หากดำเนินการ กันเงินไว้ และ กำหนดหน้าที่ของเงินที่กันไว้ ให้เป็นดังนี้
- เงินค่ารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง และต้องได้การรักษาที่ดีและโดยเร็วที่สุด
- เงินค่ารักษาที่ไม่สามารถทราบจำนวนเงินที่ควรมีล่วงหน้าได้
- เงินเพื่อป้องกันการล้มละลายจากค่ารักษาของ รพ. ที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกปี
- เงินที่ช่วยให้ตอนเกษียณอีกหลาย 10 ปีข้างหน้าไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษา
- เงินที่ช่วยให้ทราบว่าควรจะออมแต่ละปีเท่าใด จึงจะเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายด้านค่ารักษา โดยเฉพาะตอนเกษียณ
ถ้าหน้าที่ของเงินออม คือ ดังที่กล่าวมา จะทำให้เครื่องมือการออมที่เหมาะสมที่สุด ที่จะทำหน้าที่นี้คือ..
ประกันสุขภาพ
ทำไมการทำประกันสุขภาพ จึงเป็นการออม ที่สำคัญ และจำเป็นในการวางแผนเกษียณ
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการทำประกันสุขภาพนั้น ไม่ใช่การออมแต่เป็นการจ่ายเบี้ยทิ้ง ที่มีโอกาสขาดทุนหากไม่ได้ป่วย.. แต่ลืมมองไปว่าในตอนเกษียณ ค่าผ่าตัดตอนนั้นอาจเริ่มต้นที่ 1,000,000 บ. ไม่ใช่ที่หลัก 100,000 บ. อย่างในปัจจุบัน
และค่าผ่าตัดเพียงครั้งเดียวอาจสามารถมากกว่าเบี้ยประกันทั้งหมดที่จ่ายไปได้ไม่นาก
ซึ่งยืนยันด้วยความจริงที่ว่า เกือบทุกบริษัทประกันได้ขาดทุนกับประกันสุขภาพสูงมากและทยอยปิดแบบประกันที่เบี้ยราคาประหยัดลง และแบบประกันสุขภาพในปัจจุบัน ยังมีความเข้มงวดในการรับทำประกันที่สูงอย่างมาก เพื่อลดความเสี่ยงของการขาดทุนนี้ลง ทำให้การรีบทำประกันสุขภาพตั้งแต่ยังไม่มี ประวัติการรักษา หรือ ผลตรวจสุขภาพที่ไม่รับทำประกันสุขภาพ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
โดย ผู้ที่เหมาะกับประกันสุขภาพ มักจะเป็นผู้ที่
ต้องการรักษาการรักษาที่มากกว่าทางร่างกายใน รพ.เอกชน โดยเฉพาะตอนเกษียณ
ต้องการรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด (ไม่อยากรอคิวนานกว่า 6-8 เดือน โดยที่เมื่อถึงคิวแล้วยังต้องมาตั้งแต่ ตี4-ตี5 ในวันธรรมดา เพื่อให้ได้ตรวจในช่วงบ่าย)
ต้องการรักษาโรคต่าง ๆ โดยที่ลดความกังวลเรื่องค่ารักษาให้ได้มากที่สุด
ต้องการเลือกวิธีการรักษาที่ดีที่สุดที่ได้รับการรับรองจากราชวิทยาลัยในแพทยสภาได้
ต้องการให้ค่ารักษาแต่ละครั้งอยู่ในงบประมาณที่ควบคุมได้ ทั้งของตนเองและสมาชิกในครอบครัว
ต้องการใช้ลดหย่อนภาษี 25,000 บ. (รวมในสิทธิลดหย่อน 100,000 บ. ของประกันชีวิต)
พร้อมทำความเข้าใจเงื่อนไขความคุ้มครองของประกันสุขภาพอย่างจริงจัง สมัครทำประกันอย่างโปร่งใส เพื่อป้องกัน ระเบิดเวลา จากการขาดความเข้าใจก่อนทำประกันสุขภาพ
สิ่งที่ควรเข้าใจก่อนทำประกันสุขภาพ เพื่อไม่ให้ถูก "ระเบิดเวลา 10 ลูก" เล่นงาน
ประกันสุขภาพมีความซับซ้อนสูงมาก และนับว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือการเงินที่ ห้ามซื้อ ห้ามสมัครใช้งาน หากยังไม่เข้าใจสัญญา ถ้าไม่อยากได้ระเบิดเวลาที่พร้อมระเบิดทันทีตอนที่จะใช้งาน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 10 ลูกระเบิดเวลา ดังต่อไปนี้
ระเบิดเวลาลูกที่ 1 : ประกันสุขภาพ เป็นอนุสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองให้กับสัญญาหลักประกันชีวิต
สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจ คือ หากสมัครทำประกันสุขภาพกับ "บริษัทประกันชีวิต" นั้น จะต้องเลือกสัญญาหลักที่เป็นประกันชีวิตเพื่อใช้กำหนดอายุของสัญญาขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงค่อยเลือกอนุสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองให้กับประกันชีวิตที่จะนำมาแนบกับสัญญาหลักประกันชีวิตนี้
โดยประกันสุขภาพเองจะถือเป็นหนึ่งในรูปแบบของอนุสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองนี้ ที่เน้นเพิ่มความคุ้มครองค่ารักษาที่ตรงตามเงื่อนไข ทั้งนี้เบี้ยประกันสุขภาพจะปรับเพิ่มตามอายุซึ่งสามารถต่ออายุได้ทุกปีแต่ไม่เกินอายุของสัญญาหลักประกันชีวิต (ทำให้ต้องเลือกประกันชีวิตที่คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี มาให้ประกันสุขภาพแนบเสมอ ไม่ใช่เลือกประกันสะสมทรัพย์ที่มีอายุกรมธรรม์ 10-25 ปี)
อย่างไรก็ตามประกันสุขภาพไม่สามารถคุ้มครองได้ทุกอย่าง ตารางด้านล่างจะได้เรียงลำดับตามความสำคัญของอนุสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองที่ควรทำ ดังต่อไปนี้
ระเบิดเวลาลูกที่ 2 : ความเชื่อใจ "ไม่เท่ากับ" ความเข้าใจ
ความเชื่อใจ "ไม่เท่ากับ " ความเข้าใจ และไม่มีผู้ขายหรือผู้ซื้อคนใดเลยที่จะมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในประวัติการรักษา และลายลักษณ์อักษรของเงื่อนไขความคุ้มครองในกรมธรรม์
เนื่องจากเป็นตัวอักษร หากใครเข้าใจเงื่อนไขในสัญญาได้ครบถ้วนมากกว่า ก็มีทางที่จะตีความเงื่อนไขให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองได้มากขึ้น หรือ สามารถโต้แย้งในบางประเด็นที่มีการตีความแตกต่างกันไปได้ ดังนั้น การอธิบายถึงเงื่อนไขของสัญญาจึงเป็นหน้าที่สำคัญอย่างมากของตัวแทนประกัน
ระเบิดเวลาลูกที่ 3 : หน้าที่ของตัวแทนประกัน

หน้าที่ของตัวแทนประกันที่สำคัญที่สุดคือ ก่อนสมัครทำประกัน และ ระหว่างพิจารณารับทำประกัน เพราะนั่นจะนำไปสู่ การเคลมประกันสุขภาพแบบไร้ปัญหา ไร้ความขัดแย้ง (ที่จะมาซ้ำเติมร่างกายที่เจ็บป่วย) ภายหลังการทำประกันสุขภาพ
โดยที่ก่อนจะสมัครทำประกันสุขภาพ ทางตัวแทนจะต้อง อธิบายทุกเรื่องที่จำเป็นทั้งหมด ให้กับผู้ทำประกันได้เข้าใจก่อนการตัดสินใจ เพื่อลดปัญหาระเบิดเวลาแห่งความขัดแย้ง ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในภายหลัง
ระเบิดเวลาลูกที่ 4 : ความเสี่ยง และ ค่ารักษาของโรคต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน และ คาดการณ์ได้ยาก
ในปัจจุบันค่ารักษาโรคร้ายแรงมีราคาหลักล้านบาทขึ้นไป เพราะมักเป็นการรักษาแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่การรักษาครั้งเดียวจบ จึงทำให้ค่ารักษาบานปลาย (ควบคุมไม่ได้) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโรคมะเร็ง
ดังนั้นหากไม่ทราบค่ารักษาเหล่านี้ก่อนทำประกันสุขภาพ ก็อาจจะได้ประกันสุขภาพที่ไม่ครอบคลุมค่ารักษาโรคร้ายแรงได้
ระเบิดเวลาลูกที่ 5 : หมวดความคุ้มครอง บทลงโทษ Copayment และ ข้อยกเว้นของประกันสุขภาพ
คนส่วนใหญ่มักจะพิจารณาหมวดความคุ้มครองแบบคร่าว ๆ จากโบรชัวร์ หรือ จากโฆษณาของแบบประกันสุขภาพ รวมกับเบี้ยประกันในงบประมาณที่คาดไว้เท่านั้น ทำให้การเลือกแบบประกันสุขภาพ มักมีโอกาสสูงที่จะได้แบบประกันสุขภาพที่ไม่ครอบคลุมความเสี่ยงในหมวดคุ้มครองที่จำเป็น ที่ต้องโอนความเสี่ยงออกไปจริง ๆ
โดยหมวดคุ้มครองจะประกอบไปด้วย 13 หมวดมาตรฐาน และหมวดเสริมอื่น ๆ ตามแต่ที่แบบประกันสุขภาพนั้น ๆ จะเสริมขึ้นมาเพื่ออุดช่องโหว่ของ 13 หมวดมาตรฐาน
การเลือกหมวดความคุ้มครอง ต้องพยายามเลือกหมวดที่เฉพาะเจาะจงมีหน้าที่ชัดเจน มากกว่าหมวดที่คุ้มครองกว้างไม่เจาะจง เพราะหมวดคุ้มครองกว้างจะทำให้ค่าเบี้ยประกันสูงขึ้น แต่ความคุ้มครองที่ได้รับกลับลดลงอย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่น ความคุ้มครองแบบ OPD หรือผู้ป่วยนอก ที่มีทั้งแบบเจาะจงและไม่เจาะจงดังนี้
- OPD แบบเฉพาะเจาะจง ได้แบบจ่ายตามจริง (ค่าใช้จ่ายเกิน 15,000 บ. ได้ทุกหมวด)
- OPD ตรวจฉายภาพขั้นสูง MRI CT PET-Scan (Fax-Claim)
- OPD Follow up อุบัติเหตุ 15 วัน จ่ายตามจริง (Fax-Claim)
- OPD Follow up ไม่จำกัดจำนวนครั้งใน 30 วันหลังแอดมิต IPD (Fax-Claim)
- OPD ตรวจยีนส์มะเร็ง (สำรองจ่ายแล้วเคลมตรง)
- OPD ค่ารักษามะเร็งนวัตกรรมใหม่ในอนาคต (สำรองจ่ายแล้วเคลมตรง)
- OPD แบบไม่เจาะจง ได้วงเงินที่ 15,000 บ. ต่อปี
- OPD ค่ารักษาทั่วไป (Fax-Claim) รวมถึง OPD ตามหมวดเจาะจงด้านบนแต่ดูแลไม่เกินวงเงิน
- OPD ค่าฉีดวัคซีน ตรวจสุขภาพ (สำรองจ่ายแล้วเคลมตรง)
ทั้ง 2 แบบ OPD นี้ จะอยู่ในประกันสุขภาพคนละแบบ ที่มีเบี้ยใกล้เคียงกัน โดยแบบหนึ่งให้ OPD แบบเฉพาะเจาะจงที่จ่ายตามจริง แต่แบบหนึ่งให้ OPD ไม่เจาะจงกับวงเงิน 15,000 บ. ต่อปี
โดยการเลือกว่าจะเอา OPD แบบใดนั้น จะจำเป็นต้องมองว่า แบบใดที่จะสามารถรับความเสี่ยงเองได้ราคาไม่แพงมาก แบบใดที่อยากที่จะโอนความเสี่ยงมากกว่าด้วยราคาสูงเกินไป
หน้าที่ของประกันสุขภาพ คือ เพื่อโอนความเสี่ยงที่รับเองไม่ไหว รวมถึงไม่ใช่ทุกความเสี่ยงที่ประกันสุขภาพจะรับไว้ให้ได้ เพราะประกันสุขภาพเองก็มีข้อยกเว้นความคุ้มครองบางอย่างด้วยเหมือนกันที่ควรต้องทำความเข้าใจให้เรียบร้อยก่อนสมัครทำประกัน และต้องระวังการเคลมเกิมมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะนำไปสู่ไปบทลงโทษ Copayment ในปีกรมธรรม์ถัดไปได้
ระเบิดเวลาลูกที่ 6 : หน้าที่ของผู้สมัครทำประกัน เตรียมความพร้อมสำหรับขบวนการพิจารณา
การทำประกันสุขภาพ เป็นหนึ่งในแบบประกันที่มีการคัดกรองที่ละเอียดมากที่สุดก่อนรับทำประกัน ซึ่งจะไม่ได้คัดกรองเฉพาะก่อนรับทำประกันเท่านั้น โดยหลังรับทำประกันไปแล้ว หากพบว่ามีการปกปิดประวัติ/ไม่แถลงสุขภาพบางอย่าง ก็อาจส่งผลให้ถูกยกเลิกสัญญาหรือไม่ต่ออายุได้
และที่สำคัญ บันทึกที่แพทย์บอกกว่าปกติ(ไม่ต้องรักษา) อาจจะไม่ปกติในสายตาของแพทย์ที่พิจารณารับประกัน(ความเสี่ยง) ดังนั้น ไม่ต้องรักษา จึงไม่เท่ากับ ไม่มีความเสี่ยง
การทำความเข้าใจขบวนการพิจารณาให้ดีจึงสำคัญอย่างมาก เพราะจะทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า แพ็คเกจโปรโมชันการตรวจสุขภาพของ รพ.เอกชน นั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง
รวมถึงความจำเป็นที่ต้องเตรียมประวัติการรักษาทั้งหมดเพื่อใช้ในการยื่นสมัครทำประกันสุขภาพหลาย ๆ บริษัทพร้อมกัน และสามารถเลือกบริษัทที่มีข้อเสนอยกเว้นความคุ้มครองตามความเสี่ยงที่อยู่ในประวัติการรักษาที่น้อยที่สุดได้
ระเบิดเวลาลูกที่ 7 : การพิจารณา มี/ไม่มี Deductible
ปัจจุบัน บริษัทประกันได้นำค่ารับผิดส่วนแรก (Deductible) มาใช้ในแบบประกันสุขภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อที่จะสามารถลดเบี้ยประกันลงได้ แต่ยังคงให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมและวงเงินสูงได้เหมือนเดิม
และ Deductible ยังมีข้อดีตรงที่ ทำให้ผู้ทำประกันสุขภาพได้ทราบชัดเจนว่าต้องรับผิดชอบเองเท่าใด (หรือใช้ประกันกลุ่มจ่ายส่วนที่ต้องรับผิดสอบเอง)
อย่างไรก็ตามการเก็บเงินเพื่อจ่ายทั้ง ค่าเบี้ยประกัน และ ค่ารับผิดส่วนแรก นั้น จะจำเป็นต้องนำมาเปรียบเทียบกับแบบที่จ่ายเฉพาะเบี้ยประกันอย่างเดียว ว่าแบบใดจะใช้เงินได้น้อยกว่ากัน ดังในบทความต่อไปนี้
ระเบิดเวลาลูกที่ 8 : การพิจารณาทุนชีวิต และ อนุสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครอง
ต้องยอมรับว่าประกันสุขภาพนั้นจะเน้นเพียงค่ารักษาเฉพาะที่ แพทยสภารับรอง อย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่ได้คุ้มครองไปถึงนวัตกรรมการรักษาแบบใหม่ในทันที ต่อให้แบบประกันสุขภาพนั้น ๆ จะมีการระบุว่ารองรับนวัตกรรมการรักษาแบบใหม่ก็ตาม (แต่ก็ต้องรอให้แพทยสภารับรองก่อนอยู่ดี)
รวมถึงประกันสุขภาพไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ต่อไปนี้
- ค่าเดินทาง
- ค่าชดเชยที่ต้องนอน รพ.
- ค่าชดเชยการขาดรายได้ระหว่างการรักษา โดยเฉพาะการรักษาโรคร้ายแรงที่ทำให้ต้องหยุดการทำงานมากกว่า 1 ปีขึ้นไป
- ค่าใช้จ่ายระหว่างการปรับตัวหลังการรักษาโรคร้าย ที่ร่างกายไม่สามารถกลับมาทำงานหนักเหมือนเดิมได้อีก
- ค่ารักษาอุบัติเหตุผู้ป่วยนอกที่ต้องติดอาการนานหลายเดือน
ทำให้การพิจารณาสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองอื่น ๆ ที่จะใช้แนบเพิ่มความคุ้มครองให้กับสัญญาหลักประกันชีวิต (ทุนชีวิตขั้นต่ำควรเน้นเพียงพอกับค่าฌาปนกิจ) เพื่อสามารถโอนความเสี่ยงอื่น ๆ ที่สัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองประกันสุขภาพไม่ได้ครอบคลุม
**หมายเหตุ :
- ประกันชีวิตทุนต่ำสุด 50,000 บ. แต่ต้องจ่ายเบี้ยถึงอายุ 99 ปี แม้เบี้ยปีแรกจะน้อยกว่า แต่สามารถมีเบี้ยประกันรวมทั้งสัญญาที่สูงกว่า ประกันชีวิตทุน 100,000 บ. ที่จ่ายเบี้ย 20 ปีได้ (ปัจจุบันค่าจัดงานฌาปนกิจรวมทุกกระบวนการจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่หลักแสนบาทขึ้นไป)
- ค่ารักษาอุบัติเหตุผู้ป่วยนอก เพียงบาดเจ็บเล็กน้อยค่ารักษาผู้ป่วยนอก รพ.เอกชน ทั่วไปก็เกือบหมื่นได้ไม่ยาก ไม่นับรวมที่เกี่ยวข้องกับกระดูกร้าวหรือหัก หรือการบาดเจ็บที่ต้องล้างแผล Follow up มากกว่า 1 เดือนขึ้นไป ซึ่งประกันสุขภาพส่วนใหญ่ไม่สามารถคุ้มครอง OPD ที่ค่าใช้จ่ายสูงและ Follow up นานแบบนี้ได้
ระเบิดเวลาลูกที่ 9 : ขบวนการเคลมประกันสุขภาพ
การเข้าใจขั้นตอนทั้งหมดตั้งแต่เข้า/ออกจาก รพ. เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ได้เตรียมความพร้อมไว้ก่อน เช่น การตรวจสอบ รพ.คู่สัญญาว่า Fax-Claim ในเรื่องใดได้บ้าง จะมีโอกาสต้องสำรองจ่ายในเรื่องใดได้บ้าง ขบวนการเคลมเป็นอย่างไร ต้องระวังเรื่องใดบ้างในตอนพบแพทย์ เป็นต้น
ซึ่งแม้ขั้นตอนในปัจจุบันโดยเฉพาะในรพ.เอกชน จะอำนวยความสะดวกอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามก็จำเป็นต้องเข้าใจขบวนการเคลมก่อนเคลมจริงเสมอ
ระเบิดเวลาลูกที่ 10 : เบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณ
เมื่อมีประกันสุขภาพเรียบร้อย สิ่งสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ยังคงสามารถมีประกันสุขภาพ หรือจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพได้ไหวในช่วงอายุเกษียณ เพราะช่วงอายุเกษียณเป็นช่วงที่มีโอกาสใช้ประกันสุขภาพมากที่สุด แต่ก็มักเป็นช่วงที่ขาดรายได้ไปด้วย
ดังนั้นการวางแผนการเงินผ่านเครื่องมือการเงินอย่าง ประกันบำนาญและกองทุนรวม จึงเป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้เงินก้อนน้อยได้เติบโตมาเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับทยอยจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพได้ตลอดชีพ
และนี้คือระเบิดเวลาทั้งหมด 10 ลูก ที่ควรทำความเข้าใจก่อนสมัครทำประกันสุขภาพ เพราะถ้าหากเข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริษัทประกัน หรือตัวแทนแบบใด ก็ยากที่จะใช้โฆษณาชวนเชื่อเพื่อหลอกให้สมัครทำประกันสุขภาพแบบมีระเบิดเวลาได้อีก
รวมถึงหากเข้าใจระเบิดเวลาเหล่านี้แล้ว ยังสามารถช่วยให้ผู้สมัครทำประกันสุขภาพรักษาผลประโยชน์ของตนเองได้มากที่สุดอีกด้วย
สรุปควรเลือกประกันสุขภาพแบบใด
การเลือกแบบประกันสุขภาพที่ดีนั้น จะไม่ได้มองหาประกันสุขภาพเฉพาะให้เต็มสิทธิลดหย่อนภาษี 25,000 บ. เท่านั้น แต่จะมองลึกมากขึ้นถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ร่วมด้วย

เป็นแบบประกันสุขภาพที่คุ้มครองค่ารักษาโรคที่แพงที่สุดได้
"มะเร็ง" ยังคงเป็นโรคที่มีค่ารักษาสูงที่สุดในปัจจุบัน ดังนั้นในเมื่อต้องจ่ายเบี้ยไปแล้ว ก็ต้องมั่นใจว่าจะได้รับความสบายใจเรื่องค่ารักษาแลกมาจริงๆ ไม่ใช่จ่ายเบี้ยแล้วยังต้องเก็บความกังวลใจในบางโรคไว้อยู่ ซึ่งแบบนี้จะไม่ค่อยมีใครอยากได้
โดยต้องให้ความคุ้มครองการรักษามะเร็งตั้งแต่ การตรวจวินิจฉัยOPD การผ่าตัดIPD การฟื้นฟูร่างกายIPD/OPD การให้ยาOPD การตรวจติดตามผลOPD เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนใดก็ตาม ค่าใช้จ่ายการรักษาโรคมะเร็งใน รพ.เอกชน มักจะสูงถึงหลักแสนขึ้นไปเสมอ (ยังไม่นับรวมไปถึงว่ามะเร็งเป็นโรคที่ต้องรักษาต่อเนื่องกว่า 5 ปีขึ้นไปจนถึงตลอดชีวิต)
เป็นแบบประกันสุขภาพที่สามารถคุ้มครองได้ตลอดชีวิต
คือให้ความคุ้มครองที่รวมไปถึงวิทยาการสมัยใหม่ในอนาคตด้วย เพื่อจะได้ไม่ต้องคอยเปลี่ยนแบบประกันสุขภาพให้ทันสมัยตามวิทยาการการรักษา (เช่น ยาภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งผู้ป่วยนอก)
เพราะหากมีการเคลมบางโรคไปแล้ว การเปลี่ยนแบบประกันสุขภาพเป็นตัวใหม่อาจจะทำได้ยาก และโดนยกเว้นความคุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนแน่นอน
อย่างไรก็ตามด้วยความคุ้มครองที่ครอบคลุมและวงเงินที่สูง แบบประกันสุขภาพลักษณะนี้ จึงมีเบี้ยประกันตอนสูงอายุที่สูงอย่างมาก ทำให้การศึกษาและเตรียมการจัดการเบี้ยประกันหลังเกษียณตั้งแต่ยังอยู่ในวัยทำงาน จะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
เพราะจะสามารถช่วยประหยัดเบี้ยประกันได้สูงถึง 50%-90% และเครื่องมือการเงินที่ใช้ในการจัดการก็ยังสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
ทั้งนี้หากมีประกันสุขภาพตัวหลักที่ดูแลค่ารักษามะเร็งแบบผู้ป่วยนอก 5 ล้านบาทขึ้นไปต่อปีเรียบร้อย (ค่ารักษาในปัจจุบัน) แต่ประกันสุขภาพตัวหลักให้ค่าห้องที่ค่อนข้างน้อย การเสริมด้วยประกันสุขภาพที่เน้นเรื่องค่าห้อง ให้เป็นตัวเสริมอย่างเช่น "สัญญา Happy Health แบบมีรับผิดส่วนแรก 100,000 บ." จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
เนื่องจากแบบประกันสุขภาพลักษณะนี้จะจ่ายตามจริงของห้องเดี่ยวราคาเริ่มต้นของ รพ. นั้น ๆ จึงเป็นประกันสุขภาพตัวเสริมที่ดีที่สุดตัวหนึ่งในตลาดปัจจจุบัน
แบบประกันสุขภาพ BLA

ประกันสุขภาพเป็นรูปแบบประกันที่ควรให้เวลาศึกษาทำความเข้าใจให้ดีที่สุดก่อนตัดสินใจ โดยอย่างน้อยควรเข้าใจหมวดความคุ้มครองตามมาตรฐานประกันสุขภาพให้ได้ และควรมีโอกาสได้ศึกษาตัวอย่างกรมธรรม์จริงๆ ของแบบประกันสุขภาพที่สนใจ
การศึกษาแบบประกันสุขภาพตอนแรกอาจมองเป็นเรื่องยุ่งยากแต่ก็คุ้มค่า เพราะเสียเวลาทำความเข้าใจเพียงครั้งเดียวก็สามารถใช้ได้ไปตลอดชีวิต โดยเฉพาะกับแบบประกันสุขภาพที่เน้นตลอดชีวิต หรือ สำหรับวางแผนเกษียณในอนาคตจริง ๆ
ทั้งนี้จะสามารถศึกษารายละเอียดเจาะลึกเกี่ยวกับแบบประกันสุขภาพเพิ่มเติมของทาง BLA ได้ที่ปุ่มด้านล่างนี้
เริ่มวางรากฐานให้กับ "แผนเกษียณ" อย่างจริงจัง
ด้วย Framework การใช้เครื่องมือการเงินลดหย่อนภาษี ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
"ตน (ในปัจจุบัน) จะเป็นที่พึ่งของตน (ในอนาคต)"




