คู่มือเลือกเปรียบเทียบประกันสุขภาพ BLA 2022/2565 แบบใดดีที่เหมาะกับคุณและครอบครัวที่สุด
ประกันสุขภาพ BLA Happy Health 1-10 ล้านบาทต่อครั้ง และ Prestige Health 10-100 ล้านบาทต่อปี แบบใดที่จะเหมาะกับคุณและครอบครัว รวมถึงประเด็นที่ต้องพิจารณาเปรียบเทียบทั้งหมด พร้อมแง่มุมเปรียบเทียบกับบริษัทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ
หมายเหตุ : บทความนี้จะเหมาะกับท่านที่ต้องการให้อธิบายเปิดเผยทุกอย่างก่อนตัดสินใจเลือกประกันสุขภาพ BLA โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สามารถทำประกันทางออนไลน์ได้ ทาง Release your Risk จึงให้ความสำคัญกับการอธิบายแจ้งหมดทุกอย่างเป็นที่หนึ่ง เพื่อให้เหมาะสมกับสัญญาสุขภาพที่มีเบี้ยรวมกันทั้งหมดกว่าหลักล้านบาทขึ้นไปและเป็นสัญญาระยะยาวที่นานจนถึงอายุครบ 99 ปี ทั้งนี้หากท่านยังไม่เคยทำประกันสุขภาพมาก่อน จะสามารถทำความเข้าใจประกันสุขภาพได้ที่ คู่มือการเลือกประกันสุขภาพฉบับเริ่มต้น เพื่อช่วยให้เข้าใจบทความนี้ได้ง่ายมากขึ้น (ทั้งนี้แบบประกัน Prestige Health ได้เปลี่ยนเป็น Prestige Health ปลดล็อค ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 66 เป็นต้นไป)
❐ สัญญาประกันสุขภาพหนึ่งในสัญญาที่มีรายละเอียดมากที่สุด โดยแต่ละบริษัทจะทำแบบประกันให้แตกต่างกันเพื่อให้ยากต่อการเปรียบเทียบเพื่อใช้ในการแข่งขัน หรือแม้บริษัทเดียวกันก็ไม่ง่ายนักที่จะเปรียบเทียบ
❐ หน้าที่ของผู้แนะนำหรือตัวแทน ในขั้นตอนแรก คือ การให้ความรู้ความเข้าใจมากที่สุดประกอบการตัดสินใจทำสัญญาใดๆ ก็ตาม เพื่อให้ได้สัญญาที่ตรงตามความต้องการ และสามารถมีสัญญานี้ต่อไปได้จนตลอดชีวิต ทั้งนี้ "สัญญานี้เป็นสัญญา 2 ฝ่าย ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายต้องเลือกซี่งกันและกัน ไม่ใช่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลือกเท่านั้น"
ประกันสุขภาพ BLA ทั้งหมดที่เปิดให้ทำสัญญาได้ในปัจจุบันนั้น
- จะเป็นประกันสุขภาพมาตรฐานใหม่ที่ไม่มีเงื่อนไข Copayment
- การจะเปลี่ยนแปลงเบี้ยที่นอกเหนือจากตารางเบี้ยได้นั้นจะต้องเป็นการปรับเบี้ยทั้งแบบประกัน (portfolio) จะไม่ได้ปรับเฉพาะรายบุคคล
- ไม่มีเงื่อนไขระยะรอคอยการ Fax-Claim นอกเหนือจากระยะรอคอย 30 วันในโรคทั่วไป และ 120 วันในโรคที่ซับซ้อนตามปกติ
- ไม่มีเงื่อนไขการสำรองจ่ายทุกกรณี ในหมวดค่ารักษาที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยนอกโดยตรง เช่น ค่ายามะเร็ง ค่าล้างไต ค่าOPD ค่าอุบัติเหตุผู้ป่วยนอก
- มีการโอนความเสี่ยงให้กับบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศ ไม่ได้รับความเสี่ยงไว้เองตามลำพัง เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ทำประกัน
หมายเหตุ : จากคุณสมบัติเหล่านี้เองจึงทำให้ แบบประกันสุขภาพของ BLA โดยเฉพาะแบบ Prestige Health มีความเข้มงวดในการรับประกันที่สูงมาก และมักมีข้อเสนอยกเว้นความคุ้มครองบางอย่างหรือเลื่อนการรับประกันออกไป 6 เดือน-1 ปี จากทั้งประวัติการรักษาและประวัติการตรวจสุขภาพ โดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มได้ที่บทความ วิธีการแถลงสุขภาพ และ ข้อเสนอยกเว้นความคุ้มครองต่างๆ
❐ สามารถกดแชร์เพื่อเก็บไว้อ่านภายหลังในยามว่างได้ค่ะ
ขั้นที่ 1. ตรวจสอบสถิติอาการป่วยที่ควรโอนความเสี่ยง
สถิติอาการป่วยที่ส่งผลถึงชีวิต
สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดของการการเลือกประกันสุขภาพ คือ การตัดสินใจ ว่าจะเข้าร่วมกับคนจำนวนมากเพื่อ เฉลี่ยความเสี่ยงในโรคหรืออาการที่ร้ายแรงใด ทำให้การพิจารณา สถิติของโรคที่ทำให้เสียชีวิต 5 อันดับแรก จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก จากภาพที่แสดง คือ สถิติที่สะท้อนถึงปัญหาการเสียชีวิตได้อย่างชัดเจนว่ามีสาเหตุมาจากโรคมะเร็ง นอกจากนี้ในแง่สถิติการเคลมประกันโรคร้ายแรง ตัวโรค มะเร็งก็มีอัตราการเคลมสูงถึง 80% เมื่อเทียบกับโรคร้ายแรงอื่น ๆ โดยเฉพาะมะเร็งในผู้หญิง!!
และจากสถิติย้อนหลังในกราฟต่อไปนี้ หากนำปัจจัยการเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุเข้ามาร่วมด้วย (คนทั่วไปต่างคิดว่าน่าจะเสียชีวิตมากกว่าการป่วยด้วยโรคร้าย แต่ตามสถิติแล้วกลับไม่ใช่) ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนว่า สาเหตุการตายจากมะเร็งแซงหน้าสาเหตุการตายจากอุบัติเหตุไปไกลมากแล้ว หรือถ้าหากไม่นับโรคมะเร็ง การรวมยอดเสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมอง กับโรคหัวใจเข้าด้วยกัน ก็จะมียอดเสียชีวิตที่สูงกว่าอุบัติเหตุเช่นกันค่ะ
แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือ เมื่อพิจารณาสถิติโรคมะเร็งล่าสุดจาก WHO ในส่วนของ Globalcan ปี 2020 พบว่าประเทศไทยมีการตรวจพบผู้ป่วยมะเร็งใหม่ในปีเดียวสูงถึง 190,636 ราย จากประชากร 69,799,978 คน (ขณะที่ปี 2014 ตรวจพบผู้ป่วยมะเร็งเพียง 122,757 ราย)
โดยจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตในปี 2020 อยู่ที่ 124,866 ราย (ขณะที่ปี 2014 มียอดผู้เสียชีวิต 70,075 ราย) หรือเมื่อรวมยอดเสียชีวิตตั้งแต่ปี 1996-2011 มียอดถึง 840,000 ราย (โดยประมาณ)
จากยอดการเสียชีวิตที่สูงขนาดนี้ ด้วยเพราะ "หากเป็นมะเร็งแล้ว ต้องเสียชีวิตเสมอไปหรือไม่"
จากรูปด้านบนเมื่อเทียบ ยอดผู้ป่วยรายใหม่ กับ ยอดผู้ป่วยเสียชีวิต จะเห็นได้ชัดเจนว่าการเสียชีวิตโดยส่วนใหญ่มีสาเหตุจาก มะเร็งตับและมะเร็งปอด ซึ่งเป็น 2 มะเร็งสำคัญที่มีอัตราการตรวจพบและการเสียชีวิตที่ใกล้เคียงกันมาก เนื่องด้วยตับและปอดเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ต้องเสียหายอย่างหนักแล้วเท่านั้น จึงจะเริ่มแสดงอาการผิดปกติออกมาสู่ภายนอก และแน่นอนว่าเมื่อไปตรวจก็มักจะพบว่าเป็น มะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว
ดังนั้น การตรวจยีนมะเร็งและการตรวจคัดกรองมะเร็งตั้งแต่เนิ่น ๆ พร้อมเตรียมแผนจัดการกับค่าใช้จ่าย ค่ารักษา (หากโชคร้ายต้องตรวจพบ) จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากค่ะ
เพราะทั้งยอดผู้ป่วยใหม่และยอดผู้เสียชีวิต ต่างทยอยเพิ่มมากขึ้นในทุกปี เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของประเทศไทยที่ทยอยลดลงไปเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงแทบจะบอกได้เลยว่า.. หนึ่งในคนที่เราเคยรู้จัก (ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม) จะต้องมีผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งหรือเสียชีวิตเพราะมะเร็งอยู่แล้วบ้าง
ปัจจัยที่ส่งเสริมความเสี่ยงของโรคร้าย
ด้านหัวใจ สมอง ปอด ตับ ไต และมะเร็ง
☑ ตระกูลมีประวัติการป่วยเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะตอนอายุยังน้อยเช่นไม่ถึง 40 ปี
☑ ใช้ชีวิตสไตล์ Work Hard, Play Harder, Eat Harder, No Exercise, Sleepless
☑ ทานอาหารที่มีปัจจัยเสี่ยงประจำปริมาณมาก เนื้อปิ้งย่าง เนื้อแปรรูป เหล้าเบียร์
☑ มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ท้องผูกเป็นประจำ ไม่ชอบทานผักและผลไม้
☑ ดื่มน้ำเปล่าน้อยมากต่อวัน หรือน้อยกว่าการดื่มน้ำหวาน ชา กาแฟ
☑ ทานอาหารไม่เป็นเวลา ทานจุกจิก ทานมื้อดึกเป็นประจำ
☑ ใช้ชีวิตที่หลีกเลี่ยงมลภาวะอย่าง PM 2.5 ไม่ได้ หรือต้องอยู่ใกล้คนสูบบุหรี่ ธูป ควัน
☑ ดูแลโปรเจ็ค ควบคุม ประสานงาน อยู่ในสภาวะกดดันความเครียดสะสม
☑ มีความรู้สึกว่าร่างกายเริ่มไม่เหมือนเดิมมากขึ้น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หอบ ไอ
☑ ผู้หญิงที่มีบุตรตอนอายุ 30 ปีขึ้นไป หรืออายุเกือบ 40 ปี หรือไม่มีบุตร
☑ ผู้หญิงที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน HPV
☑ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบทั้ง A และ B
ขั้นที่ 2. ตรวจสอบค่ารักษาก่อนเลือกแบบประกัน
จากค่าใช้จ่าย (รูปด้านบน) นี่อาจเป็นข้อสรุปที่ชัดเจนว่า เหตุใดมะเร็งจึงเป็นโรคอันดับ 1 ที่ทำให้เสียชีวิต แล้วจึงตามมาด้วยหลอดเลือดสมอง ปอด และหัวใจ เพราะด้วยเรื่องค่ารักษามะเร็งที่สูงอย่างมากและต้องรักษาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีวันจบ
หลายคนมักพูดว่า "โจรปล้นสิบครั้ง ยังไม่เท่ากับไฟไหม้บ้านครั้งเดียว" แต่ถ้า.. ไฟไหม้บ้านสามครั้ง อาจยังไม่เท่ากับค่ารักษามะเร็งของคน ๆ เดียว และที่สำคัญ.. มะเร็งยังกลับมาเป็นซ้ำได้อีกทั้งจากปัจจัยเดิมหรือแม้แต่ปัจจัยจากยาที่ใช้ในการรักษา (การรักษามะเร็งระยะสุดท้ายจะเน้นเพียงการประคับประคองอาการ ซึ่งจะหมดค่ารักษาไปเรื่อย ๆ จนเหนื่อยและท้อ)
และคุณกับครอบครัวอาจจะเริ่มรู้สึกว่าจริง ๆ แล้ว "คุณหมอ" กับ "โจรปล้น" มีความคล้ายกัน เพียงแต่โจรปล้นเอาเงินไปได้เท่าที่มีติดตัวคุณแค่นั้น แต่สำหรับคุณหมอสามารถปล้นได้มากกว่าที่คุณมีติดตัว โดยคุณกับครอบครัวต้องเอาเงินไปให้ แม้ไม่มีเงิน คุณก็ต้องไปกู้หรือขอยืมคนอื่นมาให้ บ้างก็ขายบ้าน ขายรถ ขายทรัพย์สินทั้งหมดที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงทั้งชีวิต จนสุดท้ายคนไข้ก็อยากที่จะหยุดรักษา เพียงเพราะว่า
“หากยังรักษาต่อไป อาจต้องทำให้ครอบครัวล้มละลายและมีหนี้ก้อนใหญ่พร้อมกับภาระอีกมากมาย”
นอกจากนี้ มะเร็งยังเป็นโรคที่มีค่ารักษาผู้ป่วยนอก (OPD) สูงที่สุด ทั้งการตรวจวินิจฉัย การติดตามอาการ และค่ายาต่าง ๆ โดยเฉพาะเมื่อมะเร็งได้ลุกลามไปยังระยะที่ 3-4 แล้ว อาจจะไม่สามารถรักษาโดยการผ่าตัดเป็นผู้ป่วยใน (IPD) ได้แล้ว
การหวังพึ่งสวัสดิการรัฐอาจเสี่ยงเกินไป เพราะการจะลัดคิว (ที่ปกติต้องรอ 2-6 เดือน) เพื่อให้ได้ใช้เครื่องตรวจฉายภาพขั้นสูงต่าง ๆ นั้นคงทำได้ยาก ดังนั้นต้องรอตามคิวรักษา และเมื่อถึงคิว.. มะเร็งที่กำลังเป็นอยู่อาจจะลุกลามถึงขั้นอันตรายแล้ว ยังไม่นับรวมการต้องรอคิวจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (คิวเครื่องอาจจะได้ แต่คิวหมออ่านผลอาจจะไม่ได้)
ซึ่งถ้าไม่ต้องการรอคิวนานลักษณะนี้ก็จำเป็นต้องไป รพ. เอกชน และค่าใช้จ่ายการตรวจวินิจฉัยเหล่านี้จะไต่ระดับขึ้นหลักแสน โดยที่ยังไม่ได้เริ่มรักษา
ที่สำคัญขั้นตอน การรักษาตามสวัสดิการรัฐจะเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดมาแล้ว แม้แพทย์คาดว่า การรักษาแบบนี้จะได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผล ก็ไม่สามารถข้ามขั้นตอนไปยังการรักษาที่ได้ผลดีกว่าได้ ทุกอย่างต้องเป็นตามขั้นตอน หากผิดลำดับแม้แต่นิดเดียว ผู้ป่วยจะไม่สามารถเบิกสิทธิสวัสดิการรัฐได้
ดังนั้นการเลือกแบบประกันสุขภาพจึงต้องมั่นใจว่า จะครอบคลุมการรักษาโรคเหล่านี้ได้ ไม่งั้นประกันสุขภาพที่ได้มาอาจจะเพียงพอดูแลเฉพาะโรคทั่วไปที่สามารถรับมือค่าใช้จ่ายเองได้ไหว แต่กลับไม่เพียงพอสำหรับโรคร้ายรุนแรงที่คุณไม่สามารถรับมือค่าใช้จ่ายเองตามลำพังไหว
ทางเราจึงคิดเสมอว่า ในวัยเรียนควรมีวิชาที่สอนเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายโรคร้ายเหล่านี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะวิชาทางด้านการเงิน
เพราะจะส่งผลให้ต้องรีบทำประกันสุขภาพโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ตามช่วงอายุต่าง ๆ ต่อไปนี้ (ซึ่งอาจจะสายไปแล้วที่จะได้รับความคุ้มครองอย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ สำหรับบางช่วงอายุ)
- อายุ 11-22 : ทำประกันสุขภาพได้ง่ายที่สุด ยังไม่(ค่อย)มีประวัติการรักษาใด ๆ เบี้ยถูก วางแผนการเงินง่าย
- อายุ 23-29 : ใช้ร่างกายค่อนข้างหนัก เริ่มมีประวัติจากการตรวจสุขภาพและใช้ประกันกลุ่มของบริษัท
- อายุ 30-35 : เห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายชัดเจน เริ่มเห็นความสำคัญของประกันสุขภาพแต่ก็มีประวัติสุขภาพแล้วบ้าง
- อายุ 36-44 : เริ่มมีความมั่นคงทางการเงิน มีครอบครัว เริ่มศึกษาเครื่องมือทางการเงินจริงจัง และ(อาจ)มีโรคประจำตัว
- อายุ 45-49 : ร่างกายถดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ต้องดูแลร่างกายมากกว่าเดิม เบี้ยประกันเริ่มสูง จึงต้องวางแผนประกันอย่างจริงจัง
- อายุ 50-55 : เริ่มเข้า-ออก รพ. มากขึ้น ส่วนใหญ่(มัก)ถูกขอให้ตรวจสุขภาพก่อนทำประกัน เบี้ยสูงพร้อมข้อยกเว้นและเพิ่มเบี้ยประกัน
- อายุ 56-60 : ลูก ๆ เริ่มสนใจทำประกันให้พ่อแม่แต่ขั้นตอนยุ่งยาก ได้เห็นว่าค่าใช้จ่ายของ รพ. สูงมาก เบี้ยประกันสูงมากเช่นกัน
- อายุ 61-80 : มีโอกาสทำประกันได้เฉพาะร่างกายแข็งแรงจริง ๆ แต่มักติดปัญหาที่เบี้ยประกันสูงลิ่วที่ไม่ได้วางแผนใด ๆ ไว้ก่อน
ข้อควรคำนึง : การมีเงินสดกันเอาไว้จำนวนมาก(หลายล้านบาท) หรือ การมีประกันสุขภาพที่มีวงเงินเพียงพอสำหรับดูแลค่ารักษาโรคมะเร็ง ทั้งในโรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลรัฐแบบเน้นออกเงินเองได้นั้น ไม่ได้การันตีว่าจะรักษามะเร็งหายได้ เพราะการรักษาแต่ละแบบไม่ใช่ว่าจะได้ผลดีเหมือนกันในทุก ๆ คน บางคนใช้ยาหลักตามสวัสดิการภาครัฐก็ทำให้มะเร็งสงบได้ บางคนมีเงินได้เลือกยาและวิธีการรักษาที่ดีและเร็วที่สุดแต่ก็ไม่สามารถยับยั้งมะเร็งได้
ดังนั้นการมีเงินจำนวนมากหรือรวมกลุ่มเฉลี่ยภัยร่วมกันผ่านประกันสุขภาพ จึงช่วยได้เพียงให้มีทางเลือกในการรักษา กับทางเลือกในการรับบริการที่หลากหลายกว่า หรืออย่างน้อยไม่ต้องรู้สึกอึดอัดใจเมื่อโชคร้ายได้รับบริการที่ไม่ดีหรือไม่ถนอมน้ำใจ เพียงเพราะเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเท่านั้น (ประสบการณ์ตรงของแอนนี่เองที่หลานชายเป็นโรคหัวใจตั้งแต่กำเนิดต้องรักษาติดตามอาการไปตลอดชีวิต ทั้งยังหมดโอกาสทำประกันแทบทุกรูปแบบ จึงต้องอาศัยสวัสดิการรัฐเท่านั้นเพราะค่ารักษาที่สูงมาก ซึ่งวันไหนดีก็ดีใจหาย วันไหนไม่ดีก็ได้แต่ปลอบตนเองว่าเรามาขอใช้สวัสดิการฟรี และบุคลากรวันนั้นคงจะยุ่งมากจริง ๆ)
หมายเหตุ : แม้แต่ประกันสุขภาพมาตรฐานใหม่เองก็มีลำดับขั้นตอนในการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการรักษา โดยเฉพาะเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่ผ่านขั้นตอนการศึกษาจนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นพื้นฐานในประเทศไทย อย่างยาภูมิคุ้มกันบำบัดแบบผู้ป่วยนอก
ที่พื้นฐานปัจจุบันจะต้องรักษาด้วยยาพุ่งเป้าก่อน(โดยเฉพาะมะเร็งระยะ3-4) และเมื่อเห็นว่า ไม่ได้ผล จึงทำบันทึกขอความอนุโลมใช้เป็นยาภูมิคุ้มกันบำบัดในลำดับถัดไป ถึงแม้ 3-5 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมแล้วว่า การให้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดตั้งแต่ระยะที่ 0-2 จะได้ผลดีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองเท่านั้น
ทำให้มาตรฐานประกันสุขภาพปัจจุบันจึงยังไม่ได้กำหนดให้ใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดแบบผู้ป่วยนอกไว้ชัดเจนในกรมธรรม์ เหมือนยาพุ่งเป้าหรือการรักษาอื่น ๆ ที่ต้องเป็นผู้ป่วยนอก ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายของทั้งยาพุ่งเป้า และค่าใช้จ่ายยาภูมิคุ้มกันบำบัด มีค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ายาในปัจจุบันสูงถึงปีละ 3-5 ล้านบาท (ไม่รวมค่าตรวจและรักษาอื่น ๆ และไม่รวมยาในอนาคต) และมัก(ต้อง)ทานยาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ทุกปี(โดยเฉพาะระยะ 3-4) จนกว่ายาจะไม่ได้ผลแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นยาใหม่ที่(อาจ)แพงขึ้น
ล่าสุดมีเครื่องฉายรังสีตัวใหม่ที่มีความแม่นยำและลดผลกระทบกับอวัยวะใกล้เคียงได้อย่างมาก ซึ่งเหมาะกับฉายในส่วนสมองและส่วนตับ แต่ราคาต่อคอร์สการใช้งานจะสูงถึงหลักล้าน ยกเว้นว่าเป็นมะเร็งที่สามารถเข้าร่วมโครงการวิจัยได้ ก็จะสามารถเสียค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่ลดลงอย่างมากได้ (สวัสดิการรัฐจะมีวงเงินให้จำกัดจึงทำให้ได้เฉพาะ VMAT หรือต้องออกส่วนต่างเอง)
ขั้นที่ 3. ตรวจสอบวิธีการจัดการเบี้ยตอนเกษียณ
ก่อนที่จะพิจารณาแบบประกันสุขภาพที่จะมาคุ้มครองค่าใช้จ่ายโรคร้ายที่ไม่รู้งบประมาณเหล่านี้ ให้สามารถรู้งบประมาณผ่านเบี้ยประกันและสามารถวางแผนการเงินได้นั้น
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกันก่อน คือ เบี้ยประกันสุขภาพนั้นไม่คงที่ โดยเบี้ยก่อนเกษียณจะค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่ เบี้ยหลังเกษียณจะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด!!
เมื่ออายุสูงมากขึ้นโดยเฉพาะหลังเกษียณ เบี้ยประกันจะสูงขึ้นอย่างมาก และเป็นช่วงอายุที่อาจไม่ได้มีรายได้เข้ามาแล้ว
การแก้ไขปัญหาเบี้ยสุขภาพช่วงสูงอายุจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากเพราะช่วงชีวิตหลังเกษียณจะมีโอกาสใช้ประกันสุขภาพมากที่สุด
ทั้งนี้ทาง Release your Risk เอง จะเน้นวิธีการแก้ไขปัญหาเบี้ยตอนเกษียณด้วยวิธีต่อไปนี้
**พิเศษเฉพาะ RELEASE YOUR RISK สามารถคำนวณให้ได้ทุกปี (เมื่อลงทุนแต่ละปีไม่เท่ากัน)
❒ ที่มา : วิธีนี้จะเน้นคำนวณเงินที่แนะนำให้ลงทุนใน กองทุน RMF/SSF ในแต่ละปีที่แตกต่างกันได้ตามสภาพคล่องปีนั้น ๆ เพื่อวางแผนมาช่วยในการจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพแบบปกติในตอนเกษียณ และได้ลดหย่อนภาษีไปในตัว รวมถึงมีการวางแผนการลงทุนหลังเกษียณแบบ Time-based Segmentation ที่จะแบ่งเงินเป็น 3 กอง กองที่ต้องใช้ใน 15-16 ปีแรกก็จะความเสี่ยงต่ำ กองที่ต้องใช้ในอีก 15 ปีข้างหน้าก็ความเสี่ยงสูง และกองที่ต้องใช้ในอีก 30 ปีข้างหน้าก็จะความเสี่ยงสูงมาก เรียกว่าปรับความเสี่ยงการลงทุนตามโอกาสที่จะอายุยืนถึงได้นั้นเองป
❒ ข้อดี : รู้เป้าหมายเงินที่จะใช้ชัดเจน มีความยืดหยุ่นในการลงทุนไม่ต้องเท่ากันทุกปีก็ได้ ได้ลดหย่อนภาษีเพิ่มและเงินคืนจากการลดหย่อนภาษีสามารถมาชดเชยในส่วนที่คลาดเคลื่อนจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ การจำลองแผนการลงทุนไม่ได้ใช้อัตราผลตอบแทนคงที่ตลอดชีพจึงมีความแม่นยำมากขึ้น แยกระหว่างเบี้ยประกันที่การันตีผลตอบแทน กับการลงทุนที่ไม่การันตีผลตอบแทนออกจากกันชัดเจน และสามารถดัดแปลงใช้วิธีนี้ในการวางแผนบำนาญได้
❒ ข้อสังเกตุ : จำเป็นต้องคำนวณให้ดีว่ายอดเงินที่ต้องเก็บเฉลี่ยปีละเท่าไร หากปีนี้เก็บน้อย ปีหน้าต้องเก็บเท่าไร ซึ่งต้องมีการสร้างเครื่องมือในการคำนวณและปรับความเสี่ยงแต่ละส่วนที่ตามที่ต้องการ พร้อมระบุอายุที่ต้องการเกษียณให้ชัดเจน ซึ่งสามารถให้ทาง Release your Risk คำนวณให้ใหม่ได้ในทุกปี
ตัวอย่าง การคำนวณที่ทาง Release your Risk มีการเปรียบเทียบให้พิจารณาก่อนตัดสินใจเรื่องแผนประกันของเพศชาย อายุ 29 ปี (ยิ่งลงมือทำเร็วจะมีโอกาสประหยัดได้มากขึ้น)
หมายเหตุ : "จะมั่นใจได้อย่างไรว่าผลตอบแทนการลงทุนทั้งจาก RMF และ SSF จะเป็นตามที่คาดการณ์ รวมไปถึงควรเลือกกองทุนแบบใด ทั้งก่อนและหลังเกษียณ" ส่วนนี้จะเป็นคำถามสำคัญที่ทางเราได้อธิบายลงรายละเอียดไว้ในบทความต่อไปนี้
❐ สามารถกดแชร์เพื่อเก็บไว้อ่านภายหลังในยามว่างได้ค่ะ