าชดเชยจากทั้งทุพพลภาพชั่วคราว ทุพพลภาพถาวร และค่ารักษาจากอุบัติเหตุด้วย

(เบี้ยเฉพาะส่วนที่เป็นค่ารักษาอุบัติเหตุ ทุพพลภาพ เท่านั้นที่ลดหย่อนภาษีได้)

แม้จะคุ้มครองหลายอย่างมากกว่าประกันชีวิตทั่วไป แต่เบี้ยมักน้อยกว่า เพราะขอบเขตข้อจำกัดจะอยู่ที่ต้องเป็นเหตุที่เกิดจากอุบัติเหตุเท่านั้น ดังนั้นจะมีเงื่อนไขข้อยกเว้นจำนวนมากในกรณีที่จะไม่คุ้มครอง เช่น ต้องไม่เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการดื่มสุรา หรือมีเจตนาทำร้ายตนเอง หรือเกิดขึ้นเพราะปัญหาสุขภาพร่างกาย (เป็นความดันหน้ามืด) เป็นต้น

การเคลมจึงมีความยุ่งยากกว่าการเคลมประกันชีวิตทั่วไปพอสมควร

และเนื่องจากสัญญาประกันอุบัติเหตุเป็นสัญญาแบบปีต่อปี ทำให้ถ้าบริษัทประกันเห็นว่ามีการรักษาด้วยอุบัติเหตุบ่อย ๆ และดูมีความเสี่ยงอุบัติเหตุมากกว่าคนทั่วไป ก็สามารถที่จะไม่รับต่ออายุสัญญาในปีถัดไปได้

ซึ่งแตกต่างกับประกันชีวิตที่เป็นสัญญาระยะยาว และหากจ่ายเบี้ยเกิน 2 ปีไปแล้ว บริษัทจะไม่สามารถโต้แย้งหรือยกเลิกสัญญาใด ๆ ได้อีก

ทำให้ตอนเคลมประกันชีวิตจะง่ายขึ้นมากหากอายุสัญญามากกว่า 2 ปีขึ้นไปแล้ว (เว้นแต่ในกรณีที่ผู้รับผลประโยชน์เป็นผู้ฆ่าผู้ทำประกัน)

ในแง่มุมของการลดหย่อนภาษีและความยุ่งยากในการเคลมนั้น ประกันชีวิตจึงมีภาษีดีกว่าประกันอุบัติเหตุพอสมควร แต่ถ้ายังไม่สนใจทำประกันชีวิตเลย..

อย่างน้อยควรมีประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลไว้รองรับเหตุคาดไม่ถึงเพื่อผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง

ควรเลือกประกันแบบใด : 
ชั่วเวลา vs ตลอดชีพ vs ลงทุนเอง 

คำถามนี้จะเหมือนเป็นการถามว่า ระหว่างการใช้เครื่องมือการออมที่ตรงจุดประสงค์ของเงินออมโดยตรง กับแบบที่ไม่ตรงจุดประสงค์เงินออม แบบไหนจะดีกว่ากัน

กับเป็นการถามว่า ระหว่างการใช้เครื่องมือการออมคนละแบบให้มาทำงานร่วมกัน จะดีกว่าการใช้เพียงเครื่องมือการออมแบบเดียวได้หรือไม่ โดยจะสามารถนำเปรียบเทียบกันได้ดังต่อไปนี้

แบบลงทุนเอง

จัดการเงินบำนาณหลังเกษียณ release your risk

หากต้องการมีเงินไว้จัดการภาระที่อาจทิ้งไว้หลังจาก จำนวน 5 ล้านบาทขึ้นไป วิธีนี้จะต้องพยายามลงทุนเองอย่างเป็นประจำ ซึ่งหากตลาดเป็นขาขึ้นอาจจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ที่เงินลงทุนจะเติบโตได้ตามเป้าหมายมรดก โดยอาจใช้เงินลงทุนเพียง 10%-75% ของเป้าหมายเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลา ผลตอบแทน และเงินลงทุนที่ใช้ ไม่แน่นอน)

ข้อดี

  • เป็นการเก็บออมลงทุนเอง ไม่ได้เฉลี่ยความเสี่ยงกับผู้ใด ดังนั้นสามารถลงมือทำได้ทันที ได้ไม่ต้องมีการพิจารณาเรื่องเกณฑ์สุขภาพ หรือ ประวัติการรักษาโรคเรื้อรังใด ๆ ที่มีอยู่
  • ไม่มีการบังคับให้ต้องออมเท่ากันทุกปี ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้

ข้อจำกัด

  • ต้องมีวินัยบังคับให้ตนเองออมให้สำเร็จเอง
  • ห้ามจากไปในระหว่างทยอยลงทุนให้เงินเติบโตถึง 5 ล้านบาท หรือ ตามเป้าหมาายที่ตั้งไว้
  • ห้ามใจตนเองหรือลูกหลานไม่ให้ขอใช้เงิน ระหว่างเงินเติบโตและเงินเติบโตได้ตามเป้าหมาย
  • เงินที่ได้ตามเป้าหมาย เมื่อจากไปจะเข้าสู่กองมรดก ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือน กว่าที่คนข้างหลังจะนำเงินออกมาได้ถูกต้องตามกฏหมาย
  • เงินที่ได้ตามเป้าหมาย ถือเป็นมรดกที่หากทายาทรับมรดกจะต้องรับหนี้ไปด้วย ดังนั้นเจ้าหนี้จะมีสิทธิในมรดกนี้ก่อนทายาทเสมอ
  • หากเงินตามเป้าหมายเกิน 100 ล้านบาท ส่วนที่เกินจะเสีบภาษี 10% หากผู้รับมรดกตามพินัยกรรมไม่ใช่บุพการี หรือ ทายาทโดยตรง (หาดเป็นบุพการีหรือทายาทโดยตรงเสียภาษี 5% และหากเป็นคู่สมรสจะไม่เสียภาษี)   

เหมาะกับ

  • ผู้ที่มีเงินมรดกที่จะให้ตามเป้าหมายอยู่แล้ว และต้องการใช้เงินตนเอง 100% สำหรับให้เป็นมรดกตามเป้าหมายหลังการจากไป
  • ผู้ที่ยังไม่พร้อมทำความเข้าใจเครื่องมือประกันชีวิต และชอบการลงทุนที่มีความซับซ้อนสูงกว่า และความเสี่ยงมากกว่า
  • ผู้ที่มีเกณฑ์สุขภาพ หรือมีอายุ หรือมีอาชีพ ที่ไม่สามารถรับทำประกันชีวิตได้
  • ผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวในการเก็บออมเงินเพื่อเป็นมรดกโดยเฉพาะ
  • ผู้ที่มีผู้รับมรดกมีความชำนาญในทางกฏหมายมรดก และมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เดือน ก่อนที่จะนำเงินมรดกออกมาใช้ได้จากกองมรดก
  • ผู้ที่ไม่มีเจ้าหนี้
  • ผู้ที่มีมรดกไม่เกิน 100 ล้านบาท หรือผู้ที่เกินแต่ยินดีจ่ายภาษีเต็ม 100% หรือ มรดกส่วนเกินที่มีไม่ได้อยู่ในรูปแบบ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น หุ้นกู้ หน่วยลงทุน ตราสารหนี้ เงินฝาก เงินสด ยานพาหนะ

แบบชั่วเวลา + แบบลงทุนเอง

เลือกประกันชีวิต 3 release your risk

จะเป็นการแก้ไขปัญหาการจากไปก่อนเงินลงทุนเติบโตได้ตามเป้าหมายมรดกที่ต้องการ โดยจะแบ่งเงินลงทุนบางส่วนมาทำประกันชีวิตชั่วเวลา ระยะเวลาตามจำนวนปีที่คาดว่าเงินจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย

ซึ่งทุนชีวิตจะให้สูงเท่ากับมรดกที่ตั้งเป้าไว้ แต่จ่ายเบี้ยประกันชีวิตชั่วเวลาให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบกับเงินที่ลงทุนเอง โดยจะได้ทุนชีวิตสูงถึง 200-250 เท่าของเบี้ยที่จ่ายแต่ละปี (หรือ เบี้ย 20,000-25,000 บ.ต่อปี ได้ทุนชีวิต 5 ล้านบาท) ขึ้นอยู่กับอายุ เพศ และอาชีพ ตอนเริ่มทำประกัน

ข้อดี

  • ระหว่างเงินลงทุนกำลังเติบโต เครื่องมือประกันชีวิตชั่วเวลาจะรับความเสี่ยงไว้ให้เอง
  • ใช้เบี้ยประกันชีวิตที่น้อยมากเมื่อเทียบกับทุนชีวิตที่ได้ โดยเฉพาะในช่วงอายุก่อน 60 ปี

ข้อจำกัด

  • ต้องมีสุขภาพ อายุ อาชีพ อยู่ในเกณฑ์รับทำประกันชีวิตชั่วเวลา และมีแหล่งที่มาของรายได้ชัดเจน
  • อาจต้องเลือกประกันชีวิตชั่วเวลาแบบที่สามารถยืดจำนวนปีความคุ้มครองถึงอายุ 60 ปีได้ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่เงินลงทุนใช้เวลามากกว่าที่คาดการณ์ในการเติบโตได้ตามเป้าหมาย
  • ห้ามใจตนเองหรือลูกหลานไม่ให้ขอใช้เงินมรดกที่ได้ตามเป้าหมายแล้ว
  • เงินที่ได้ตามเป้าหมาย เมื่อจากไปจะเข้าสู่กองมรดก ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือน กว่าที่คนข้างหลังจะนำเงินออกมาได้ถูกต้องตามกฏหมาย
  • เงินที่ได้ตามเป้าหมาย ถือเป็นมรดกที่หากทายาทรับมรดกจะต้องรับหนี้ไปด้วย ดังนั้นเจ้าหนี้จะมีสิทธิในมรดกนี้ก่อนทายาทเสมอ
  • หากเงินตามเป้าหมายเกิน 100 ล้านบาท ส่วนที่เกินจะเสีบภาษี 10% หากผู้รับมรดกตามพินัยกรรมไม่ใช่บุพการี หรือ ทายาทโดยตรง (หาดเป็นบุพการีหรือทายาทโดยตรงเสียภาษี 5% และหากเป็นคู่สมรสจะไม่เสียภาษี) 

เหมาะกับ

  • ผู้ที่มีกำลังการออมยังไม่มาก หรือ ต้องการเน้นลงทุนเอง 100% มากกว่าการออมเงินมรดกในประกันชีวิตตลอดชีพ
  • ผู้ที่มีเงินมรดกที่จะให้ตามเป้าหมายอยู่แล้ว แต่ไม่ต้องการใช้เงินตนเอง 100% ในช่วงเวลาที่ทำประกันชีวิตชั่วเวลา
  • ผู้ที่มีเกณฑ์สุขภาพ หรือมีอายุ หรือมีอาชีพ ที่สามารถทำประกันชีวิตชั่วเวลาได้
  • ผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวในการเก็บออมเงินเพื่อเป็นมรดก โดยไม่นำออกมาใช้ก่อน ให้เงินได้เติบโตทันตามระยะเวลาที่ประกันชั่วเวลายังคงให้ความคุ้มครอง
  • ผู้ที่มีผู้รับมรดกมีความชำนาญในทางกฏหมายมรดก และมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เดือน ก่อนที่จะนำเงินมรดกออกมาใช้ได้จากกองมรดก
  • ผู้ที่ไม่มีเจ้าหนี้
  • ผู้ที่มีมรดกไม่เกิน 100 ล้านบาท หรือผู้ที่เกินแต่ยินดีจ่ายภาษีเต็ม 100% หรือ มรดกส่วนเกินที่มีไม่ได้อยู่ในรูปแบบ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น หุ้นกู้ หน่วยลงทุน ตราสารหนี้ เงินฝาก เงินสด ยานพาหนะ

แบบตลอดชีพ + แบบชั่วเวลา

คำถามสำคัญ 5 release your risk

แบบนี้จะเน้นแก้ไขข้อจำกัดของการลงทุนเองในเรื่องการส่งต่อมรดก ที่ประกันชีวิตจะมีความสะดวกและสภาพคล่องมากกว่ากองมรดก

โดยจะใช้ประกันชีวิตตลอดชีพที่ทุนชีวิตเท่ากับเงินมรดกตามเป้าหมาย และใช้ประกันชั่วเวลาดูแลภาระหรือหนี้สินในช่วงวัยทำงาน เพื่อให้ภาระหรือหนี้สินไม่กระทบกับมรดกที่ตั้งเป้าออมไว้ในประกันชีวิตตลอดชีพ

เงินที่ออมในประกันชีวิตตลอดชีพ โดยรวมจะคิดเป็น 20% - 100% ของเป้าหมายมรดกที่ต้องการ ขึ้นอยู่กับแบบประกันชีวิตที่เลือก จำนวนปีที่ชำระเบี้ย อายุ เพศ และ อาชีพ ที่เริ่มทำประกัน แต่เป็นแบบการันตีแน่นอน  

(หากเลือกเป็นประกันมรดกที่ทุนชีวิตสูง และชำระเบี้ยสั้น จะทำให้ได้สัดส่วนเบี้ยรวมต่อทุนชีวิตที่น้อยเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับประกันชีวิตตลอดชีพทั่วไป)

ข้อดี

  • ได้รับความคุ้มครองชีวิตตั้งแต่เริ่มออมมรดกในประกันชีวิตตลอดชีพ
  • ได้รับทุนชีวิตที่สูงของประกันชีวิตชั่วระยะเวลาเสริมในช่วงอายุที่มีภาระค่อนข้างมาก
  • ด้วยกลไกประกันชีวิต ที่เปลี่ยนเงินออมให้เป็นรายจ่ายที่ต้องชำระเท่ากันทุกปี จึงช่วยให้การออมมีโอกาสสำเร็จตามเป้าหมายได้สูงมาก
  • ด้วยกลไกของประกันชีวิตจึงทำให้ยากที่จะนำเงินที่ออมออกมาใช้ผิดวัตถุประสงค์
  • ด้วยกลไกของประกันชีวิตทำให้ทุนชีวิตส่งถึงผู้รับผลประโยชน์โดยตรง ไม่ต้องผ่านผู้จัดการมรดก เจ้าหนี้ และภาษี
  • เงินที่ออมน้อยกว่ามรดกที่จะส่งต่อ (ขึ้นอยู่กับ สุขภาพ อายุ เพศ และ อาชีพ ตอนเริ่มทำประกันชีวิตตลอดชีพ)

ข้อจำกัด

  • ต้องมีสุขภาพ อายุ อาชีพ อยู่ในเกณฑ์รับทำประกันชีวิต และมีแหล่งที่มาของรายได้ชัดเจน
  • หากต้องการนับเงินในกรมธรรม์ประกันชีวิตออกมาใช้ก่อน จะต้องกู้ยืมออกมาและมีดอกเบี้ยจนกว่าจะนำเงินที่ยืมไปกลับคืนเข้ากรมธรรม์พร้อมดอกเบี้ย เนื่องจากเป็นกลไกปกป้องการใช้เงินผืดวัตถุประสงค์
  • บังคับออมเท่ากันทุกปี ตามระยะเวลาของแบบประกัน อาจสร้างความกังวลกว่าว่าบางปีจะขาดสภาพคล่องได้

เหมาะกับ

  • ผู้ที่มีกำลังการออม และต้องการอาศัยประกันชีวิตเป็นกลไกในการบังคับออมเงินมรดกให้สำเร็จ
  • มีความตั้งใจต้องการออมเงินเพื่อส่งต่อเป็นมรดก หรือ เพื่อจัดการภาระที่ทิ้งไว้หลังจากไปจริง ๆ และใช้เวลาที่สั้นกว่าผ่านกองมรดก
  • ต้องการลดความขัดแย้งในการแบ่งทรัพย์มรดก เนื่องจากประกันชีวิตจะได้รับเป็นเงินสดที่ชัดเจน ไม่ต้องตีมูลค่าเพิ่มเติม
  • ไม่ต้องการให้ใครสามารถยุ่งเกี่ยวกับเงินออมมรดกนี้ได้ง่าย ๆ โดยมีกลไกของประกันชีวิตคอยปกป้องอยู่
  • ไม่ต้องการใช้เงินตนเอง 100% สำหรับส่งต่อให้เป็นมรดก โดยเฉพาะในตอนใกล้เกษียณที่ต้องการกันเงินไว้ใช้เองด้วย จึงต้องการกันเงินสำหรับเป็นมรดกให้น้อยลงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
  • ไม่ต้องการเสียภาษีมรดกส่วนที่เกิน 100 ล้านบาททั้งหมดเอง แต่ต้องการให้ประกันชีวิตมาช่วยจ่ายภาษีมรดกนี้ด้วย

แบบชั่วเวลา + แบบลงทุนเอง + แบบตลอดชีพ

ครอบครัววางแผนการเงินและภาษี 2 release your risk

แบบนี้จะนำข้อดีของการลงทุนเองเข้ามาช่วยจ่ายเบี้ยประกันชีวิตตลอดชีพมรดกทุนสูง จึงสามารถทำให้เบี้ยรวมทั้งสัญญาลดลงจากเบี้ยประกันชีวิตตลอดชีพโดยทั่วไปได้ (และลดลงกว่าที่จะต้องลงทุนเองแน่นอน)

โดยในตอนแรกจะเน้นทำประกันชีวิตชั่วเวลาที่ทุนสูงให้ครอบคลุมทั้งภาระและมรดก ด้วยเบี้ยที่น้อยที่สุด จากนั้นเน้นกำหนดระยะเวลาที่จะลงทุนเอง X ปี

ซึ่งเป้าหมายการลงทุนคือจะให้เงินเติบโตใกล้เคียงกับเบี้ยทั้งสัญญาของประกันชีวิตมรดกทุนสูงมากที่สุดใน X ปีข้างหน้า

เช่น จากแต่ก่อนหากไม่นำประกันชีวิตมรดกเข้าช่วย จะต้องลงทุนเองให้ได้ถึง 5 ล้านบาทภายใน X ปี แต่หากใช้ประกันชีวิตมรดกช่วยจะเหลือเพียง 1.8 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเป็นเบี้ยทั้งสัญญาของประกันชีวิตมรดกในผู้ชาย อายุ 40 ปี แบบชำระเบี้ย 5 ปี (หรือลดเงินเป้าหมายลงได้ถึง 3.2 ล้าน)

ตัวอย่างเช่น

  • ชาย อายุ 30 ปี ทำประกันชีวิตชั่วเวลาทุน 5 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายว่าจะให้คุ้มครองนาน 10 ปี รวมเป็นเบี้ยปีละ 25,000 บ. หรือทั้งหมด 250,000 บ. 
  • เพื่อตลอดระยะเวลา 10 ปีนี้ จะทำการลงทุนให้ได้ 1.8 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นเบี้ยรวมทั้งสัญญาของประกันชีวิตมรดกทุนชีวิต 5 ล้านบาท ตอนอายุ 40 ปี (ตอนอายุ 30 ปี เบี้ยรวมจะอยู่ที่ 1.36 ล้านบาท)
  • ซึ่งหากลงทุนทุกต้นปี คาดการณ์ผลตอบแทนที่ 5% ต่อปี จะต้องลงทุนปีละ 136,294 บ. เพื่อให้เงินเติบโตได้ถึง 1.8 ล้านบาท
  • ดังนั้นจะใช้เงินรวม 10 ปีทั้งสิ้น เงินลงทุน 1.36 ล้านบาท + เบี้ยชั่วเวลาอีก 250,000 บ. รวมเป็นเงิน 1.61 ล้านบาทเท่านั้น จากเบี้ยตอนอายุ 40 ปีที่ 1.8 ล้านบาท (แบ่งจ่ายปี 5 ปี)

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าวิธีนี้ เป็นการเสริมวิธี แบบชั่วเวลา + ลงทุนเอง ให้มีความง่ายมากขึ้น และช่วยทำให้ได้ข้อดีของประกันชีวิตตลอดชีพในการส่งต่อมรดกได้ไปตลอดชีวิต ร่วมกับข้อดีของผลตอยแทนที่มีโอกาสเกิน 5% ต่อปีได้ (แต่แน่นอนว่าต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนเองด้วยเช่นกัน)

ข้อดี

  • แก้ไขข้อจำกัดของ แบบชั่วเวลา + ลงทุนเอง ทำให้การลงทุนเองมีเป้าหมายที่ลดลงมาก และได้กลไกการส่งต่อมรดกของประกันชีวิตตลอดชีพมาด้วย
  • สามารถปรับทุนชีวิตของชั่วเวลาให้สูงกว่า 5 ล้านบาทได้ และขยายเวลานานกว่า 10 ปีได้ ตามความต้องการ ไม่จำเป็นต้องจำกัดให้เท่ากับเป้าหมายมรดกเท่านั้น
  • ไม่จำเป็นต้องออมเงินก้อนใหญ่สำหรับประกันชีวิตมรดกในตอนอายุ 30 ปีในทันที เลือกความยืดหยุ่นเองได้ผ่านการจัดการการลงทุนเอง

ข้อจำกัด

  • มีความซับซ้อนกว่าแบบ ตลอดชีพ + ชั่วเวลา ต้องมีการคำนวณหาเงินลงทุนที่ต้องใช้เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย และหากลงทุนไม่เท่ากันทุกปีจะต้องมีการคำนวณที่ซับซ้อนมากขึ้น
  • ผลตอบแทนการลงทุนไม่การันตี หากตอนอายุ 40 ปีเป็นตลาดขาลง อาจส่งผลให้เงินเติบโตพลาดเป้าหมายได้ (แม้มีระยะเวลาชำระเบี้ยอีก 5 ปีก็ตาม)
  • ความไม่แน่นอนของการลงทุน อาจทำให้บางทีตอนอายุ 30 ปี เลือกประกันชีวิตมรดก แบบชำระเบี้ย 10 ปีแทน (เบี้ยรวมที่ 1.77 ล้านบาท) อาจจะใช้เงินออมที่ประหยัดได้มากกว่า (ซึ่งซับซ้อนน้อยกว่า เนื่องจากการันตี และบังคับออมเท่ากันทุกปี)
  • ทำให้จำเป็นต้องพิจารณาตารางเบี้ยรวมในแต่ละอายุ และจำนวนปีการชำระเบี้ย ร่วมกับคำนวณเงินลงทุนให้ดี ๆ ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีนี้

เหมาะกับ

  • ผู้ที่เชี่ยวชาญการลงทุน รับความเสี่ยงได้
  • ต้องการความยืดหยุ่นในออมเงินมรดกเองในแต่ละปี
  • ต้องการกลไกการส่งต่อมรดกของประกันชีวิต
  • มั่นใขในสุขภาพตนเอง ว่าผ่านไปอีก 10+ ปีจะยังแข็งแรง ไม่มีโรคเรื้อรัง ทำให้ไม่สามารถทำประกันชีวิตได้ (เช่น เบาหวาน ความดันสูง ที่ควบคุมไม่ได้ รวมถึงโรคซึมเศร้า)

ทั้งหมดนี้เองยิ่งทำให้เห็นชัดเจนว่า การเลือกเครื่องมือการออมให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของเงินออม จะทำให้ ประหยัดเงินที่ต้องออม ปกป้องการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ ปกป้องความเสี่ยงระหว่างการเก็บเงิน และ ลดระยะเวลาที่ต้องรอให้เงินออมได้เติบโตลงได้

ดังนั้นเครื่องมือการออมอย่างประกันชีวิต จึงไม่ใช่เฉพาะเรื่องของความรักความรับผิดชอบเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความคุ้มค่าต่อการออมเงินจริง ๆ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับเครื่องมืออย่างการลงทุน

บทสรุปการเลือกประกันชีวิต

จุดเด่นประกันแบบตลอดชีพ 2 release your risk

ถ้าหากต้องการลดหย่อนภาษี ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ จะเหมาะกับผู้ที่มีภาระยังไม่สูงมาก ต้องการความคุ้มครองตลอดชีวิตในราคาที่ถูก และต้องการเก็บออมเงินสำรองฉุกเฉินรวมด้วย รวมถึงมูลค่าเงินที่สะสมในกรมธรรม์จะสามารถเกินเบี้ยที่จ่ายไปได้แน่นอน (เบี้ยไม่จ่ายทิ้ง) โดยเฉพาะหากเริ่มทำประกันตอนอายุก่อนเกษียณ

แต่หากในอนาคตมีภาระมากขึ้น และต้องการเพิ่มทุนชีวิตในช่วงเวลาหนึ่งให้มากขึ้นตามภาระที่เพิ่ม ก็จะยังสามารถ ทำสัญญา ประกันชีวิตแบบชั่วเวลา เพิ่มได้

อย่างไรก็ตาม หากในปัจจุบันมีภาระค่อนข้างมาก และสภาพคล่องไม่เอื้อให้ทำประกันชีวิตแบบตลอดชีพทุนชีวิตสูง ๆ ได้

การพิจารณา ประกันชีวิตชั่วเวลา ก่อนจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อย่างน้อยช่วยทำให้ได้ทุนชีวิตที่สูงในเบี้ยที่น้อยมากและพร้อมที่จะออกไปสู้ลุยทำงานได้โดย มี Peace of Mind ลดความกังวลต่อคนข้างหลังว่า..จะอยู่อย่างไรหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น

และต่อมาหากเริ่มมีกำลังทรัพย์มากขึ้น จึงค่อยพิจารณาประกันชีวิตตลอดชีพในภายหลังก็ได้เช่นกัน

ดังนั้นการเลือกประกันชีวิต จึงต้องพิจารณาทั้งสภาพคล่อง อายุ และสุขภาพ ในขณะนั้น จึงจะสามารถเลือกที่เหมาะสมกับตนเองที่สุดได้

จะสามารถพิจารณารายละเอียดเจาะลึก ถึงมุมมองอื่น ๆ ของวิธีการเลือกแบบประกันชีวิตแต่ละแบบ ได้ที่ปุ่มด้านล่างนี้

การวางแผนเก็บเงินและเกษียณอย่างจริงจัง เริ่มขึ้น เมื่อเข้าใจ..

วิธีใช้ธรรมชาติของเครื่องมือการเงินที่จำเป็นให้เกิดประโยชน์สูงสุด

"ตน (ในปัจจุบัน) จักเป็นที่พึ่งของตน (ในอนาคต)"

เกี่ยวกับผู้เขียน

  • แอนนี่ค่ะ2

    จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตการทำงานทั้งหมดของแอนนี่ในสายงาน CRM ได้พบว่า ความไม่รู้ เป็นศัตรูที่แพงอย่างมากในโลกของการเงิน ซึ่งในหลายครั้งกว่าจะรู้และเข้าใจก็อาจจะสายไปแล้ว และนี้คือสาเหตุใหญ่ที่ทางเรา จะแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ โดยให้ความรู้ทางการเงินที่ดีและเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงการป้องกันไม่ให้ถูกเอาเปรียบจากความไม่รู้นี้ ผ่านเว็บไซต์ Release your Risk ที่ต้องการให้ทุกคนได้ปล่อยความเสี่ยงที่ตนเองถือไว้อยู่ ผ่านเครื่องมือทางการเงินด้วยความเข้าใจ และมีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ

>
Scroll to Top

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน ซึ่งสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ตกลงทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก